ภาคที่ 2 บทที่ 207 เข้าสู่เกม

มู่หนานจือ

ไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยปรึกษากันว่าหากเจียงเซี่ยนแต่งงานกับหลี่เชียนจริงๆ จะรั้งหลี่เชียนไว้ที่เมืองหลวงอย่างไร

ส่วนจ้าวอี้นั้นพอกลับถึงวังเฉียนชิงก็เรียกวังจี่เต้าเข้าเฝ้าทันที

เขาบอกวังจี่เต้าเรื่องที่เฉาไทเฮาพระราชทานงานสมรสให้เจียงเซี่ยน และเอ่ยว่า “เจ้าว่า ไทเฮาทำแบบนี้มีเจตนาอะไรกันแน่? ข้าควรทำตามพระประสงค์ของไทเฮาและให้ขันทีไปแสดงความยินดีกับเจิ้นกั๋วกงหรือไปพบไทเฮาที่ภูเขาวั่นโซ่วและเตือนไทเฮาว่าอย่ายุ่งเรื่องนี้ล่ะ?”

วังจี่เต้าลูบเคราที่ดกขึ้นมาในช่วงเกือบครึ่งปีนี้ และรู้สึกว่าพระราชเสาวนีย์ฉบับนี้มาได้ลึกลับจริงๆ

หากหลี่เชียนแต่งงานกับท่านหญิงเจียหนานจริง ต่อให้ตระกูลเจียงไม่นั่งอยู่บนเรือลำเดียวกับตระกูลเฉา ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางที่จะใช้เจียงเจิ้นหยวนได้อย่างไร้ซึ่งความคลางแคลงใจเช่นกัน เท่ากับใช้การแต่งงานนี้ปลดเจียงเจิ้นหยวน ทำให้เจียงเจิ้นหยวนกลายเป็นของประดับในราชสำนักตั้งแต่นี้ไป ส่วนเจตนาของเฉาไทเฮานั้นก็เพียงแค่อยากดึงตระกูลหลี่ไปเป็นพวก จึงมอบลูกสะใภ้ที่ฐานะสูงศักดิ์จนตระกูลหลี่ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ให้ตระกูลของเขา ทำให้ตระกูลหลี่จงรักภักดีต่อตระกูลเฉามากขึ้น และเชื่อฟังอย่างจริงใจมากขึ้นเท่านั้น

หากพวกเขาควบคุมได้เหมาะสม ไม่ให้ตระกูลหลี่กระโดดขึ้นมา ก็สามารถทำให้แผนการของเฉาไทเฮาล้มเหลวได้อย่างสิ้นเชิง

เขาบ่นพึมพำออกมาทันที และค่อยๆ เอ่ยว่า “ฝ่าบาท ตามที่กระหม่อมกล่าว ท่านหญิงเจียหนานแต่งเข้าตระกูลหลี่อย่างไรก็ดีกว่าแต่งเข้าจวนจิ้งไห่โหว ฝ่าบาทก็ทรงทราบเช่นกันว่า จวนจิ้งไห่โหวได้รับคำสั่งให้ตั้งมั่นรักษาการณ์ฝูเจี้ยน ฝ่าบาทพระองค์ก่อนเห็นแก่ที่ทั้งสองฝ่ายเป็นตระกูลเดียวกัน จึงเอาใจใส่จวนจิ้งไห่โหวมากเป็นพิเศษมาโดยตลอด แถมยังมอบหมายเรื่องการจัดตั้งกองทัพเรือฝูเจี้ยนให้พวกเขา ใครจะรู้ว่าพวกเขากลับไม่เห็นแก่บุญคุณของฝ่าบาท ทุกครั้งที่ราชสำนักมีเรื่อง ส่วนมากก็จะบอกปัด น้อยครั้งที่จะขจัดความลำบาก ท่านหญิงเจียหนานได้รับความโปรดปรานจากไทฮองไทเฮาและฝ่าบาท หากแต่งเข้าจวนจิ้งไห่โหว บรรยากาศจะไม่ดูร้อนแรงยิ่งขึ้น จนทำให้จิ้งไห่โหวมีอำนาจมากขึ้น และควบคุมได้ยากอย่างนั้นหรือ”

