ตอนที่ 27 ตกลงไปในบ่อขี้

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 27 ตกลงไปในบ่อขี้

ทุกครัวเรือนมักจะมีกองปุ๋ยคอกสำหรับปลูกพืช ที่เรียกว่ากองปุ๋ยคอก เนื่องเอาทั้งมูลหมู มูลโคและมูลไก่มาผสมกันทำปุ๋ย

สามอย่างผสมผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว หลังจากหมักกลิ่นจึงเหม็นฉุนรุนแรง มูลไก่เพียงอย่างเดียว ไม่อาจต่อกรกับพลังนี้ได้

กลางดึกคืนนี้ หยุนชิ่วเอ๋อได้ล้มลงบนพื้น ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง พร้อมทั้งกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง “อ๊าๆๆ!”

ข้าง ๆ กันนั้น หมูตัวอ้วนในคอกได้ยินเสียงร้องของนางก็แตกตื่นตกใจ วิ่งวนไปรอบ ๆ

“อ๊า! ให้ตายสิ!” แม่เฒ่าจูตะโกนสาปแช่งนับพันครั้ง “เกิดอะไรขึ้น! ผู้ใดมันโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้!”

ไฟในห้องปีกฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกสว่างขึ้นทีละดวง

“เกิดอะไรขึ้น” แม่นางเหลียนตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ

“ไม่รู้เหมือนกัน ข้าจะออกไปดู” หยุนลี่เต๋อสวมรองเท้าผ้าและผ้าคลุมของเขาเดินออกไป

หยุนเชวี่ยเปิดผ้าม่านก็จะเงยหน้าขึ้นหาวอย่างง่วงงุน “ท่านย่าดุด่าใครกัน?”

เสี่ยวอู่ทำท่าทางไร้เดียงสาและนอนอยู่บนเตียงอย่างสะลึมสะลือ

“ขอให้ฟ้าดินลงทัณฑ์! นี่มันกะจะฆ่ากันให้ตาย! มันเป็นใคร! มาฆ่าข้าให้ตายไปด้วยเลย!”

เสียงของแม่เฒ่าจูดังขึ้นกว่าเดิม ไม่เพียงแต่สาปแช่งเท่านั้น ยังรวมถึงเสียงสะอื้นไห้คร่ำครวญ “ชิ่วเอ๋อ ชิ่วเอ๋อของแม่! ตระกูลหยุนมีปีศาจร้าย!”

“ชิ่วเอ๋อเป็นอะไร?” หยุนเชวี่ยมองไปด้วยสายตาว่างเปล่า

แม่นางเหลียนรีบสวมเสื้อผ้าและเดินออกไป เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็ตกใจจนแทบนอนไม่หลับ “นี่…”

“เคร้ง ๆ!” แม่เฒ่าจูหยิบพลั่วที่มีมูลสัตว์ติดอยู่ฟาดลงบนพื้นถึงสามครั้ง “ไสหัวออกไปซะ! สัตว์ร้ายอำมหิตทั้งสองตัว! ออกไปให้ไกล!”

ขณะนั้น

คนในตระกูลหยุนจำนวนสิบกว่าคนมารวมตัวกันตรงลานบ้าน ยกเว้นหยุนลี่เซี่ยว

เสี่ยวอู่ที่สีหน้าไร้อารมณ์ดึงชายเสื้อของหยุนเชวี่ยซึ่งยืนถัดจากหยุนเยี่ยน ศีรษะของเขาก้มลงเล็กน้อย ท่าทางเซื่องซึม หยุนเยี่ยนตะลึงงันและยืนกั้นพวกเขาไว้ด้านหลังโดยไม่รู้ตัว

“ชิ่วเอ๋อ เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเจ้าถึงตกลงไปในบ่อขี้เช่นนี้?” แม่นางเฉินบีบจมูกแล้วเดินเข้ามา “อา… กลิ่นนี้เหม็นเน่ามาก เจ้ารีบไปล้างตัวเลย!”

