ภาคที่ 2 บทที่ 209 ระหว่างทาง

มู่หนานจือ

หลี่เชียนที่เอาแต่ยิ้มเหมือนคนบ้าตอนนี้ ในสายตาของเจียงเซี่ยนจึงดูโง่เป็นพิเศษ

นางอดที่จะเม้มปากยิ้มไม่ได้ และเชิญให้หลี่เชียนนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือกลางห้องโถง

ชีกู เซียงเอ๋อร์ และจุ้ยเอ๋อร์วางถ้วยและตะเกียบสองชุด

หลี่เชียนเอ่ยว่า “ข้ากินอาหารเช้ากับเจ้าไม่ได้แล้ว!”

เช่นนั้นเจ้ามาทำไม?

เจียงเซี่ยนเบิกตาโต

หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยว่า “เดิมทีกะว่าจะมาเยี่ยมเจ้าสักหน่อยก็ไป สุดท้ายเห็นว่าเมื่อครู่เจ้าอารมณ์ไม่ค่อยดี ข้าจึงตามเข้ามา…ทำไมเจ้าถึงอารมณ์ไม่ดีเล่า?”

เจียงเซี่ยนบอกได้หรือว่าเป็นเพราะนางคิดว่าหลี่เชียนไม่ตามมา?

นางหลุบตาลง

แต่หลี่เชียนกลับยิ้มออกมา และเอ่ยว่า “ดูเหมือนข้าจะเดาถูกแล้ว เมื่อครู่เจ้าอารมณ์ไม่ดี!”

เจียงเซี่ยนสำลักน้ำชา

หลี่เชียนรีบลุกขึ้นยืนตบหลังนาง

แรงเยอะเกินไป จนเกือบจะตบเจียงเซี่ยนปลิวออกไป

เจียงเซี่ยนสำลักหนักกว่าเดิม

หลี่เชียนกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก และเอ่ยว่า “ข้าติดตามท่านพ่ออยู่ในค่ายทหารมานาน มือจึงไม่ค่อยรู้ความเหมาะสม…”

เจียงเซี่ยนพยักหน้า และขวางแขนของเขาไว้ แล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไร!” แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือ

หลี่เชียนจึงเอ่ยถึงเรื่องที่ไปต้าถง “คนที่ข้าพามาครั้งนี้เป็นผู้ติดตามของข้าทั้งหมด คนที่ตามท่านพี่อาลวี่มาส่วนใหญ่เป็นคนของค่ายทหารภูเขาตะวันตก บรรพบุรุษของพวกเขาต่างฐานะยากจน จึงยากที่จะมีโอกาสออกจากเมืองหลวง ตอนที่ท่านพี่อาลวี่อยู่ก็ยังดี หากไม่อยู่ เกรงว่าคนเหล่านั้นจะไม่ค่อยมีระเบียบนัก ครั้งนี้เจ้าตามท่านพี่อาลวี่ไปต้าถง มีหลิวตงเยว่รับใช้ข้างกาย ข้าก็วางใจ เพียงแต่ถึงอย่างไรหลิวตงเยว่ก็เป็นขันที และอายุยังน้อย มีใจที่สาบานว่าจะปกป้องเจ้านายจนตาย แต่กลับไม่มีความสามารถในการคุ้มกัน ชีกูนั้นเจ้าก็รู้อยู่แล้วว่ามีวิทยายุทธติดตัว เซียงเอ๋อร์กับจุ้ยเอ๋อร์บอกว่าเป็นสาวใช้ ความจริงแล้วเป็นศิษย์หลานสองคนของชีกู ในหมู่ผู้หญิงถือว่าฝีมือดีมากทีเดียว ตอนที่เจ้าไปต้าถงก็พาพวกนางไปด้วย เวลาปกติอย่าปรากฏตัว มีเรื่องอะไรก็แค่สั่งให้พวกนางไปจัดการ…”

เจียงเซี่ยนตกใจมาก และเอ่ยว่า “เจ้า…เจ้าจะกลับไท่หยวนหรือ?”

ชีกูเป็นคนของหลี่เชียน นางตัดสินใจตามเจียงลวี่ไปต้าถง หลี่เชียนต้องได้ข่าวแล้วอย่างแน่นอน นางคิดว่าเขาจะตามนางไปด้วย

“ข้าจะตามเจ้าไปด้วยอย่างแน่นอน!” หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม จนเผยให้เห็นฟันขาวๆ “แต่ข้าคิดว่าท่านพี่อาลวี่จะต้องไม่ยอมร่วมทางกับข้าแน่ ดังนั้นข้าจะตามอยู่หลังพวกเจ้า”

เจียงเซี่ยนโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก

เซียงเอ๋อร์กับจุ้ยเอ๋อร์ถือตะกร้ากล่องอาหารเข้ามาวางอาหารเช้า

หลี่เชียนฉวยโอกาสบอกลา “เมื่อวานข้าเก็บของเรียบร้อยหมดแล้ว วันนี้ยังต้องไปลาเจ้าอาวาสของวัดป่าโอสถอีก ท่านพี่อาลวี่น่าจะรอเจ้าทานอาหารเช้าแล้วก็จะออกเดินทาง หากรอข้าไปลาเจ้าอาวาสอีกเกรงว่าจะสายไปหน่อย”

ดังนั้นเมื่อคืนถึงไม่มา ‘คุย’ กับนาง และวันนี้ถึงอยู่รับประทานอาหารเช้าที่เรือนของนางไม่ได้หรือ?