“แต่ตระกูลหลี่มาจากตระกูลรากหญ้า เหมือนจอกแหนที่ลอยน้ำ อยู่ได้โดยอาศัยไทเฮา”

“หลังจากไทเฮามอบอำนาจคืนให้ฝ่าบาท ทุกหนทุกแห่งในใต้หล้าล้วนเป็นแผ่นดินของฝ่าบาท ทุกคนต่างเป็นขุนนางและประชาชนของฝ่าบาท จะเลื่อนตำแหน่งให้ขุนนางทั้งราชสำนักก็ดีหรือพระราชทานรางวัลให้แม่ทัพและทหารก็ตามต่างก็ควรทำตามพระดำริของฝ่าบาท”

“แทนที่จะให้ท่านหญิงเจียหนานแต่งเข้าจวนจิ้งไห่โหวและทำให้จิ้งไห่โหวที่ดูดีอยู่แล้วดูดียิ่งขึ้น สู้ทำตามพระประสงค์ของไทเฮาดีกว่า แถมยังสามารถฉวยโอกาสเปลี่ยนคนไปเมืองจี้ได้ด้วย”

ตระกูลเจียงคุมเมืองจี้มาโดยตลอด เปลี่ยนคนไปเมืองจี้นั้นเป็นวิธีพูดหยั่งเชิงทางอ้อม สิ่งที่วังจี่เต้าจะสื่อคือสามารถฉวยโอกาสนี้กุมอำนาจทางการทหารของเมืองจี้ไว้ในมือได้

จ้าวอี้พลันคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในทันใด และเอ่ยว่า “แทนที่จะเปลี่ยนคนเมืองจี้ สู้เปลี่ยนคนไปต้าถงหรือเมืองเซวียนดีกว่า!”

“หลายวันก่อนกระหม่อมได้ถามสำนักหอดูดาวหลวงแล้ว” วังจี่เต้าเอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “พวกเขาบอกว่าปีนี้อากาศผิดปกติมาก ทางเหนือไถดินเตรียมเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิไม่ทัน เมื่อถึงฤดูร้อนที่ขาดแคลนกำลังทรัพย์ กำลังสิ่งของ และกำลังคนชั่วคราว เกรงว่าชนกลุ่มน้อยทางเหนือจะเข้ามารุกราน ต้าถง เมืองเซวียน และไท่หยวนอยู่วงแหวนที่ห้าชานเมืองหลวง พวกแม่ทัพต่างก็เป็นแม่ทัพเก่าแก่ที่กรีธาทัพทำสงครามในสนามรบมาหลายปี การเปลี่ยนแม่ทัพอย่างกะทันหันเป็นข้อห้ามที่สำคัญของผู้คุมกำลังทหาร หากฝ่าบาทอยากเปลี่ยนคน รอไปก่อนดีกว่า ไว้ปีหน้าฝนตกต้องตามฤดูกาลค่อยจัดการก็ไม่สายเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”

คำพูดที่นุ่มนวลของเขาทำให้จ้าวอี้รู้สึกสบายใจมาก จึงพยักหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายพลางเอ่ยว่า “อืม” และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ราชเลขาธิการวังพิจารณาทุกเรื่องอย่างละเอียดรอบคอบ ลำบากแล้ว ไปรับสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือที่กรมวังสักชุดแล้วกัน!”

ท้องพระคลังของกรมวังเป็นคลังส่วนตัวของฮ่องเต้

วังจี่เต้ารีบคุกเข่าลงขอบคุณ

จ้าวอี้ตัดสินใจไม่ไปหาและต่อว่าเฉาไทเฮาที่ภูเขาวั่นโซ่วแล้ว

ถึงอย่างไรเขาไปแล้วหากไม่ถูกเฉาไทเฮาดูถูกก็ถูกเฉาไทเฮาสั่งสอน

จริงอย่างที่วังจี่เต้าเอ่ย แทนที่จะให้เป่าหนิงแต่งงานกับจ้าวเซี่ยวและให้นางสร้างบารมีให้จวนจิ้งไห่โหว สู้ให้เป่าหนิงแต่งงานกับหลี่เชียนดีกว่า ต่อไปเป่าหนิงก็ยังสามารถอยู่ที่เมืองหลวง เข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนไทฮองไทเฮา และค้างคืนที่วังฉือหนิงบ่อยๆ ได้…ส่วนหลี่เชียนนั้น ในความทรงจำของเขาเหมือนจะหน้าตาไม่เลว ในด้านหน้าตาก็ไม่ได้ทำให้เป่าหนิงด้อยไปกว่าผู้อื่นเช่นกัน…

เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าการแต่งงานนี้ดี จึงตัดสินใจว่าจะบอกข่าวนี้กับเจียงเซี่ยนในวันรุ่งขึ้น และถือโอกาสโน้มน้าวไทฮองไทเฮาด้วย

เพียงแต่เป่าหนิงเจ้าอารมณ์มาก ตอนที่เขาไปเอาพวกของที่นางชอบไปหลอกให้นางอารมณ์ดีก่อนจะดีที่สุด เขาสามารถรับปากได้แม้กระทั่งว่าจะสร้างจวนองค์หญิงให้นางใหม่หลังหนึ่ง ให้นางจัดให้หลี่เชียนอยู่ที่นั่น และนางก็ยังคงปรนนิบัติไทฮองไทเฮาได้เหมือนเมื่อก่อน

จ้าวอี้ตะโกนเรียก “เสี่ยวโต้วจึ” เสียงดัง

ตู้เซิ่งวิ่งเหยาะๆ เข้ามา

เขาสั่งเสี่ยวโต้วจึว่า “ไปดูที่กรมวังหน่อยว่ามีของอะไรเหมาะที่จะมอบให้ท่านหญิงเจียหนานบ้าง”

เสี่ยวโต้วจึยิ้มพลางขานรับ แล้วเรียกนางในกับขันทีเข้ามาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้จ้าวอี้ และไปที่กรมวัง

ระหว่างทาง ตอนที่ผ่านตำหนักอู่อิง มีนางในหลายคนที่ไม่รู้ว่ากำลังถืออะไรอยู่เดินเข้ามาตรงหน้าพวกเขา

เหล่านางในรีบหลีกทาง และยืนชิดกำแพงอย่างเป็นระเบียบ รอให้เกี้ยวของเขาผ่านไปอย่างว่านอนสอนง่าย

หางตาของจ้าวอี้แฉลบผ่านไปอย่างไม่สนใจ

มีนางในปักปิ่นปักผมทองลายภาษาสันสกฤต และเสียบปิ่นปักผมอีกชิ้นบนศีรษะ กำลังก้มหน้าอยู่ เผยให้เห็นช่วงคอที่ขาวนวลที่ดูขาวกว่าน้ำค้างแข็งและหิมะ

จู่ๆ จ้าวอี้ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

ในวังมีแต่สตรีที่อายุเกินยี่สิบปีและค่อนข้างมีคุณสมบัติกับประสบการณ์ที่จะแต่งตัวแบบนี้ได้

เขาอดที่จะหันกลับไปมองไม่ได้

คนผู้นั้นเงยหน้าพอดี

ดวงตาสดใสเหมือนสตรีที่กำลังอยู่ในวัยสาวและสวย สายตาแฝงไปด้วยอารมณ์ ใบหน้าขาวผ่องเหมือนพระจันทร์เต็มดวง และรูปร่างดีจนเสื้อกันหนาวที่มีซับในกับกระโปรงของสตรีชาววังก็ไม่สามารถปิดบังได้

จ้าวอี้ถามเสี่ยวโต้วจึเสียงเบา “นางเป็นใคร?”

เสี่ยวโต้วจึก้มหน้าลงอย่างละอายใจ และเอ่ยเสียงเบามากว่า “กระหม่อมจะไปถามเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ!”

