ตอนที่ 30 พันธสัญญาสามวัน

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 30 พันธสัญญาสามวัน

“อายุแค่สิบสอง ไม่เลว ไม่เลว…”

“น่าเสียดายที่เป็นผู้หญิง หากเป็นผู้ชายต้องก้าวหน้าอย่างแน่นอน!”

“สาวน้อย กลอุบายนี้มีอะไรบ้าง บอกพวกเราเร็ว”

ดวงตาราวกับลูกแก้วสีนิลของหยุนเชวี่ยสอดส่ายไปรอบ ๆ นางสั่นศีรษะพร้อมกับเอ่ยขึ้น “คงไม่ดีนัก หากข้าพูดไป มันจะไม่กระทบกับกิจการของพ่อค้าแผงลอยหรือ? หรือว่า…”

นางเหลือบไปมองที่พ่อค้าแม่ค้าและยิ้มออกมา “ทุกคนช่วยกันซื้อคนละชิ้น จากนั้นข้าจะวาดภาพสอนเคล็ดลับการแก้ห่วงให้ พวกท่านว่าอย่างไร?”

“มา ๆ เถิด เหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย เพียงสิบเหรียญเพื่อความบันเทิง จ่ายสิบเหรียญเพื่อความสนุก…” เจ้าของร้านรู้และรีบตะโกนขึ้นอีกครั้ง

“ฮ่าฮ่า สาวน้อยเจ้าช่างน่าสนใจจริง ๆ” ชายวัยกลางคนที่เส้นผมเหยียดตรง หัวเราะเสียงดังและหยิบเหรียญทองแดงสิบเหรียญจากแขนของเขา “เอาล่ะ ข้าซื้อหนึ่งอัน”

“น่าสนใจ เราเทียบกับสาวน้อยผู้นั้นไม่ได้เลย พี่ชาย ข้าเอาหนึ่งอัน!”

“ท่านพ่อ ข้าก็อยากได้…”

ผู้คนชอบที่จะส่งเสียงดัง ยิ่งเสียงดังมากเท่าไหร่ ยิ่งมีพลังมากเท่านั้น ในชั่วพริบตา ผู้คนครึ่งถนนก็ถูกดึงดูดด้วยความตื่นเต้นเข้ามาที่นี่

พ่อค้าหาบเร่มีความสุขราวกับดอกไม้บานสะพรั่ง ภายในเวลาไม่นานถุงเงินที่เอวของเขาก็โป่งพองขึ้น

เจ้าของร้าน “ว่านเหอการค้า” ข้าง ๆ หยิบกระดาษและพู่กันออกมาด้วยตนเอง ก่อนจะเดินเอามือไพล่หลังเข้าไปด้วยความสนใจ เพื่อดูภาพวาดของหยุนเชวี่ย

“สาวน้อย เจ้าเขียนอักษรไม่ได้หรือ?” เจ้าของร้านถามขึ้นเมื่อเห็นนางจับพู่กันด้วยท่าทางเงอะงะ

“ไม่ได้”

“บ้านเจ้าอยู่ที่ไหน?”

“หมู่บ้านไป๋ซี ห่างไปสิบห้าลี้”

“เจ้าฉลาดมาก หากเป็นเด็กผู้ชาย ข้าคงให้เจ้ามาฝึกงานที่ร้านข้าแล้ว” เจ้าของร้านขมวดคิ้วด้วยความเสียดาย ก่อนจะถามต่อ “มีพี่น้องหรือไม่?”

“ขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่าน” หยุนเชวี่ยวางพู่กันลงโบกมือในลักษณะเดียวกัน “แต่น้องชายของข้าอยากเรียนหนังสือ”

เจ้าของร้านหัวเราะ “เรียนหนังสือก็ดี อนาคตข้างหน้าจะได้ก้าวไกล…”

ขณะที่พูด หยุนเชวี่ยก็ได้วาดภาพกลวิธีแก้ห่วงเก้าวงซึ่งมีมากกว่าสิบขั้นตอน ไม่มีตัวอักษรใดในภาพวาด แต่แค่มองดูก็น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก

นางพองแก้มเป่ากระดาษข้าวที่มีกลิ่นหอมของหมึก ก่อนจะยื่นให้คนขาย เขายกนิ้วโป้งและกล่าวชื่นชม “นี่เป็นวิธีที่ดี! เหตุใดข้าถึงไม่เคยคาดคิดมาก่อน?”