เจียงเซี่ยนยิ้ม และให้หลิวตงเยว่ส่งหลี่เชียนออกไปข้างนอก

เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ นางกำลังรับประทานอาหารเช้า ฝูเซิงผู้ติดตามของเจียงลวี่ก็มาหาหลิวตงเยว่ และถามว่าเขาเก็บของไปถึงไหนแล้ว เจียงลวี่ตัดสินใจว่ารอเจียงเซี่ยนรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้วก็จะลงจากเขา และเอ่ยว่า “เฉิงเอินกงจะกลับเมืองหลวง”

งานของเฉาเซวียนเสร็จสิ้นแล้ว เขาจะรีบกลับเมืองหลวงไปรายงานเรื่องราวทั้งหมดกับเฉาไทเฮา

หลิวตงเยว่อดที่จะรู้สึกนับถือหลี่เชียนเล็กน้อยไม่ได้ แต่กลับไม่แสดงออกทางสีหน้า และตอบอย่างนอบน้อมว่า “เตรียมพร้อมหมดแล้วขอรับ รอเพียงคุณชายใหญ่บอก” แล้วส่งฝูเซิงออกไป และวิ่งไปรายงานเจียงเซี่ยนที่ห้องโถง ตรวจสอบของที่จะเอาไปอีกครั้ง จนตอนที่เกี้ยวที่เจียงลวี่ส่งมารับเจียงเซี่ยนจอดหน้าประตูห้องโถงตรงประตูใหญ่ เขาถึงจะยัดซาลาเปาไส้ผักสองสามลูกเข้าไปในเสื้อและรีบออกไปข้างนอก

ตอนที่ปีนเขานั้นลงเขาง่ายขึ้นเขายาก ทว่านั่งเกี้ยวนั้นกลับขึ้นเขาง่ายลงเขายาก

คนหามเกี้ยวสี่คนน่าจะเป็นผู้ชายที่มีแรงเยอะมาก จึงเดินได้อย่างมั่นคง แต่เจียงเซี่ยนกลับกังวลตลอด ด้วยกลัวว่าจะตก ลงจากเขาอย่างยากลำบาก ขึ้นรถม้าสี่ล้อที่หลังคาแบนเท่ากันหมดตรงตีนเขาแล้ว นางถึงจะวางใจในที่สุด

ทุกคนล้อมรถม้าของนางอย่างแน่นหนาและรีบเดินทางไปต้าถง

เจียงเซี่ยนแอบเลิกม่านของรถม้าขึ้นและมองไปทางด้านหลัง

ระหว่างทางที่ใช้สำหรับส่งเอกสารราชการและมีจุดพักหรือจุดเปลี่ยนม้าตั้งอยู่ระหว่างทางนั้นมีผู้คนไปมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เพียงแต่ไม่เห็นร่องรอยของหลี่เชียน

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาตามทันหรือยัง?

เจียงเซี่ยนพึมพำอยู่ในใจ ตอนกลางคืนก็นอนไม่หลับเพราะแปลกที่ ถึงจะอยู่ในโรงเตี๊ยมก็ไม่ค่อยได้นอนอยู่ดี ดวงตาค่อยๆ บวมขึ้นมาเล็กน้อย คืนนั้นเจียงลวี่จึงสั่งให้ค้างที่จุดแวะพักระหว่างทาง และเชิญหมอมาสอบถามอาการของเจียงเซี่ยน

หมอคนนั้นจับชีพจรนานมากก็ไม่สามารถบอกสาเหตุได้ ทำให้เจียงลวี่ตกใจจนหน้าซีด

เจียงเซี่ยนเองไม่ได้รู้สึกอะไร จึงรีบปลอบใจเจียงลวี่ “บางทีอาจจะไม่ชินกับอาหารและน้ำก็ได้”

เจียงลวี่กลุ้มมาก ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าธูปของวัดพุทธรัศมีศักดิ์สิทธิ์มาก ที่กะว่าจะพาเจียงเซี่ยนไปจุดธูปไหว้พระที่วัดพุทธรัศมีจึงตัดสินใจไม่ไปแล้ว และถามหลิวตงเยว่ลับหลังทุกคนว่า “ตลอดทางมานี้เจ้าเป็นคนคอยรับใช้ท่านหญิง ก่อนหน้านี้ท่านหญิงเคยเป็นแบบนี้หรือไม่?”

