ตอนที่ 29 สามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำเหอ อีกสามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำเหอ*
เมื่อไม่มีงานมหกรรมร้านค้าในเมืองอันผิง ก็มีผู้พ่อค้าบนท้องถนนไม่มากนัก แต่ยังนับว่ามีชีวิตชีวาและเจริญรุ่งเรืองอยู่มาก
ตลอดเส้นทางมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายผ้า ร้านขายธัญพืช โรงเตี๊ยมขนาดเล็ก และร้านขายของชำ
หยุนเชวี่ยยังมองเห็น ‘บ่อนพนันเซิ่งเต๋อ’ ที่ส่งคนไปบุกบ้านตระกูลหยุนเพื่อทวงหนี้ ป้ายขนาดใหญ่นั้นโดดเด่นด้วยตัวอักษรสีทองบนพื้นหลังสีดำ
“กล้าดีอย่างไรถึงมาล้วงคองูเห่า? เจ้าจะต้องชดใช้ด้วยกี่ชีวิตถึงจะเพียงพอ? กล้าเล่นเล่ห์กับข้า…”
ชายร่างสูงโปร่งและผอมแห้งในชุดคลุม ถูกชายร่างใหญ่สามคนดึงออกมาจากบ่อนพนัน ก่อนจะลากเข้าไปในตรอกด้านหลัง
“ตอนนี้นักพรตเต๋าเล่นการพนันได้แล้วหรือ?”
“หรือว่าจะเป็นพวกต้มตุ๋น?”
“ไม่แน่ว่าอาจจะเอาชีวิตไม่รอด”
ผู้คนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ต่างเฝ้าดูเหตุการณ์และจับกลุ่มสนทนากันอย่างออกรสชาติ จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนขอความเมตตามาจากตรอกด้านหลัง
“ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
“เบา ๆ อย่าตบหน้า!”
“โอ๊ย ขาหักแล้ว!”
“ข้ายินดีจะเชิญนักลงทุนมาให้อีกสองสามคน พวกเขาเล่นการพนันเก่งมากและทำเงินได้มากมาย ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด”
“อ๊าก! บอกว่าอย่าตบหน้า!”
หยุนเชวี่ยเอียงคอ…
“อย่ามองไปเรื่อย” หยุนเยี่ยนรีบคว้าตัวน้องสาวเข้ามา
“พี่สาว” นางชี้ไปที่หน้าประตูที่คำว่า ‘เซิ่งเต๋อ’ แขวนอยู่ “นี่คือบ่อนพนันที่ท่านลุงใหญ่ติดหนี้”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” หยุนเยี่ยนถอยร่นออกไปทันทีที่ได้ยิน
“ข้าเห็นคนหน้าดำผู้นั้น เขาอยู่ข้างใน”
“รีบไปกันเถอะ ที่นี้มีแต่คนไม่ดี”
แม่นางเหลียนรีบดึงเสี่ยวอู่มาด้านข้าง พร้อมกับเหลือบมองไปที่บ่อนพนันเซิ่งเต๋อ และรีบเดินออกมาให้ไกล
“พวกเราไม่ได้ติดหนี้เขาแล้ว” หยุนเชวี่ยกระซิบ
คนที่ดูดุร้ายไม่น่ากลัวเท่าคนที่หน้าซื่อใจคด ต่อหน้าเงียบ ๆ ลับหลังกลับลอบทำร้ายคนอื่น
เช่นเดียวกับหยุนลี่จง เขามีรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนโยนของนักปราชญ์ แต่แท้จริงแล้วจิตใจชั่วช้า เจ้าเล่ห์มากแผนการกว่าผู้ใด
“พี่สาว ดูสิ นี่คือบ้านที่มาสู่ขอพี่เหอเซียง” หยุนเชวี่ยชี้ไปยังร้านอาหารขนาดใหญ่ข้างหน้า
ภัตตาคารหลงชิ่งอยู่ในบริเวณที่พลุกพล่านที่สุดใจกลางถนนแห่งนี้ ตึกสูงสามชั้นและมีด้านหน้ากว้างขวาง แม้จะมีเด็กน้อยวิ่งเล่นซุกซน ร้านก็ยังดูสะอาดและเป็นระเบียบ
“ป้าเหอของเจ้าโชคดีมาก ลูกสาวนางมีชีวิตที่ดีกว่าใครหลายคน” แม่นางเหลียนถอนหายใจด้วยความอิจฉา
ลูกคนที่สามของตระกูลเหอ กล่าวคือ พ่อของเหอยาโถว ได้ให้กำเนิดลูกสาวสี่คนติดต่อกัน ในช่วงเวลานั้นเขามักจะถูกชาวบ้านหัวเราะเยาะ
ต่อมาก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายสมใจ นั้นคือเหอยาโถว ทว่าเด็กน้อยร่างกายอ่อนแอ ป่วยหนักตั้งแต่เด็ก อีกทั้งหมอดูยังทำนายทายทักว่าเขาจะอายุสั้น จึงส่งผลให้ป้าเหอถูกแม่สามีกดขี่ทั้งวัน ชีวิตของนางในตอนนั้นไม่ได้ดีไปกว่าแม่นางเหลียนนัก
แต่ใครจะจินตนาการได้ ว่าในภายหลังบรรดาลูกสาวของตระกูลเหอนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง จนป้าเหอกลายเป็นที่อิจฉาของคนทั้งหมู่บ้านในทันใด
“หรือว่าโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง?” หยุนเชวี่ยเงยหน้าขึ้นพูดกับตัวเอง ขณะมองดูภัตตาคารหลงชิ่ง
“เจ้ากำลังพูดอะไรหรือ?”
