เจียงเซี่ยนกังวลจริงๆ
ชาติก่อนนางรู้สึกว่าจ้าวอี้รักคนสกุลฟางมาก ไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ปล่อยให้คนสกุลฟางขายตำแหน่งขุนนางและบรรดาศักดิ์เพื่อสะสมความมั่งคั่ง หลอกนางว่าเซียวซูเฟยเป็นคนให้กำเนิดจ้าวสี่ เหยียบย่ำศักดิ์ศรีและหน้าตาของนางไว้ใต้เท้า ไม่เห็นแก่มิตรภาพระหว่างทั้งสองคนแม้แต่น้อย ทว่าชาตินี้คนสกุลฟางถูกเฉาไทเฮากักบริเวณอยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่ว ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร จ้าวสี่ถูกบันทึกชื่อไว้ใต้ชื่อของซ่งเสียนอี๋ อนาคตยังไม่รู้แน่ชัด แต่เขากลับเหมือนไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว ไม่เพียงแต่ไม่ออกหน้าเพื่อคนสกุลฟางอย่างโกรธแค้นเหมือนชาติก่อน ทว่ายังเห็นด้วยกับวิธีการของเฉาไทเฮา และโยนให้เฉาไทเฮาคุมคนสกุลฟางกับจ้าวสี่ด้วย
หากรักใคร่คนๆ หนึ่งอย่างจริงใจจะเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?
สรุปแล้วจ้าวอี้คิดอย่างไรกันแน่?
หรือว่าเขารังแกคนที่อ่อนแอและกลัวคนที่แข็งแกร่งอย่างนั้นหรือ?
ตอนนั้นคนที่จัดการคนสกุลฟางคือนาง เขาก็มาสู้เอาเป็นเอาตายกับนาง เวลานี้คนที่คุมคนสกุลฟางคือเฉาไทเฮา เขาก็จำเป็นต้องอดทนไว้…
เจียงเซี่ยนคิดถึงเรื่องพวกนี้ก็ขมวดคิ้วตลอด
รู้สึกว่าตนเองเป็นคนมาสองชาติ ก็ไม่สามารถมองเห็นเนื้อในของจ้าวอี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ และรู้สึกหวาดกลัวทันที
นางเอ่ยกับเจียงลวี่ว่า “ข้าได้ยินหลี่เชียนบอกว่า ท่านส่งนกพิราบสื่อสารไปหาท่านลุงแล้ว ไม่อย่างนั้น…พวกเรา ไปเมืองหลวงอย่างช้าๆ ไว้ได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านลุงแล้วค่อยคิดอีกที?”
เจียงลวี่ครุ่นคิดอยู่นานมาก แล้วจู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืน และเอ่ยอย่างเด็ดขาดว่า “ไม่ แบบนั้นยุ่งยากเกินไป พวกเราไปต้าถง!”
เจียงเซี่ยนได้ยินก็เข้าใจทันที
ต้าถงเป็นเขตอิทธิพลของตระกูลเจียง เมื่อก่อนเจียงลวี่ยังเคยเป็นแม่ทัพโหยวจีและตอนหลังยังเคยเป็นแม่ทัพใหญ่ที่กองบัญชาการต้าถงด้วย ชาติก่อนนางก็รู้สึกใกล้ชิดกับที่นี่ ชาตินี้ได้ไปดูสักหน่อย นางก็คิดว่าไม่เลวเช่นกัน และหากร่องรอยของนางปรากฏออกมาชัดเจน ก็จะได้ประกาศว่านางตามเจียงลวี่ออกมาเที่ยวเล่น
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้” เจียงเซี่ยนสั่งให้หลิวตงเยว่ช่วยเก็บสัมภาระให้นางด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “พวกเราจะเร่งเดินทางให้เร็วขึ้นเป็นสองเท่าคืนนี้หรือว่าจะค่อยออกเดินทางพรุ่งนี้เช้ามืด?”
เวลานี้เป็นต้นยามโหย่วแล้ว เกรงว่ายังไม่ได้ลงจากเขา ฟ้าก็มืดแล้ว
“ออกพรุ่งนี้เช้ามืด!” เจียงลวี่เอ่ย “ข้ายังต้องไปทักทายเฉาเซวียนสักหน่อย”
สองพี่น้องแยกกันทำงาน
เพราะพวกชีกูต่างเป็นคนของหลี่เชียน ตอนที่เจียงเซี่ยนเก็บสัมภาระก็ให้ทั้งสามคนช่วยด้วยความใจกว้างที่ไม่มีเรื่องใดเปิดเผยไม่ได้ ดังนั้นไม่นานหลี่เชียนก็ได้ข่าวแล้ว ตอนที่เขากระหืดกระหอบมานั้น เจียงเซี่ยนก็เก็บของที่ต้องเก็บเรียบร้อยหมดแล้ว
“เป่าหนิง! เจ้าไปไม่ได้!” เขาหมุนไปรอบห้องโถง รีบจนตาแดงหมดแล้ว “เจ้าคิดว่าข้าปกป้องเจ้าไม่ได้หรือ?”
