ตอนที่ 106-5 จุลสีไหลทั่วร่าง ชนเสาหนีความผิด

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เป็นอวี้โหรวจวงจริงหรือ นางแค้นตนจนถึงขั้นนี้แล้วจริงๆ หรือ

 

 

เนื่องเพราะฉินอ๋อง ถ้าไม่ฆ่าตนให้ตายจะไม่รามือ จริงๆ หรือ

 

 

ระยะเวลาเพียงสั้นๆ ไม่ถึงสองชั่วยาม ผู้ต้องสงสัยได้เปลี่ยนจากตน เป็นอวี้โหรวจวง…

 

 

ความรู้สึกนึกคิดของอวิ๋นหว่านชิ่นจมดิ่งตาม คล้ายเบื้องหลังมีมือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นควบคุมอยู่

 

 

เจิ้งหวาชิวสติแจ่มใส พอเห็นสีหน้าอวิ๋นหว่านชิ่น ก็ดูออก จึงดึงนางไปข้างๆ ก่อนพูดปลอบเสียงต่ำ

 

 

“ในเมื่อผู้ต้องสงสัยก็จับได้แล้ว หลักฐานก็มีแล้ว เกรงว่าแปดถึงเก้าในสิบส่วน ไม่มีทางเกิดเรื่องกับคุณหนูอวิ๋น คุณหนูเฉาและคุณหนูหานแล้วล่ะ ทำใจให้สบายได้ แต่พูดแล้วก็พูดอีก คุณหนูอวี้นั่นก็จริงๆ เลย”

 

 

พูดถึงตรงนี้ เสียงก็ต่ำลงอีก “ต่อให้มีความแค้นกับเจ้ามากแค่ไหน ก็ไม่ควรทำเรื่องเช่นนี้…”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจแล้ว พี่เจิ้งมีจิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง เดาออกว่าหลินลั่วหนานน่าจะตายแทนตน ถึงได้พูดให้กำลังใจตน จึงขมวดคิ้วพลางหยั่งเชิงถาม

 

 

“พี่เจิ้งก็รู้สึกว่าคุณหนูอวี้เป็นคนทำหรือ”

 

 

เจิ้งหวาชิวคิดว่าเมื่อครู่คุณหนูอวิ๋นรับมือหัวหน้ากองกิจการภายในได้อย่างใจเย็น อีกทั้งร่วมมือชันสูตรพลิกศพ พิสูจน์พิษกับหมอหลวงเหยาได้อย่างคล่องแคล่วแม่นยำ แต่อย่างไรก็ยังเป็นเด็กสาวอายุสิบกว่าขวบที่ไม่ประสีประสา คล้ายยังตกใจไม่หายและไม่อยากจะเชื่อ จึงทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง

 

 

“เฮ้อ…คุณหนูอวิ๋น บ่าวทำงานในวังมาสิบกว่าปี ถือว่าเห็นอะไรมาเยอะ ระหว่างผู้หญิงด้วยกันเนี่ย ลองให้โกรธเกลียดแค้นใคร ชนิดคิดหาวิธีที่จะโค่นฝ่ายตรงข้ามให้ได้ล่ะก็ กองทัพนับหมื่นนับพันก็ยังต้องศิโรราบ”

 

 

 

 

 

กลับมาพูดด้านอวี้โหรวจวงบ้าง ขณะถูกเจี่ยงฮองเฮาสอบถามด้วยองค์เอง นางกลับไม่รู้สึกลนลานแม้แต่น้อย สีหน้าเยือกเย็นตลอดเวลา จนสุดท้าย ก็เพียงแค่นเสียงเบาๆ ออกมา แล้วไม่พูดอะไรอีก

 

 

ส่วนเจี่ยงฮองเฮาก็คิดอยู่แต่ว่า นางเป็นคนสกุลอวี้ ก่อนอื่นต้องไว้หน้านางหน่อย แต่พอเห็นนางชูคอเสียสูงลิ่ว ทำท่าเหมือนผู้สูงศักดิ์ใหญ่โต ก็โมโหขึ้นมาเหมือนกัน ไข่มุกและอัญมณีล้ำค่าประดับหงส์เก้าตัวบนมงกุฎหงส์สั่นไหวเสียงดังกึกกักขณะตบโต๊ะ

 

 

“เจ้าไม่ยอมรับสารภาพต่อหน้าข้าใช่ไหม ได้ แล้วจะมีคนทำให้เจ้าสารภาพออกมาเอง เด็กๆ รถม้าของที่ทำการอำเภอยงโจวมาแล้วหรือยัง!”