“ไม่เคยขอรับ!” หลิวตงเยว่เอ่ยเสียงนอบน้อม “อาหารการกินก่อนหน้านี้แม่ทัพหลี่เป็นคนจัดหา ส่วนน้ำที่ใช้ทำอาหารกับชาที่ดื่มให้ท่านหญิงล้วนเป็นน้ำจากภูเขาอวี้เฉวียนที่พกมา…”

เจียงลวี่อึ้งไปเล็กน้อย และเงียบไปนานมาก

กลางดึก หลี่เชียนมาเคาะประตูถามเจียงลวี่ว่าทำไมถึงค้างที่จุดแวะพักระหว่างทาง

แต่ไหนแต่ไรมาจุดแวะพักระหว่างทางก็ไม่สบายเท่าโรงเตี๊ยม

เจียงลวี่ผิดไปจากก่อนหน้านี้ที่เยาะเย้ยและเสียดสี เขาเอ่ยว่า “ตาของเป่าหนิงบวมนิดหน่อย ข้าต้องเชิญหมอมาให้นาง อยู่ที่จุดแวะพักระหว่างทางจะดีกว่า”

เดิมทีจุดแวะพักระหว่างทางเป็นจุดพักที่ราชสำนักจัดให้ขุนนางที่มีงานราชการไปๆ มาๆ ถึงแม้จะมีชาวบ้านเข้ามาอยู่อาศัย นั่นก็เป็นครอบครัวของขุนนางเช่นกัน เจียงลวี่มายังสถานที่แห่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับทุกสิ่งทุกอย่าง พวกหมอที่ออกไปรักษาคนไข้นอกสถานที่ที่อยู่ตามจุดแวะพักระหว่างทางก็จะรอบคอบหน่อย

หลี่เชียนได้ยินก็ร้อนใจขึ้นมา และเอ่ยว่า “บวมอย่างไร? รู้ว่าบวมได้อย่างไรหรือไม่? เช่นนั้นหมอว่าอย่างไรบ้าง?”

“ไอ้หมอไร้ค่า!” เจียงลวี่อดที่จะด่าไม่ได้ “ดูไม่ออกสักอย่าง หากไม่ได้อยู่ต่อหน้าเป่าหนิง ข้าไม่ฟาดแส้เขาสักสามสิบทีสิแปลก!”

“ตอนนี้โมโหไปก็ไร้ประโยชน์” หลี่เชียนรีบเอ่ยว่า “เป่าหนิงใจอ่อนมาโดยตลอด เห็นท่านเป็นแบบนี้ต่อให้ไม่สบายก็จะฝืนอดทนเอาไว้อยู่ดี ท่านก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไปคุยกับนางดีๆ ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากภูเขาอู่ไถ หากข้าจำไม่ผิด ภูเขาอู่ไถมีพระหมอยา ข้าจะขึ้นเขาไปขอยาเดี๋ยวนี้ ท่านคอยจับตาดูคนที่ทำอาหาร น้ำทั้งหมดที่ให้เป่าหนิงใช้ล้วนตักขึ้นมาจากบ่อน้ำ ใช้ผ้าไหมบางๆ กรองสักสี่ห้ารอบค่อยให้นางใช้ แล้วข้าจะรีบกลับมาอย่างเร็วที่สุด” เขาพูดไปก็รีบเดินออกไปข้างนอกแล้ว โดยไม่รอให้เจียงลวี่ตอบ เวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ เสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้นข้างนอก

เจียงลวี่พึมพำด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ว่า “เหตุใดถึงได้เป็นคนใจร้อนขนาดนี้! ข้าเอาม้าเตียน[1]มาด้วยสองตัว วิ่งทางบนเขาเก่งที่สุด ทีแรกคิดว่าจะให้เจ้ายืม แต่เจ้ากลับวิ่ง…สมน้ำหน้าเจ้าได้วิ่งจนขาหัก…”

ฝูเซิงก้มหน้า ไม่กล้าพูดอะไร

เจียงลวี่คิดแล้วก็กลับห้อง ทว่ากลับนอนไม่หลับ

เขามองแสงจันทร์ขาวสว่างที่สาดเข้ามาทางลายฉลุหน้าต่าง และถามฝูเซิงเสียงเบา “ข้าจำได้ว่าเจ้ามีพี่สาวคนหนึ่ง ตอนที่พี่สาวเจ้าออกเรือน เจ้ามอบอะไรเป็นของขวัญให้นางบ้าง?”

ฝูเซิงยิ้มอย่างไร้เดียงสาและเอ่ยว่า “จะปฏิบัติกับท่านหญิงเช่นเดียวกับพี่สาวข้าได้อย่างไร…พี่สาวข้านั้นขอแค่มีเงินก็พอแล้ว ท่านหญิงไม่สนใจเงินทองหรอกขอรับ อย่างไรท่านก็ต้องหาของพวกหนังสือโบราณหรือภาพวาดโบราณมอบให้ท่านหญิงกระมัง?”

จู่ๆ เจียงลวี่ก็รู้สึกว่าทำไมฝูเซิงถึงพูดตรงขนาดนี้!

เขาดึงผ้าห่มและพลิกตัวหันไปหาฝูเซิง แล้วตะโกนอย่างไม่พอใจว่า “รีบๆ นอน พรุ่งนี้ยังต้องตื่นและรีบออกเดินทางแต่เช้าอีก”

————————————

[1] ม้าเตียน ม้าขาสั้นของมณฑลยูนนาน