จ้าวอี้จึงวางใจ และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าไม่ได้รีบไปกรมวังขนาดนั้นแล้ว ถึงอย่างไรต่อให้เป่าหนิงโกรธเขา เขาหลบหน้าไปหลายวัน ตอนที่เจอกันอีกครั้ง นางก็หายโกรธแล้ว

พูดถึง เรื่องนี้เป่าหนิงดีที่สุดแล้ว นางไม่เคยยึดติดกับเรื่องในอดีตและเรื่องเก่าเช่นนิสัยสตรีทั่วๆ ไป

เขาตั้งฮองเฮาที่มีอำนาจมากไม่ได้ ก็เหมือนกับที่เป่าหนิงไม่ควรแต่งกับจ้าวเซี่ยวเพื่อเสริมบารมีจวนจิ้งไห่โหว

ถึงเวลานั้นไม่มีคนกล้ายุ่งกับเขา ก็ไม่มีคนกล้ายุ่งกับเป่าหนิงเช่นกัน

จ้าวอี้ไปกรมวังอย่างสบายอารมณ์

ทว่าเจียงลวี่ที่อยู่ไกลยังวัดป่าโอสถนั้นกลับโกรธจนกระทืบเท้าตลอด และเอ่ยว่า “ตอนที่ข้าไม่อยู่ หลี่เชียนแอบเข้ามาคุยอะไรกับเจ้าอีกใช่หรือไม่? ไม่เจอกันครู่เดียว เจ้าก็เปลี่ยนใจแล้ว ไม่กลับเมืองหลวง หรือว่าเจ้าอยากไปไท่หยวนกับหลี่เชียนอย่างนั้นหรือ? เจ้าจะรักษาเกียรติยศตนเองสักหน่อยไม่ได้หรือ? ต่อให้เจ้าอยากแต่งงานกับหลี่เชียนเอง ฝ่าบาทก็พระราชทานงานสมรสให้พวกเจ้าแล้ว เจ้ายังกลัวเขาหนีอีกอย่างนั้นหรือ ถึงเจ้าจะไม่สนใจ แต่ก็ไว้หน้าพี่ชายของเจ้าบ้าง ตอนที่ข้าอยู่ เจ้าอย่าสนใจเขา อย่าเชื่อฟังเขาได้หรือไม่!”

“ท่านพี่อาลวี่!” เจียงเซี่ยนไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงเอ่ยว่า “ท่านฟังข้าพูดให้จบได้หรือไม่!”

เจียงลวี่นั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือข้างกายนางอย่างโมโห เขาอดกลั้นความโกรธเอาไว้ และเอ่ยว่า “เจ้าว่ามา เจ้าว่ามา”

เจียงเซี่ยนรีบส่งสัญญาณให้หลิวตงเยว่นำชามาให้เจียงลวี่ใหม่อีกถ้วย แล้วถึงเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านพี่อาลวี่รู้หรือไม่ว่าพระราชโองการฉบับนั้นได้มาอย่างไร?”

เจียงลวี่ทำเสียงไม่พอใจเบาๆ และเอ่ยว่า “พวกเจ้าไม่บอกข้า ข้าก็พอเดาได้บ้างเช่นกัน เป็นไปได้ว่าเฉาไทเฮาเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี กลัวว่าตนเองจะเดือดร้อน จึงให้เฉาเซวียนไปยุให้ไทฮองไทเฮาคิดหาทางทำราชโองการให้เจ้าฉบับหนึ่ง…”

ดังนั้นเขาถึงโกรธมาก

ทั้งที่รู้ดีว่าเป็นกับดัก ทว่าพวกเขาก็คาดเดาได้อย่างแม่นยำว่าเจียงเซี่ยนจะใจอ่อนจนจำเป็นต้องกระโดดลงไป

เจียงเซี่ยนรู้ว่าเจียงลวี่ความรู้สึกไวกับสถานการณ์ทางการเมืองมาก แล้วก็เฉลียวฉลาดมากเช่นกัน ต่อให้นางไม่พูด ก็ปิดบังเขาไม่ได้อยู่ดี

นางเล่าให้เจียงลวี่ฟังว่าไทฮองไทเฮาใช้พระราชเสาวนีย์เปลี่ยนเป็นพระราชโองการอย่างไร

เจียงลวี่ก็เข้าใจจุดสำคัญในนั้นทันที

เขาทำหน้าขรึม และเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เจ้ากลัวว่าฝ่าบาทจะเล่นลูกไม้หรือ?”

———————————–