“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะสามารถวาดภาพลวดลายงดงามถึงเพียงนี้ได้” เจ้าของร้านมองดูอย่างละเอียดและถอนหายใจออกมา

ภาพวาดการแยกชิ้นส่วนห่วงเก้าวงดูเรียบง่าย แต่ความจริงแล้วต้องใช้จินตนาการเชิงพื้นที่ที่แข็งแกร่ง คล้ายกับการจำลองภาพสามมิติ ซึ่งเป็นหนึ่งในทักษะของวิศวกรรมศาสตร์

วิธีการอันมีเสน่ห์ของหยุนเชวี่ยคือการจับจิตวิทยาของผู้คน

ในการเผชิญหน้ากับการแก้กลห่วงทั้งเก้านั้น หากผู่เล่นไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลยตั้งแต่เริ่มต้น คนส่วนใหญ่ก็จะหมดความสนใจไปในทันที แต่ถ้าหากบอกวิธีแก้ปัญหาโดยตรง นั่นก็ยิ่งทำให้ผู้เล่นรู้สึกเบื่อหน่ายเช่นกัน

การใช้รูปภาพเป็นแนวทางอธิบายทีละขั้นตอน ด้วยวิธีนี้จะทำให้ผู้คนมีความสุขและมีส่วนร่วมในการคิด การทดลองอย่างต่อเนื่อง

ด้วยความเห็นแก่ตัวเล็กน้อย ตัวนางเองก็ได้ทิ้งเจตนารมณ์เอาไว้

“ลุง ป้า น้า อาทั้งหลาย…” หยุนเชวี่ยยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนมากมาย พร้อมกับตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงสดใส “วันนี้ข้าต้องไปทำธุระบางอย่างกับครอบครัว จึงไม่สามารถอยู่ที่ได้นาน หากมีผู้ใดไม่เข้าใจ…”

นางหยุดพูดอย่างมีจังหวะจะโคน เมื่อทุกคนเริ่มสบตากัน นางก็กระแอมในลำคอและกล่าวต่อไปว่า “อีกสามวันหลังจากนี้ ข้าจะมาที่นี่ ในเวลานี้ เพื่ออธิบายให้พวกท่านฟังทีละคน”

“แต่ถ้าหากผู้ใดที่แก้กลห่วงเก้าวงนี้ได้คล่องแคล่ว ก็จะสามารถแข่งกันว่าใครทำเวลาได้เร็วกว่าใคร เป็นอย่างไร?”

ทันที่ที่นางเงียบเสียงลง ทุกคนรีบตอบกลับโดยฉับพลัน “ตกลง อีกสามวันเจอกัน!”

“สาวน้อยเสียงดังฟังชัดยิ่งนัก ข้าเอาด้วย!”

“ข้าก็ด้วย!”

เมื่อเจ้าของร้านว่านเหอการค้า เห็นการต่อสู้ที่ครึกครื้นเช่นนี้ เขาก็ตัดสินใจได้ในทันที “ทุกคนดูมีความสุขมาก ร้านว่านเหอของข้าจะร่วมมอบรางวัลและเข้าร่วมกิจกรรมอันน่าตื่นเต้นนี้…”

ทันทีที่เขากล่าววาจานี้ออกมา ก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นเกรียวกราว

“ดียิ่ง เจ้าของร้านจงร่ำรวย!”

“เถ้าแก่หูใจดียิ่งนัก!”

“เช่นนั้นต้องถามว่า มีตอนไหนหรือที่ร้านว่านเหอการค้าไม่เจริญรุ่งเรื่อง?”

หยุนเชวี่ยคิดว่าเจ้าของร้านรายใหญ่ผู้นี้ เป็นนักธุกิจที่มีกลยุทธ์ยอดเยี่ยมจริง ๆ จึงยิ้มและกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ขอบคุณสำหรับความเมตตา วันนี้เรามาทำข้อตกลงสุภาพบุรุษกันเถอะ”

“แม้จะได้ภาพวาดไปแล้ว แต่การจะแก้กลเก้าห่วงได้หรือไม่นั้นอยู่ที่ความสามารถของแต่ละคน หากมีคนพยายามสอบถามวิธีแก้ปัญหาจะถือว่าไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันนี้ ตัวข้าเถ้าแก่หูจะเป็นพยายให้เอง ท่านว่าอย่างไร?”

