ตอนที่ 28 ลูกหมูผู้โชคร้าย
หยุนลี่เซี่ยวแตะหลังคอและเดินตุปัดตุเป๋ไปทางหยุนลี่จง เขาหรี่ตาลงก่อนจะถามขึ้น “หึ ๆ พี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไร?”
หยุนลี่จงก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว “น้องสาม หากเจ้าไม่ได้เป็นคนทำ เช่นนั้นก็ชี้แจงแก่ท่านพ่อให้ชัดเจน”
“ถุย” หยุนลี่เซี่ยวถุยน้ำลาย “นอนอยู่บนเตียงดี ๆ ท่านก็โยนความผิดใส่หัวข้า คิดว่าข้าไม่สู้คนหรือ?!”
สิ่งนี้เรียกว่า คนอยู่ในบ้าน หม้อก็ร่วงลงมาจากฟ้า*
ท่านอาสามผู้แสนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ เขาสามารถจุดประกายการทะเลาะวิวาทได้อย่างไร้เหตุผล อย่าพูดถึงการที่เขาถูกโยนความผิดใส่หัวโดยที่ไม่ได้ทำอะไร เรื่องนี้ทำให้เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟในทันที
“บอกว่าเป็นฝีมือข้า ผู้ใดเห็น?! เจ้า? หรือเจ้า? ” เขาชี้นิ้วไปที่ปลายจมูกของแม่นางจ้าวอย่างโกรธขึ้ง
หญิงทั้งสองเบือนหน้าหนีและเชิดปลายคางขึ้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หรือว่าท่านพ่อเห็น?”
“บัดซบ!” ผู้เฒ่าหยุนคำรามอย่างเกรี้ยวกราด
“จับขโมยต้องเอาของที่ขโมยกลับมา จับคนทรยศก็เช่นเดียวกัน หรือท่านพ่อรู้สึกว่ายังตีข้าไม่พอในตอนบ่าย มาเลย” หยุนลี่เซี่ยวยื่นหน้าไปตรงหน้าของของชายชรา พร้อมกับเยาะเย้ย “ข้าอยู่นี่แล้ว ฆ่าข้าให้ตายเลย”
“เจ้า…”
“ถึงอย่างไรท่านก็ไม่ได้ปฏิบัติกับข้าเหมือนลูกชาย ข้าต้องทำงานเป็นวัวเป็นม้า คนเดียวที่ได้กินอยู่สุขสบายคือพี่ใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครอบครัวของเขาสาดโคลนใส่ข้า* หัวใจของท่านก็เอนเอียงเข้าข้างพวกไปเขาแล้ว ใช่หรือไม่”
“…”
“ท่านพ่อ…” เมื่อแม่นางเฉินเห็นเช่นนี้ ก็กลิ้งตัวไปที่เท้าของชายชรา ดึงชายกางเกงของเขาและกล่าวคำคร่ำครวญ “หยุนลี่เซี่ยวถูกใส่ร้าย ท่านต้องตัดสินให้เขา เขาถูกรังแก! วันนี้ช่างเป็นวันอัปมงคล…”
สองสามีภรรยา คนหนึ่งร้อง อีกคนหนึ่งรับ ผู้เฒ่าหยุนรู้สึกหายใจไม่ออก กลืนน้ำลายฝืดเฝื่อนอยู่เป็นนาน สีหน้าของเขาสลับเปลี่ยนไปมา
ทุกคนล้วนรู้ดีว่าจะต้องเป็นคนในตระกูลหยุนที่ทำร้ายหยุนชิ่วเอ๋อ และคนส่วนใหญ่ต่างสงสัยหยุนลี่เซี่ยว แม้ครั้งนี้ท่านอาสามจะกระโดดลงแม่น้ำหวงเหออย่างไรก็ล้างไม่เกลี้ยง* และไม่สามารถจับมือใครดมได้ทั้งนั้น
หลังจากโยนความผิดกันไปมาเป็นเวลานาน ผู้เฒ่าหยุนก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยใจ แต่ถึงอย่างไร ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปของเรื่องนี้ มีเพียงแต่แม่เฒ่าจูเท่านั้น ที่ต่อให้ด่าจนฟ้าสางก็ไม่มีวันรู้สึกเหนื่อย
“ท่านย่าสุขภาพดีมาก นางจะต้องอายุยืนยาวถึงหนึ่งร้อยปีแน่นอน” หยุนเชวี่ยตื่นนอนแต่เช้าตรู่ นางถอนหายใจออกมา ขณะที่กำลังนั่งยอง ๆ เพื่อล้างหน้าอยู่ในสวน
“วันนี้เจ้าอย่าไปรบกวนท่านย่า ไปเล่นกับเหอยาโถวดีกว่า” หญิงชราอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก แม่นางเหลียนจึงกังวลว่านางจะสร้างปัญหาขึ้นมาอีก
“ข้าอยากไปหลังภูเขากับท่านพ่อ”
“ตามใจเจ้าเถอะ แต่อย่าก่อเรื่องวุ่นวายก็พอ”
แม่นางเหลียนไม่มีอะไรจะคาดหวังจากลูกสาวคนนี้ ข้อกำหนดเพียงอย่างเดียวของนางคือต้องซื่อสัตย์และไม่สร้างปัญหา
“ท่านแม่!” หยุนเยี่ยนวิ่งออกไปด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะชี้ไปที่คอกหมู “หมูกำลังจะตาย!”