“กรี๊ด!” หยุนชิ่วเอ๋อร้องไห้อย่างน่าเวทนา นางเงยหน้าขึ้นแล้วคร่ำครวญ “ท่านแม่ มีคนตีข้า! มันทุบตีข้า!”

ใบหน้านั้นกลายเป็นสีดำสนิท ผมของนางถูกอาบย้อมไปด้วยมูลสัตว์ ยกเว้นดวงตาสีขาวขนาดใหญ่สองดวงที่แหงนหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้า โดยไม่เห็นสิ่งใดชัดเจน

“ห๊ะ? ใครตีเจ้า?” แม่นางจ้าวยืนดูอยู่ห่าง ๆ ในมือถือพัดโบกปัดไปมา

“กรี๊ด!” หยุนชิ่วเอ๋อกล่าววกวนไปมา “มีคนตีข้า! มีคนตีข้าจริง ๆ!”

“สะใภ้สาม เจ้ายืนทำสากกะเบืออะไรอยู่? ขี้เกียจจนไม่ยอมขยับเท้า! ไปยกอ่างน้ำมา!”

แม่เฒ่าจูยืนเท้าสะเอว หลังจากด่าสะใภ้เฉินเสร็จ นางก็ชี้พลั่วไปที่หยุนลี่เต๋ออีกครั้ง “เจ้ารอง ยังไม่ช่วยน้องสาวเจ้าอีก จะรอให้นางถูกฆ่าตายเลยรึ? มีมโนธรรมเสียบ้าง!”

“ชิ่วเอ๋อ ลุกขึ้นก่อน” หยุนหลี่เต๋อผู้จริงใจ รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยพยุงแขนของนาง โดยไม่มีท่าทีรังเกียจเลยสักนิด

“ออกไป!” หยุนชิ่วเอ๋อเกลือกกลิ้งไปมา จนข่วนเล็บเข้าที่ใบหน้าของหยุนลี่เต๋อ ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างคับแค้น “ออกไป! ข้าจะข้าพวกเจ้าให้ตาย! อ๊า!”

ทันทีที่นางสะบัดตัว กลิ่นเหม็นคลุ้งก็กระจายไปในทันใด บางคนปิดจมูกและถอยร่น ไม่รู้ว่าใครส่งเสียงเยาะเย้ยออกมา

ในตอนนี้หยุนชิ่วเอ๋อที่ทิ้งตัวเกลือกกลิ้งไปทั่วได้ม้วนตัวและลุกขึ้น ใบหน้าบิดเบี้ยวและเคร่งขรึมราวกับปีศาจ นางเดินกะเผลกคว้าพลั่วและไล่ฟาดไปทั่วเมื่อเห็นผู้คน

“วิ่งเร็ว ชิ่วเอ๋อเป็นบ้าไปแล้ว!”

“อ๊า! พั๊วะๆ!”

“หยุดนางเร็ว!”

จู่ ๆ ตระกูลหยุนก็เละเทะเป็นหม้อต้มโจ๊ก แม่นางเหลียนยกมือขึ้นราวกับแม่ไก่ที่กางปีกปกป้องลูกน้อยทั้งสามทางด้านหลังของตน

ทันที่ที่หยุนเชวี่ยชะโงกหน้าออกไป ก็เห็นว่าหยุนชิ่วเอ๋อเดินไปรอบ ๆ พร้อมกับพลั่วในมือ และวิ่งไปทางป้าสะใภ้ใหญ่จ้าว

ในเวลานี้แม่นางเจ้าไม่เหลือภาพลักษณ์ของภรรยาบัณฑิตผู้สูงส่งอีกต่อไป นางวิ่งกระเจิงราวกับแมลงวันไร้หัว “ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย!”