“ไม่มีอะไร”
“ช่างเถิด ไปซื้อหม้อกันก่อน แล้วค่อยพาท่านแม่ไปกินข้าว” หยุนลี่เต๋อที่รู้สึกผิดต่อภรรยาและลูก ๆ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “หิวหรือไม่?”
“ท่านพ่อ ท่านใจดีกับพวกข้ามาก” เมื่อพ่อของนางแสดงความห่วงใยออกมา หยุนเชวี่ยก็รีบวิ่งไปข้างหน้า และกลายเป็นลูกสาวที่ดี พร้อมกับทำตัวน่ารักออดอ้อนเหมือนเด็กทารกขึ้นมาทันที
พ่อผู้ต่ำต้อยของนางจริงใจและซื่อสัตย์อย่างที่เคยเป็นมาเสมอ “กินให้อิ่ม จะได้มีแรงทำงาน!”
ร้านขายของชำตั้งอยู่สุดถนน มีทั้งน้ำมัน เกลือ ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู หม้อและกระทะทุกชนิดในนั้น
หม้อเหล็กราคาแตกต่างกันไปตามลักษณะบางหนาหรือเล็กใหญ่ แม่นางเหลียนเปรียบราคาและความคุ้มค่าแล้ว ในที่สุดก็เลือกซื้อหม้อที่ถูกที่สุดมา และยังซื้อเกลือหนึ่งถุง น้ำตาลอีกสองสามก้อน ทั้งหมดรวมเป็นเงินเก้าสิบห้าเหรียญ
แม่นางเหลียนแบ่งก้อนน้ำตาลให้เด็ก ๆ หยุนเยี่ยนลังเลที่จะกินมัน แต่หยุนเชวี่ยแบ่งก้อนน้ำตาลเข้าปากของนางและปากของท่านแม่ผู้เป็นที่รัก
หยุนลี่เต๋อมองดูภรรยาและลูกของเขาด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างมีความสุข จากนั้นหยิบหม้อขึ้นมาแล้วแบกไว้บนหลัง เขากลายเป็น ‘คนแบกหม้อ’ อย่างแท้จริง
“ไปกันเถอะ อยากกินอะไร?”
ลูกสาวคนโตของเขานั้นขี้อายและเก็บตัว ส่วนลูกชายคนเล็กไม่ค่อยชอบพูด ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หยุนลี่เต๋อเคยชินกับการรับฟังความเห็นของลูกสาวคนรอง ถึงแม้ว่านางจะเป็นคนกังวลต่อเรื่องราวต่าง ๆ น้อยที่สุดก็ตาม
“อิอิ ท่านแม่ ท่านพ่อถามท่าน” หยุนเชวี่ยผลักมารดาไปยืนตรงหน้าพ่อซื้อบื้อของนาง ก่อนจะหันไปเดินกับหยุนเยี่ยนและเสี่ยวอู่ด้วยตัวเอง
“ไหน ๆ พวกเราก็ได้เข้าเมืองแล้ว ถ้าเช่นนั้น…” แม่นางเหลียนสีหน้ายุ่งเหยิง แม้ว่านางจะอยากให้เด็ก ๆ ได้กินของดี ๆ แต่นางก็ยังลังเลที่จะใช้เงิน
“เสี่ยวอู่ เจ้าชอบเมืองนี้หรือไม่?” หยุนเชวี่ยถามพร้อมกับจับมือของเขา
เสี่ยวอู่พยักหน้า ดวงตาของเขาถูกร้านค้าแผงลอยที่มีชีวิตชีวาตามข้างถนนดึงดูดโดยไม่รู้ตัว เจ้าของร้านแผงลอยถือห่วงเหล็กบาง ๆ ไว้ในมือ เขารื้อมันอย่างรวดเร็วแล้วตะโกนขึ้น “เข้ามาดู เข้ามาชม! ทุกท่านที่ผ่านไปมา หากใครสามารถแก้ห่วงเก้าวงนี้ได้ภายในเวลาหนึ่งก้านธูป จะยกของเล่นชิ้นนี้ให้เลยโดยไม่คิดเงิน!”
“พวกเราไปดูกันเถอะ”
ทั้งสองเบียดตัวเข้าไปที่แผงร้านค้า หยุนเชวี่ยเงยหน้าขึ้นมองและยิ้มให้เจ้าของร้าน “ท่านลุง ไม่คิดเงินจริง ๆ หรือ?”