“ได้!”

“แน่นอน พวกเราจะได้ไม่ขายหน้าสาวน้อยอย่างไรล่ะ”

“ฮ่าๆ เถ้าแก่หูเป็นผู้มีคุณธรรมยิ่งนัก!”

หยุนเชวี่ยโค้งคำนับเขาอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณท่านมาก”

ที่ปลายถนนทางด้านตะวันออก เป็นที่ตั้งของร้านก๋วยเตี๋ยวหวังจี้ ครอบครัวหนึ่งนั่งล้อมรอบโต๊ะไม้เล็ก ๆ

หยุนเยี่ยนเทน้ำใส่แก้วให้สมาชิกในครอบครัวอย่างตั้งใจ ในขณะที่เสี่ยวอู่ก้มหน้าจดจ่อกับการเล่นห่วงทั้งเก้า ในตอนนี้เขาจดจ่ออยู่กับมันมาก

หยุนเชวี่ยมองดูเขาอยู่ห่าง ๆ พร้อมกับถอนหายใจ เด็กน้อยผู้นี้น่าทึ่งมาก!

มีไม่กี่คนที่จะเข้าใจ แม้ว่าจะทำตามแบบภาพวาด แต่เสี่ยวอู่เพียงเหลือบตามองแค่สองสามครั้ง ก็ดูเหมือนจะเข้าใจกุญแจสำคัญของกลนี้แล้ว

“ตรงนี้…”

นางอดไม่ได้ที่บอก แต่ก่อนที่นางจะเอื้อมมือออกไป เซียวอู่ก็รีบซ่อนห่วงทั้งเก้าวงไว้ข้างหลัง

“ได้ ๆ พี่สาวไม่บอกแล้ว ปล่อยให้เจ้าคิดเองใช่หรือไม่?”

เสี่ยวอู่พยักหน้า เปลือกตาของเขาหลุบต่ำลง จากนั้นก็กลับไปจมอยู่ในห้วงความคิดอีกครั้ง

แม่นางเหลียนหยิบผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ตรงเอว ขึ้นมาเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากของนาง “เด็กคนนี้ไม่รู้ว่าไปหัดเรียนรู้มันตั้งแต่เมื่อไหร่ ชอบเล่นอะไรแปลก ๆ อยู่เรื่อย”

“นั้นสิ มันดูแปลกนัก” หยุนลี่เต๋อผู้บึกบึน นั่งลงครอบครองที่นั่งไปครึ่งหนึ่ง เมื่อเขายิ้มดูคล้ายกับหมีกำลังแยกเขี้ยว “ไม่เห็นหรือว่าแม้แต่คนในเมือง ยังยกย่องความสามารถของลูกสาวเรา?”

“ถือเป็นความสามารถหรือ” แม่นางเหลียนชำเลืองมองสามีและลูกสาวด้วยความกรุ่นโกรธ ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำชา และคว้ามือที่เปื้อนหมึกของหยุนเชวี่ยมาบรรจงเช็ดอย่างระวัง “เหมือนม้าดีดกะโหลก โตจนจะเป็นสาวแล้ว แต่กล้าไปยืนร้องตะโกนต่อหน้าผู้คน น่าอายนัก”

“แล้วอย่างไร” หยุนเชวี่ยเทน้ำชาอีกสองถ้วย “คนทำธุรกิจก็เป็นเช่นนี้ พวกเราไม่ได้ไปขโมยหรือปล้นใคร หากินด้วยความสามารถ ไม่ต้องอายฟ้าดิน ท่านพ่อไม่คิดเช่นนี้หรือ?”

หยุนลี่เต๋อหัวเราะอย่างมีความสุข “ลูกสาวของพ่อพูดจามีเหตุผล”

“เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก” แม่นางเหลียนจิ้มหน้าผากของนางอย่างนุ่มนวล แม้จะหายโกรธแล้ว แต่ก็ยังไม่ยิ้มออกมา “คนทั้งโลกจะจดจำชื่อเจ้า”

“เชวี่ยเอ๋อ อีกสามวันจะกลับมาทำอะไรในเมืองอีกหรือ?” หยุนเยี่ยนเอ่ยถามน้องสาว

“ก็…” หยุนเชวี่ยกระพริบตา จงใจเปลี่ยนเรื่อง “ข้าหิวแล้ว กินข้าวก่อนแล้วค่อยคุยกัน”