ในคอกหมูมีหมูตัวเมียสามตัว ตัวผู้หนึ่งตัว รวมมีหมูตัวอ้วนพีสี่ตัวในคอก หมูตัวเมียหนึ่งในนั้นมีรูขนาดใหญ่ตรงสะโพกและนอนตายจมกองเลือด
“อ๊ะ เกิดอะไรขึ้น!” นางเหลียนรีบเปิดประตูคอกหมูเข้าไปดู
“เกิดอะไรขึ้น” แม่นางที่กำลังทำอาหารอยู่หน้าเตา รีบวิ่งเข้ามาดูราวกับกลัวโลกไม่วุ่นวาย ก่อนจะชี้ไปยังพลั่วเปื้อนเลือดที่อยู่ข้าง ๆ “เมื่อพี่รองเป็นคนโยนพลั่วเข้ามา จุ๊ๆๆ มันกำลังจะอ้วนขึ้นแล้วแท้ ๆ น่าเสียดาย!”
ลูกหมูตัวน้อยเหล่านี้ถูกเลี้ยงเมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิ เมื่อถึงวันปีใหม่พวกมันถึงจะโตพอและถูกฆ่าได้ แต่ตอนนี้พวกมันเพิ่งโตได้เพียงครึ่งเดียว ไม่คุ้มกับเงินที่จ่ายไปมากนัก
“หมูตัวนี้คงไม่รอด” หยุนหลี่เต๋อลากมันออกมาจากคอกหมูและเหลือบมองชายชรา “ท่านพ่อ ข้าควรทำอย่างไร?”
ผู้เฒ่าหยุนไม่ได้นอนทั้งคืน ใบหน้าของเขาหมองคล้ำ หน้าผากเหี่ยวย่น “ทำอย่างไร? ไปเรียกคนขายเนื้ออู๋มา!”
คนขายเนื้ออู๋ เป็นนักฆ่าหมูรุ่นเก๋า เมือเห็นหมูตัวนี้เขาถึงกับถอนหายใจ “ถ้าเลี้ยงได้ถึงวันปีใหม่ น่าจะโตได้ถึงหนึ่งร้อยจิน มันเสียเลือดไปมาก หมูตัวนี้ถูกพลั่วแทงตายได้อย่างไร?”
หมูอยู่ในคอก ภัยพิบัติก็ร่วงลงมากจากฟ้า
หมูที่โชคร้ายถูกทำความสะอาดอย่างรวดเร็วและง่ายดาย
คนขายเนื้ออู๋เก็บมีดฆ่าหมูที่ส่องแสงแวววาวแล้วเอ่ยถาม “จะขายให้ข้าทั้งหมด หรือจะเก็บไว้เป็นอาหารกินเองดี?”
“เจ้ารอง เจ้าว่าอย่างไร?” ยกมือขึ้นไพล่หลังและมองดูหยุนลี่เต๋อ
“…” หยุนลี่เต๋อไม่รู้ว่าบิดาหมายถึงอะไร ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาต้องตัดสินใจเรื่องใหญ่ในบ้าน?
“ท่านปู่รู้ได้อย่างไรว่าหมูตัวนี้เป็นหมูที่แบ่งให้บ้านข้า?” หยุนเชวี่ยทำท่าทีไร้เดียงสาและสงสัย แต่ในใจกลับเยาะเย้ย
แน่นอน เอาของดี ๆ ให้พ่อซื่อบื้อของนางสิถึงจะเป็นแปลก!
เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ หยุนลี่เต๋อผู้จิตใจดีก็นึกขึ้นได้ “ท่านพ่อ จะให้หมูตัวนี้กับข้าหรือ?”