“น้องรอง จับนาง! จับเอาไว้!” หยุนลี่จงหนีไปซ่อนให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมตะโกนสั่งหยุนลี่เต๋อ

“ชิ่วเอ๋อบ้าไปแล้ว! ช่วยด้วย!”แม่นางจ้าววิ่งเข้าไปหาแม่นางเฉินด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะคว้าชายเสื้อของนางและผลักนางไปทางหยุนชิ่วเอ๋อเพื่อเป็นเกราะกำบัง

“อ๊า!” เมื่อเห็นพลั่วที่พุ่งเข้ามาเฉียดคอ แม่นางเฉินก็กรีดร้องและโยนอ่างน้ำออกไป

“ซ่า…”

“โครม!”

อ่างน้ำกระแทกเข้าที่ใบหน้าของหยุนชิ่วเอ๋อ จากนั้นน้ำเย็น ๆ ก็ไหลอาบทั่วศีรษะของนาง

“หลบไป!”

หยุนลี่เต๋อร้องคำราม มือใหญ่ของเขายื่นออกมาจากด้านข้างด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า ก่อนจะคว้าวัตถุอันตรายแล้วโยนทิ้ง

พลั่วพุ่งเฉียดหูของแม่นางเฉินและกระเด็นเข้าไปในคอกหมู

“อี๊ด!” คราวนี้เป็นเสียงหมูกรีดร้องอย่างรุนแรง

นางเฉินตกใจกลัวจนแขนขาอ่อนแรง นางทรุดตัวลงกับพื้นแล้วร้องไห้

หยุนชิ่วเอ๋อราวกับปลาที่ถูกตกขึ้นมาจากส้วมซึม ร่างกายของนางเหม็นคลุ้ง ตัวเหนียวเหนอะหนะ นางทั้งกรีดร้องและร้องไห้จนเสียงหายไปในลำคอ

หลังจากวิ่งหนีกันจนแตกกระเจิง ทุกคนต่างง่วงนอนและมานั่งรวมกันเป็นกระจุก เพื่อรอให้หยุนชิ่วเอ๋อทำความสะอาดร่างกาย

ท่อนไม้หนาและกระสอบที่ขาดวิ่นถูกโยนลงกลางลาน

“ใครกันที่กล้าทำแบบนี้!”

ท้องฟ้ามืดมิดจนมองไม่เห็นใบหน้าของชายชรา แต่น้ำเสียงของเขาสั่นเล็กน้อยด้วยความโกรธ

ไม่มีใครพูดอะไร

“โจรที่อยู่ในบ้านยากจะตรวจสอบและป้องกัน!” เขาก้มลงหยิบไม้ขึ้นมาแล้วกระแทกพื้นอย่างแรง “ประตูก็ปิดอยู่ มีกันแค่สิบกว่าคน! ใครเป็นทำ!”

เทียบกับเสียงโหวกเหวกโวยวายเมื่อสักครู่ ไม่มีเสียงหอบแม้แต่น้อย

“พูด!”

“เป็นใบ้กันไปหมดแล้วหรือ?”

หยุนเชวี่ยรู้สึกว่ามือของนางกำแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ทันทีที่นางเงยหน้าขึ้น ก็เห็นหยุนเยี่ยนเหงื่อตกด้วยความประหม่า นางยิ้มด้วยสีหน้าฝืดเฝื่อน

ครู่ต่อมา

หยุนลี่จงเปิดปากออกมาคนแรก “ท่านพ่ออย่าโกรธเลย ไม่ดีต่อร่างกายท่าน… ว่าแต่ เหตุใดไม่เห็นน้องสาม?”

“ไม่ออกมาจากบ้าน ทั้ง ๆ ที่เสียงดังวุ่นวาย…” แม่นางจ้าวรับคำเพียงครึ่งประโยค แต่ความหมายชัดเจนแม้ไม่ได้กล่าวคำว่า ‘สำนึกผิดชอบชั่วดี’ ‘.

“พี่สะใภ้ เหตุใดท่านถึงใส่ร้ายผู้อื่น?” แม่นางเฉินไม่พอใจ “หยุนลี่เซี่ยวทำงานทั้งวัน เขาจึงเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำเพื่อพักผ่อนและไม่ออกจากบ้าน!”