 

 

“มาถึงหน้าโรงเตี๊ยมแล้วพ่ะย่ะค่ะ” มีขันทีรายงาน

 

 

“คุมตัวไปไว้ในเรือนจำใหญ่ของเมืองยงโจวชั่วคราว แล้วค่อยให้คนอีกกลุ่มนำตัวกลับเมืองหลวง ส่งเข้าเรือนจำกรมยุติธรรม ให้เจ้าหน้าที่กรมยุติธรรมจัดการสอบสวนแต่โดยดี” เจี่ยงฮองเฮาค่อยๆ พูดอย่างใจเย็น

 

 

อวี้โหรวจวงแค่รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนแต่อย่างใด ย่อมต้องถูกตรวจสอบให้ชัดเจน บวกกับบิดาตน

 

 

เป็นสมุหนายก ขุนนางชั้นหนึ่ง ฮ่องเต้และฮองเฮาต้องเห็นแก่หน้าบิดาบ้าง ครั้งนี้ตนตามเสด็จออกมา แม้บิดาไม่

 

 

อยู่ด้วย ญาติผู้พี่ก็ยังอยู่ทั้งคน อย่างไรก็ต้องปกป้องตนได้! ส่วนการสอบสวน ก็แค่ทำไปตามขั้นตอนเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเจี่ยงฮองเฮาจะทำราวกับตนเป็นนักโทษจริงๆ จะให้คุมตัวส่งกลับเมืองหลวงไปกรมยุติธรรมเพียงลำพัง

 

 

อวี้โหรวจวงจึงแตกตื่น สสัดองครักษ์ออก

 

 

“ไสหัวไป! ข้าใช่คนที่พวกเจ้าแตะเนื้อต้องตัวได้ง่ายๆ รึ! ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันถูกใส่ร้าย หม่อมฉันกับหลินลั่วหนานไม่ได้แค้นเคืองอะไรกัน หม่อมฉันจะฆ่านางไปทำไม หม่อมฉันบ้าไปแล้วหรือ! นางคุ้มค่าพอที่จะให้หม่อมฉันฆ่าหรือ!”

 

 

พอเจี่ยงฮองเฮาเห็นนางหยาบคาย ไม่เพียงไม่เคารพพระบัญชา ยังกล้าบอกให้องครักษ์ของตนไสหัวไปอีก กระทั่งลืมการพูดจาให้เกียรติไปเสียสิ้น ดวงตาจึงฉายแววเย็นชา

 

 

“เจ้าไม่ได้แค้นเคืองหลินลั่วหนาน? แล้วเจ้าบอกให้ญาติผู้พี่จัดให้พวกนาง คุณหนูลูกขุนนางทุกคนในรถพักในห้องโกโรโกโสแบบนั้น อาหารการกินก็แย่กว่าพวกบ่าวเสียอีก แบบนี้เรียกว่าไม่ได้แค้นเคืองหรือ”

 

 

อวี้โหรวจวงลำคอตีบตัน ไม่คาดคิดว่า การที่ตนอาศัยอิทธิพลอำนาจกลั่นแกล้งอวิ๋นหว่านชิ่นเล็กๆ น้อยๆ จะกลายเป็นเหตุจูงใจในการฆาตกรรมไปได้ ถ้าบอกว่าจริงๆ แล้วเป้าหมายของตนคืออวิ๋นหว่านชิ่น ผู้อื่นจะเชื่อหรือ กลายเป็นแอ่งโคลนเดียวกันไปแล้ว! นี่เป็นการขุดหลุมพรางให้ตนกระโดดลงไปชัดๆ!

 

 

อวี้โหรวจวงยังคงตอบโต้

 

 

“ไม่ หม่อมฉันไม่ไปเรือนจำยงโจว ยิ่งไม่ไปเรือนจำของกรมยุติธรรมในเมืองหลวง! ฮองเฮาจะทำเช่นนี้กับหม่อมฉันไม่ได้…หม่อมฉันขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท หม่อมฉันขอพบฝ่าบาท!”

 

 

น้ำเสียงเจี่ยงฮองเฮาเย็นยะเยียบยิ่งขึ้น “หรือคุณหนูอวี้รู้สึกว่า ฮองเฮาอย่างข้า ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทำการสอบสวน? แต่เผอิญว่าฝ่าบาท ทรงมีพระบัญชาให้ข้าเป็นผู้กำกับดูแลเรื่องนี้!”