“ท่านพ่อ นี่… พวกข้าตั้งใจจะเลี้ยงหมูจนถึงวันปีใหม่…” แม่นางเหลียนรู้สึกเป็นกังวล ฆ่าหมูตอนนี้กับขฆ่าหมูตอนวันปีใหม่ ราคาย่อมลดลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
แม่นางเฉินยิ้มมุมปากด้วยความยินดีที่เห็นผู้อื่นตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก “ใครจะไม่อยากเลี้ยงหมูให้ถึงวันปีใหม่? แต่พี่รองแทงมันจนตาย แล้วหมูนี่จะไม่ใช่ของพวกเจ้าได้อย่างไร อย่างน้อยยังเก็บเนื้อไว้กินได้!”
“อาสะใภ้สาม ไม่ใช่ว่าตอนนั้นพ่อข้ากำลังช่วยชีวิตท่านอยุ่หรือ เหตุใดถึงพูดเช่นนี้?” หยุนเยี่ยนผู้ไม่เคยมีปากเสียงกับผู้อื่น กล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา
“ข้าไม่ได้บอกให้พ่อเจ้าแทงหมูจนตายนี่ อีกอย่าง หากไม่ใช่เพราะชิ่วเอ๋อที่เป็นบ้าขึ้นมากลางดึก…” แม่นางเฉินเหลือบมองด้วยหางตา จู่ ๆ ก็เห็นแม่เฒ่าจูยืนอยู่ที่ประตูห้องชั้นบน จากนั้นจึงรีบหันหลังให้ “ถึงอย่างไร เรื่องนี้ก็จะมาโทษข้าไม่ได้”
หลังจากนั้น
คนขายเนื้ออู๋ไม่ค่อยอยากยุ่งเรื่องในครอบครัวผู้อื่นนัก หลังจากเดินไปรอบ ๆ บ้านอย่างเชื่องช้า เขาก็ยิ้มให้ชายชรา “ผู้เฒ่า ฉันจะกลับไปก่อน ท่านค่อยไปเรียกข้าหลังจากคุยกันแล้ว ดีหรือไม่?”
ในขณะที่คนขายเนื้ออู๋กำลังจะกลับไป หยุนลี่เต๋อไม่ได้ทัดทานอันใด ส่วนแม่เฒ่าจูทำเสียงขัดใจเล็กน้อย พร้อมกับทำสีหน้าไม่พอใจนางกำลังสาปแช่งขึ้นมา แต่ถูกหยุนเชวี่ยชิงพูดตัดหน้าไปก่อน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ อย่าทำให้ท่านปู่ไม่พอใจเลย ในเมื่อท่านปู่บอกว่าหมูตัวนี้เป็นของเรา พวกเราก็รับไว้เถิด”
หยุนลี่เต๋อ…
แม่นางเหลียน…
คนที่ประหลาดใจที่สุดคือผู้เฒ่าหยุน เขาขมวดคิ้วและจ้องมองไปยังเด็กน้อยด้วยแววตาระแวดระวัง
หยุนเชวี่ยเอียงศีรษะของนางแล้วยิ้มให้เขาอย่างไร้เดียงสา “ข้าเคยได้ยินคำกล่าวของหวังหลี่เจิ้งว่า เสียเปรียบคือวาสนา*”
ชายชราสำลักอีกครั้ง
นั่นหมายความว่าการเอารัดเอาเปรียบคือการสร้างปัญหา? ไม่รู้ว่านางต้องการพูดให้เข้าหูคนขายเนื้ออู๋หรือไม่ นังเด็กคนนี้วาจาอาบยาพิษ!
อันที่จริงหยุนเชวี่ยก็ช่วยอะไรมากไม่ได้เช่นกัน แต่จะให้นางทำอย่างไรได้? หากไม่ใช่เพราะชีวิตที่น่าสังเวชในตอนนี้ และความต้องการเงินอย่างเร่งด่วน โดยพื้นฐานอารมณ์ของนาง คงจะต้องต่อสู้จนถึงที่สุดเพื่อให้สิ่งที่ดีที่สุดมา!