“หากแก้ห่วงนี้ได้ไม่คิดเงิน” พ่อค้าหยิบพวงห่วงเหล็กแล้วเขย่าก่อนจะยื่นให้นาง “สาวน้อย มาลองดูดีหรือไม่?”
หยุนเชวี่ยหยิบมันขึ้นเขย่าเล่น “ท่านลุง ให้น้องชายข้าลองเล่นด้วยได้หรือไม่?”
“ได้”
มีผู้คนมากมายอยู่รอบๆ แผงลอย บ้างขมวดคิ้วสีหน้ายุ่งเหยิง บ้างลูบคางอย่างใช้ความคิด และมีบางส่วนที่ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงซื้อมันเพื่อเอากลับไปไตร่ตรองที่บ้าน
“เชวี่ยเอ๋อ เสี่ยวอู่ พวกเจ้าสองคนมาทำอะไรที่นี่?” แม่นางเหลียนและหยุนลี่เต๋อตามมา
“ท่านลุงบอกว่าหากแก้ห่วงนี้ได้ ก็จะไม่คิดเงิน” หยุนเชวี่ยไม่รีบร้อนเริ่มต้น แต่จ้องไปที่พวงของห่วงเหล็กเก้าวงอย่างละเอียด
ในชีวิตที่แล้ว นางเคยเล่นห่วงแบบนี้ ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะใช้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์ในการหาวิธีการ
หยุนเชวี่ยลอบถอนหายใจ เหตุใดแก้โจทย์ห่วงเหล็กของนางถึงได้ดูเหมือนสงครามขนาดย่อม?
เจ้าของร้านเห็นว่านางยังคงอ้อยอิ่งและดูงุนงงอยู่เล็กน้อย “เป็นอย่างไรสาวน้อย ห่วงวงแรกก็ยังแก้ง่ายอยู่”
ทันทีที่เขาเงียบเสียงลง หยุนเชวี่ยก็เริ่มทำ แต่นางไม่ได้อย่างไร้ระเบียบแบบแผน ก่อนอื่นเริ่มจากหยิบห่วงวงแรกวางลงตรงกลาง โดยยึดจากห่วงวงแรกเป็นหลัก ต่อมาถอดห่วงวงที่สามข้ามห่วงวงที่สอง จากนั้นจึงนำห่วงวงแรกมาซ้อนติด เพื่อให้สามารถแก้ห่วงวงที่หนึ่งและวงที่สองได้พร้อมกัน
หลังจากนางสามารถแก้ห่วงออกมาได้สามวง สายตาของเจ้าของร้านก็เริ่มเปลี่ยนไป เขาหยุดตะโกนและจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวมือของนาง
ตามวิธีการแก้ห่วงวงที่สาม หยุนเชวี่ยข้ามห่วงวงที่สี่และดึงห่วงวงที่ห้าออก ขั้นตอนต่อไปคือการกลับมาถอดห่วงวงที่สี่ ห่วงวงที่สามต้องอยู่บนแกน จึงจำเป็นต้องนำห่วงสองวงแรกเข้ามาซ้อนอีกครั้ง
จุดประสงค์ของคนทั่วไปคือ ‘รื้อ’ ออกมาเท่านั้น แต่วิธีการของนางคือถอดประกอบ ถอดประกอบ และประกอบอย่างต่อเนื่อง กระบวนการนี้ดูเหมือนซับซ้อนแต่ความจริงแล้วมีหลักที่ต้องปฏิบัติตาม
ไม่รู้ว่าผู้คนรอบตัวเงียบกันไปตั้งแต่เมื่อไหร่ สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่นางรวมถึงเสี่ยวอู่ แววตาที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความชื่นชม
เมื่อห่วงทั้งเจ็ดถูกถอดออก ฝูงชนก็โห่ร้องออกมาพร้อมกัน
หลังจากแก้ห่วงทั้งเก้าออกหมดแล้ว เมื่อหยุนเชวี่ยเงยหน้าขึ้น ถึงได้รู้ว่าตนกำลังถูกจับตามอง กลุ่มคนเหล่านั้นต่างยื่นศีรษะเข้ามาดูและจ้องมองกัน
“ดีมาก! เก่งมาก!” จู่ ๆ เจ้าของร้านก็ตะโกนขึ้นและเป็นผู้นำปรบมือ ทำให้เธอประหลาดใจขึ้นมาทันที
“สาวน้อยคนนี้ยังเด็กมาก นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!”
“ลูกชายงี่เง่าที่บ้านข้า ซื้อห่วงนี้กลับไปเมื่อวาน เขาจุดตะเกียงน้ำมันเพื่อหาวิธีอยู่ทั้งคืน ยังไม่เข้าใจเลย…”
“สาวน้อย เจ้าอายุเท่าไหร่?”
แม้ว่าบางคนจะไม่ประสบความสำเร็จและรู้สึกอับอาย แต่หยุนเชวี่ยเขินอายมากที่ได้รับคำชม “สิบสองปีเจ้าค่ะ”
* สามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำเหอ อีกสามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำเหอ อุปมาว่า เรื่องราวเปลี่ยนแปลงรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน โลกนี้ล้วนไม่เที่ยง