ในยามปกติ แม่นางเฉินไม่เคยคิดอยากทำให้แม่นางจ้าวขุ่นเคือง แต่เมื่อสักครู่แม่นางเจ้าเกือบทำให้นางต้องตายเป็นผี ตอนนี้ยังกล่าววาจาใส่ร้ายสามีนางอีก ดังนั้นน้ำเสียงของนางจึงดูไม่ดีนัก

“ข้าพูดอะไร? เจ้าร้อนตัวไปเอง ข้าใส่ร้ายผู้ใดกัน?” แม่นางจ้าวโบกพัดแล้วบ่นพึมพำด้วยท่าทีประหลาด

“ท่านพ่อ อย่าเข้าใจผิด หยุนลี่เซี่ยวไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น เขาทำงานเป็นวัวเป็นม้าตลอดทั้งวัน เหตุใดท่านไม่คิดดูให้ดีล่ะ? หลังอ่านคัมภีร์แล้วทุบตีพระ หลังกินข้าวอิ่มแล้วฆ่าพ่อครัว เขาถูกใส่ร้าย…”

คำพูดของแม่นางเฉินไม่มีน้ำหนักเท่าแม่นางจ้าว เพราะในความเป็นจริงแล้วหญิงชราเข้าข้างสะใภ้ใหญ่เป็นอย่างมาก แม่นางเฉินจึงทำได้เพียงทิ้งสะโพกขนาดใหญ่ของนางลงกับพื้น แล้วตบต้นขาร้องขอความเป็นธรรม

“อยากปกปิดซ่อนเร้น กลับเปิดเผยให้โลกรู้” แม่นางจ้าวกลอกตา

“ท่านเห็นว่าพ่อของข้าเป็นคนทำอย่างนั้นหรือ? พูดจาเหลวไหลโดยไร้หลักฐาน! เช่นนั้นข้าก็จะบอกว่าท่านเป็นคนตีท่านอาชิ่วเอ๋อ…”

ซานหลางหยุนอี้เป็นคนขลาดเขา นิสัยถอดแบบมาจากหยุนลี่เซี่ยวผู้เป็นบิดา เมื่อกล่าวจบก็กอดอกแล้วเบ้ปาก วางท่าราวกับอันธพาล

“วาจาของเจ้าช่างน่าขันนัก” หยุนเยว่จับแขนของแม่นางจ้าว นางขมวดคิ้วและเหลือบตามองหยุนอี้อย่างดูถูก ก่อนจะยกยิ้มเยาะ “แม่ของข้า กับท่านอาชิ่วเอ๋อไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันมาก่อน แต่ถ้าเป็นท่านอาสามแล้วล่ะก็…”

หยุนลี่เซี่ยวไม่รู้เรื่องรู้ราว เขาโต้เถียงกับหยุนเชวี่ยเอ๋อเพียงสองสามประโยคในตอนเย็น ตอนนี้เขากลับถูกใส่ร้ายให้กลายเป็นคนผิด

“เจ้ายังจะกล้าพูดอีกหรือ?!” หยุนอี้จ้องเขม็ง

หยุนเยว่พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “ข้าพูดความจริง”

หยุนเชวี่ยเตรียมจะกล่าวปฏิเสธจนตัวตาย แต่ไม่คาดคิดว่าแม่นางจ้าวกับหยุนเยว่จะเป็นผู้ชักนำความผิดไปโยนใส่ศีรษะหยุนลี่เซี่ยวโดยตรง

นั่งดูไฟบนกำแพงก็สนุกดีเหมือนกัน

“ไปเรียกเจ้าสามมา…” ชายชราเพียงชี้นิ้วไปที่ห้องของเขา ยังไม่ทันกล่าวจบ ประตูก็เปิดออกมา

“หึ ๆ โยนความผิดมาใส่หัวข้าหรือ?” หยุนลี่เซี่ยวสวมรองเท้าเดินออกมา แล้วยิ้มเยาะ

สายตาของคนนับสิบ จับจ้องไปที่เขา