 

 

แล้วสายตาก็ขึงขังขึ้นมา “องครักษ์!”

 

 

พออวี้โหรวจวงเห็นองครักษ์จะเข้ามาอีก ก็รำแพนปีกนกยูงเต็มที่ ความสง่างามดุจห่านฟ้าเริงระบำ หมดรูปไปเสียสิ้นแต่แรก รีบว่า

 

 

“หม่อมฉันไม่ได้ทำ เหตุใดต้องขังหม่อมฉันด้วย ฮองเฮาเพคะ ถ้าบิดาหม่อมฉันรู้…แล้วเรียกญาติผู้พี่หม่อมฉันมา…”

 

 

แขนที่สั่นเทาออกแรงปัดป้อง แล้วจึงลุกพรวดขึ้น ชะเง้อมองไปรอบๆ แม้ตื่นตระหนก แต่กลับไม่ยอมให้ใครล่วงละเมิด มีท่าทีแข็งขืนขึ้นมาอีก

 

 

นี่หมายความว่าอะไร ต้องการจะบอกว่าราชวงศ์นี้ คนสกุลอวี้เป็นผู้บุกเบิกงั้นหรือ ถ้าคนสกุลอวี้กระทำผิด เป็นต้องแจ้งให้อวี้เหวินผิงรู้ก่อนหรือ

 

 

พอเหล่าขันทีและนางในที่อยู่ในห้องได้ยิน ก็พากันส่ายหน้า กระทั่งองค์หญิงกระทำผิด ฮองเฮาคิดลงโทษ ก็ยังไม่เห็นมีใครกล้าบอกให้ไปเรียกฝ่าบาทมาเลย!

 

 

เรียกญาติผู้พี่มา? อวี้เฉิงกังนั่นมีความผิดโทษฐานประมาท ชันสูตรศพชุ่ยๆ จนถูกหลินต้าเย่ร้องเรียนอย่างเดือดดาล ถูกหนิงซีฮ่องเต้ด่าว่าไปหนึ่งรอบ ตอนนี้ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด จะช่วยใครได้อีก!

 

 

มุมปากของเจี่ยงฮองเฮาปรากฏรอยยิ้มเย็นชาออกมา บ้านสกุลอวี้เคยฝันว่าจะปกครองใต้หล้าร่วมกับสกุลซย่าโหว ตอนนี้ยังฝันเฟื่องอยู่อีกหรือ จึงสะบัดแขนเสื้อ พูดอย่างไม่ลังเลใจ

 

 

“ทำไม ต้องให้ข้าสั่งเป็นครั้งที่สามด้วย จับตัวนางไว้ นำตัวออกไป!”

 

 

ในที่สุด อวี้โหรวจวงก็เข้าใจแล้วว่า ตอนนี้ไม่มีใครช่วยตนได้อีก

 

 

คุณหนูลูกสาวสมุหนายกผู้สวยสง่า ชื่อเสียงโด่งดัง เดิมทีออกจากบ้านตามเสด็จไปล่าสัตว์อย่างสง่าผ่าเผย เริ่ดอย่างไร้ที่เปรียบ อีกทั้งผู้มีอิทธิพลในขบวนตามเสด็จยังเป็นญาติของตนอีก ตนอยากแกล้งใครก็แกล้งได้ เห็นใครไม่เข้าตาก็เล่นงานเสีย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย ต่อให้ถูกส่งกลับเมืองหลวงด้วยรถม้าของเรือนจำ แล้วบิดาช่วยตนออกมาได้ ชื่อเสียงของตนเล่า จะเหลือสักกี่มากน้อย?

 

 

นางตื่นตระหนกจนมือเท้าสั่น คิดอยู่แต่ว่าจะถูกคุมตัวขึ้นรถม้าไม่ได้เป็นอันขาด จู่ๆ จึงไม่รู้เอาแรงมาจากไหน ผลักองครักษ์ออก แล้วพุ่งศีรษะเข้าชนเสาหยกที่อยู่ข้างๆ เจี่ยงฮองเฮา

 

 

เสียงดัง ‘กึก’ ทำเอาเจี่ยงฮองเฮาตกใจจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง  รู้สึกแต่เพียง มีอะไรกระเด็นใส่ใบหน้า พอจับดู ฝ่ามือก็เต็มไปด้วยของเหลวสีแดงสด

 

 

ครั้นมองดูอวี้โหรวจวงอีกที ร่างนางก็อ่อนยวบลงไปกองกับพื้นแล้ว