“ดูสิ สาวน้อยผู้นี้มีเหตุผลและกตัญญูยิ่งนัก” คนขายเนื้ออู๋ถูมือ แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ
“เจ้ารอง พูดอะไรหน่อยเถอะ!” ชายชราแทบเก็บสีหน้าเอาไว้ไม่อยู่
“เช่นนั้น เอาตามที่ท่านพ่อว่า” หยุนลี่เต๋อไม่มีความคิดเห็นใด ๆ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจอีกครั้ง
หมูตัวใหญ่เสียเลือดไปแล้วครึ่งตัว นอกจากเลือดแล้ว ยังมีเนื้อเหลืออยู่เพียงไม่ถึงหนึ่งร้อยจิน เมื่อขายแล้วได้เงินเพียงแค่หนึ่งตำลึง นับเป็นเงินเพียงน้อยนิด
แม่นางเหลียนถอนหายใจให้กับเงินจำนั้น ส่วนหยุนลี่เต๋อก็กลายเป็นซื่อบื้อตามปกติ
ทันทีที่คนขายเนื้ออู๋ออกจากบ้านไป แม่เฒ่าจูก็เริ่มสาปแช่งเขาอีกครั้ง
หยุนชิ่วเอ๋อเข้าไปในห้องตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ออกมา ฝ่ายหยุนลี่เซี่ยวนั้นบอกว่าตนเองไม่สบาย ปล่อยให้ลูกชายอย่างเขาคร่ำครวญจนตายไปตามลำพัง
ผู้เฒ่าหยุนเรียกหาคนไปช่วยทำงาน แต่เอ้อหลาง ซานหลางก็ไม่ขยับเขยื้อน ส่วนหยุนลี่จงกับหยุนโม่กำลังทบทวนตำราเรียน หลังจากรับประทานอาหารเสร็จพวกเขาก็ปิดประตูลงกลอนห้องทางฝั่งตะวันออกไว้อย่างแน่นหนา
ดังนั้นชายชราจึงจำต้องเดินออกไปคนเดียวอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมกับถังในมือข้างหนึ่งและอีกมือหนึ่งข้างถือจอบ
หยุนหลี่เต๋อใจอ่อนอีกครั้ง “หลังจากเทดินแล้ว ข้าจะไปช่วยท่านพ่อเอง”
“ท่านพ่อมีลูกมีหลานมากกว่าสิบคน ไม่มีผู้ใดมีแขนมีขาสักคน” แม่นางเหลียนโยนเงินจำนวนน้อยนิดให้เขาอย่างขุ่นเคือง “ลูกจะหิวตายอยู่แล้ว เหตุใดท่านไม่เห็นจะสนใจ?”
“ท่านพ่อ…” หยุนเชวี่ยดึงชายเสื้อของเขาอย่างน่าสงสาร “เรายังไม่ได้กินข้าวกันเลย ข้าหิวแล้ว”
ในตอนเช้า พวกเขาอยู่ที่ห้องโถงได้กินทั้งหมั่นโถวและข้าวต้ม แต่ก็ไม่แม้แต่จะเอ่ยปากถามเพียงครึ่งคำ เรื่องนี้ทำให้หัวใจของแม่นางเหลียนหนาวเหน็บ
“พวกเราผู้ใหญ่ไม่กินไม่ดื่มก็ไม่เป็นไร แต่เด็ก ๆ จะไม่เสียใจหรือ แล้วจะบอกว่าเป็นครอบครัวเดียวกันได้อย่างไร…”
“ท่านพ่อกับท่านแม่กำลังอารมณ์ไม่ดี…” หยุนลี่เต๋อถอนหายใจอย่างหัวเสีย เขารู้ว่าตนเองทำผิดต่อภรรยาและลูก ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้ว นั่นคือพ่อแม่ของเขาเอง จึงไม่อาจพูดอะไรได้ ทำได้เพียงแค่โกรธตัวเอง
ใบหน้าของแม่นางเหลียนบิดเบี้ยว น้ำตาคลอหน่วยตาแต่ก็ไม่ไหลรินลงมา
“ท่านแม่ อย่าร้องไห้เลย…” หยุนเชวี่ยเอื้อมมือไปแตะใบหน้าของนาง แล้วเดินไปเขย่าแขนหยุนหลี่เต๋อ “ท่านพ่อ เราจะใช้เงินจำนวนนี้ไปซื้อหม้อในเมืองได้หรือไม่?”
* คนอยู่ในบ้าน หม้อก็ร่วงลงมาจากฟ้า คือคนที่ไม่ได้ทำอะไร หรือยั่วยุใคร แต่ถูกโจมตีด้วยวาจาของผู้อื่น ซึ่งเป็นคำอุปมาของการเป็นคนไม่มีเหตุผล และยังหมายถึงคนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความโชคร้ายได้อีกด้วย
* สาดโคลน/สาดน้ำสกปรก หมายถึง ใส่ร้ายป้ายสี
* กระโดดลงแม่น้ำหวงเหอ อย่างไรก็ล้างไม่เกลี้ยง อุปมาถึง ไม่ว่าจะแก้ต่างอย่างไร ก็ฟังไม่ขึ้น
* เสียเปรียบคือวาสนา การไม่ทะเลาะวิวาทกับผู้อื่นเป็นเรื่องดี ถือเป็นพร ถึงแม้จะทุกข์ได้เล็กน้อย แต่ก็ปลอดภัย