“อย่าทำตัวเป็นเด็ก!” เจียงเซี่ยนตวาดด่าเขาเสียงเบา “ข้าจะตามเจ้าไปไท่หยวนแบบนี้ได้อย่างไร? อย่างไรตอนที่ข้าออกเรือนก็ต้องอำลาไทฮองไทเฮา”
พูดไปพูดมา ก็ยังต้องกลับเมืองหลวง
หลี่เชียนไม่ให้นางไป “ไม่อย่างนั้นเจ้าก็อยู่ที่วัดป่าโอสถ ที่นี่ป้องกันง่ายโจมตียาก เป็นสถานที่ที่ดีที่สุด”
“ข้าไม่ได้จะทำสงครามเสียหน่อย!” เจียงเซี่ยนอดที่จะหัวเราะไม่ได้ และล้อเขาเล่นว่า “เจ้าก็แค่กลัวว่าตระกูลเจียงจะไม่ยอมรับเรื่องแต่งงานนี้เท่านั้น ไม่อย่างนั้น…ข้าให้เจียงลวี่เขียนข้อความให้เจ้า บอกว่าข้าแค่กลับบ้านกับเขาชั่วคราว แล้วหลังจากนั้นเจ้าก็ใช้ราชโองการเป็นหลักฐานไปสู่ขอที่บ้านข้า?”
เป็นแค่คำพูดล้อเล่นเท่านั้น ทว่าหลี่เชียนกลับฟังแล้วตาเป็นประกายทั้งสองข้าง และเอ่ยว่า “ได้” ติดกันหลายครั้ง แล้วก็อ้อนเจียงเซี่ยนจะให้เจียงเซี่ยนเขียนข้อความนี้ให้เขาให้ได้ พลางทำหน้าทะเล้นและเอ่ยว่า “เจ้าเขียนข้อความให้ข้า แล้วข้าจะไปต้าถงกับพวกเจ้า”
เจียงเซี่ยนยิ้มและเอ่ยว่า “ข้าเขียนจะมีประโยชน์อะไร? ต้องให้ท่านพี่เขียน ไม่อย่างนั้นคนทั่วไปจะบอกว่าพวกเราแอบให้กันเอง แล้วก็ไม่มีทางยอมรับอย่างเด็ดขาด”
หลี่เชียนเอ่ยว่า “เจ้าอยากให้ข้ายอมแพ้ต่อหน้าเจียงลวี่!”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่!” เจียงเซี่ยนเอ่ยพลางยิ้มตาหยี “เพราะข้าเขียนไปก็ไร้ประโยชน์”
หลี่เชียนเข้ามาใกล้เหมือนจะบอกความลับอะไรบางอย่าง และเอ่ยกับเจียงเซี่ยนเสียงเบาว่า “เจ้าวางใจ ไม่ช้าก็เร็วข้าก็จะจัดการเจียงลวี่ได้!”
เพียงแต่เสียงพูดของเขายังไม่ทันจางหาย เสียงอันเย็นยะเยือกของเจียงลวี่ก็ดังมาจากข้างนอกว่า “หลี่เชียน เหตุใดเจ้าต้องเข้าใกล้น้องสาวข้าขนาดนั้น?”
หลี่เชียนยิ้มพลางขยิบตาให้เจียงเซี่ยน แล้วนั่งตัวตรง และเอ่ยว่า “ท่านกั๋วกงน้อยหลับสบายดีหรือ? ได้ยินว่าเมื่อคืนท่านจับขโมยอยู่ครึ่งคืน ไม่รู้ว่าจับได้แล้วหรือ? คืนนี้ให้ข้าช่วยหรือไม่?”
นี่ก็ดันเอ่ยเรื่องที่ไม่ควรเอ่ยจริงๆ?
เจียงลวี่รู้สึกกลุ้มใจ และยิ้มเยาะพลางเอ่ยว่า “แม่ทัพหลี่ ชายหญิงมิควรใกล้ชิดกันเกินงาม ขอให้เจ้ากลับไปอยู่ที่ห้องของตนเองด้วย ส่วนพวกเราจะไปไหนนั้น เจียหนานยังไม่ได้แต่งงานกับเจ้า! อ้อ ต่อให้นางแต่งงานกับเจ้าแล้ว เจ้าก็แต่งงานกับท่านหญิงเช่นกัน เรื่องบางเรื่องจึงตัดสินใจไม่ได้เหมือนกัน และเจ้าก็ต้องเริ่มชินตั้งแต่ตอนนี้!”
หลี่เชียนไม่ใส่ใจ
เจียงลวี่ทำหน้าโกรธจัด แล้วก็ปิดประตูเสียงดังปัง ขังหลี่เชียนไว้นอกประตู
พวกชีกูต่างทำเป็นมองไม่เห็น
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านรู้ดีว่าเขาเป็นคนชอบยั่วโมโห แล้วจะสนใจคำพูดเขาทำไม!”
“เขาอยากแต่งงานกับน้องสาวของข้าแต่ไม่อยากอ่อนข้อให้พี่ชายภรรยาหรือ?” เจียงลวี่ชี้ม้านั่งที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่ใส่ใจ ส่งสัญญาณให้เจียงเซี่ยนนั่งลงคุยกัน “เจ้าก็เช่นกัน คนอื่นยังไม่แต่งไป ใจก็เอียงจนไม่มีความแน่นอนแล้ว ในเมื่อเขาเป็นคนที่เจ้าเลือก อย่างไรข้ากับท่านพ่อก็ต้องไว้หน้าเขาบ้างเช่นกัน เจ้าวางใจเถอะ ตอนนี้แค่ให้เขาชินก่อน เขาจะได้ไม่คิดว่าการได้แต่งงานกับเจ้าเป็นเรื่องง่ายๆ”
“ไม่หรอก!” เจียงเซี่ยนละอายใจ และเอ่ยว่า “ข้ายังเชื่อในตัวเขา”
อาจจะเพราะชาติก่อนพัวพันกับหลี่เชียนนานเกินไป เคยเป็นทั้งเพื่อนและคู่แข่ง ในเวลาหลายปีนั้น นางคิดถึงคนๆ นี้แม้กระทั่งตอนที่กินข้าวและนอนหลับ คิดว่าเขาจะทำอะไร จึงรู้จักเขาเป็นอย่างดี ความรู้สึกบางอย่างก็แยกให้ชัดเจนได้ยากมาก
เพียงแต่เรื่องนี้นางไม่อาจบอกเจียงลวี่ได้ จึงทำได้เพียงขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่เจียงลวี่ทำเพื่อนางจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างเงียบๆ
พวกเขากำหนดแล้วว่าจะออกเดินทางพรุ่งนี้เช้ามืด
คืนนี้เจียงลวี่ไม่ได้มาหาเจียงเซี่ยน
ทว่าหลี่เชียนก็ไม่ปรากฏตัวเช่นกัน
กลับเป็นเจียงเซี่ยนที่คิดว่าหลี่เชียนจะมาอำลานาง จึงรอเขาจนถึงเที่ยงคืนถึงจะหลับไปอย่างสะลืมสะลือ
พอตื่นมาวันรุ่งขึ้น ชีกูที่ตักน้ำและช่วยหวีผมกับล้างหน้าให้นางก็บอกนางว่า “นายท่านมาตั้งแต่ฟ้าเพิ่งจะสว่างแล้วเจ้าค่ะ แต่ห้ามไม่ให้พวกเราปลุกท่าน”
เจียงเซี่ยนให้เซียงเอ๋อร์ชงชาให้หลี่เชียน หลังจากนางหวีผม ล้างหน้า และเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ไปพบหลี่เชียน
ยังเช้าอยู่ ระหว่างภูเขาเกิดทะเลหมอกชั้นหนึ่งบางๆ ราวกับผ้าไหม งดงามมาก
หลี่เชียนนั่งรอนางอยู่บนม้าหินใต้ค้างองุ่น
เจียงเซี่ยนเห็นว่ามีน้ำค้างอยู่บนผมเขา จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ในภูเขาอากาศดี แต่ก็ชื้นเช่นกัน เจ้าต้องใส่เสื้อผ้าเพิ่มอีกชั้น”
หลี่เชียนพยักหน้า พลางมองนางด้วยรอยยิ้ม และไม่พูดอะไรเช่นกัน เหมือนแค่มองนางแบบนี้ก็พอใจแล้ว
เจียงเซี่ยนยังไม่เคยถูกคนจ้องมองอย่างใจกล้าแบบนี้ จึงอดที่จะเขินอายจนหน้าแดงไม่ได้ นางไอเบาๆ เพื่อปิดบังความอึดอัดใจของตนเอง และเอ่ยว่า “เจ้ากินอาหารเช้ามาหรือยัง? จะกินอะไรสักหน่อยหรือไม่?”
“ก็ดี!” หลี่เชียนตอบ ทว่าสายตากลับไม่เคยละไปจากใบหน้าของเจียงเซี่ยน
เซียงเอ๋อร์กับจุ้ยเอ๋อร์ถือตะกร้ากล่องอาหารมา และอมยิ้มมุมปาก
เจียงเซี่ยนคิดว่าพวกนางต้องกำลังหัวเราะนางกับหลี่เชียนแน่ๆ จึงถลึงตาใส่หลี่เชียนอย่างโมโห และหันตัวกลับห้อง
ราวม่านประตูกระทบวงกบประตูจนเกิดเสียงดัง ทว่ากลับไม่มีเสียงฝีเท้าของหลี่เชียนดังมาจากข้างหลัง
เจียงเซียนทั้งร้อนใจและโกรธ นางชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อย และหันไปมองข้างหลัง แต่กลับเกือบจะชนกับหลี่เชียน
“ทำไมเจ้าถึงเดินไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียวเหมือนแมว” นางบ่นอย่างไม่พอใจ ทว่าในใจกลับรู้สึกดีใจขึ้นมาในทันใด
หลี่เชียนมองใบหน้าที่ดูเหมือนโกรธของนาง ในใจก็เหมือนถูกขนนกปัดขึ้นทีหนึ่งจึงจั๊กจี้ และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีไปชั่วขณะ จึงเอาแต่มองนางและยิ้มตาหยี
————————————