ภาคที่ 2 บทที่ 210 พบกันระหว่างทาง

มู่หนานจือ

ฝูเซิงหัวเราะแห้งๆ และดับไฟเข้านอน

ไม่นานในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ

ทว่าตื่นมาเช้าวันรุ่งขึ้น เจียงลวี่ก็ไม่ได้รีบร้อนออกเดินทาง แต่ถามถึงหลี่เชียนว่า “เขากลับมาแล้วหรือ?”

ฝูเซิงเรียกเด็กรับใช้ไปถาม เด็กรับใช้กลับมาบอกว่าหลี่เชียนยังไม่กลับมา

เจียงลวี่รู้สึกว้าวุ่นใจเล็กน้อย จึงบ่นว่า “ระหว่างทางนี้หาอะไรไม่ได้สักอย่าง อยู่ต่ออีกวันก็คงทนไม่ไหว ควรรีบออกเดินทางไปต้าถง แต่กลับบอกว่าจะไปเชิญพระหมอยาที่ภูเขาอู่ไถ…ช่างเถอะ พวกเราก็อย่ารอเลย กินอาหารเที่ยงแล้วก็ออกเดินทาง ทิ้งคนไว้บอกเขาที่นี่สักคนก็พอแล้ว”

ในเมื่อตัดสินใจไม่รอแล้ว ทำไมยังจะออกเดินทางหลังจากกินอาหารเที่ยงอีก?

ฝูเซิงพึมพำอยู่ในใจ ทว่าสีหน้ากลับไม่เผยความผิดปกติออกมาแม้แต่นิดเดียว เขาขานรับอย่างนอบน้อม และถอยออกไป

เจียงลวี่ไปเยี่ยมเจียงเซี่ยน

ดวงตาของเจียงเซี่ยนยังไม่หายบวม แต่ดีขึ้นกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด

นางกำลังนั่งดูตาของตนเองอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พอเห็นเจียงลวี่เข้ามา จึงหันมาถามเจียงลวี่ว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ? ทำไมถึงหยุดพักที่จุดแวะพักระหว่างทาง?”

เจียงลวี่ยังไม่ได้ตอบ จู่ๆ หลิวตงเยว่ก็เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน และเอ่ยว่า “คุณชายใหญ่ ท่านหญิง แม่ทัพต้าถงกับฮูหยินมาเยี่ยมขอรับ!”

“แม่ทัพต้าถง?!” เจียงเซี่ยนตกใจ “ฉีเซิ่ง!”

หลิวตงเยว่พยักหน้า เขายังอยากพูดอะไรอีก เจียงลวี่ก็เขกศีรษะเจียงเซี่ยนทีหนึ่งแล้วตวาดด่าเสียงเบาว่า “ฉีเซิ่งอะไร ต้องเรียกว่า ‘ท่านอาฉี’ เขาเป็นพี่น้องร่วมสาบานของท่านพ่อ”

เจียงเซี่ยนนึกถึงรูปร่างที่กำยำสูงใหญ่จนเหมือนภูเขาเนื้อของ ‘ท่านอาฉี’ แล้วก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้

เจียงลวี่เห็นจึงทำหน้าเคร่งขรึม และเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เป่าหนิง ท่านอาฉีเคยช่วยชีวิตของท่านพ่อเอาไว้ เจ้าพบเขาแล้วต้องสุภาพหน่อย เข้าใจหรือไม่?”

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” เจียงเซี่ยนตอบอย่างว่าง่าย

ต่อให้ฉีเซิ่งไม่ใช่ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตท่านลุงของนาง ด้วยความสามารถและการวางตนมีคุณธรรมของเขาก็ควรได้รับความเคารพจากนางอยู่ดี

ตอนที่นางเจอฉีเซิ่งจึงคารวะฉีเซิ่งอย่างเคารพนบนอบ และเรียกเขาว่า “ท่านอา”

ผู้ชายที่กำยำล่ำสันเหมือนคนฆ่าสัตว์หน้าแดง และเอ่ยพึมพำไม่กี่คำประมาณว่า “มิกล้า” แล้วก็รีบให้นางไปหาคนสกุลเจียงฮูหยินของตนเอง

ในด้านรูปร่างคนสกุลเจียงกับฉีเซิ่งเหมาะสมกันมาก ด้วยต่างก็รูปร่างสูงใหญ่และแข็งแรงมาก ผิวคล้ำเล็กน้อย นิสัยร่าเริงและตรงไปตรงมา พอเห็นเจียงเซี่ยนก็จับมือของนางอย่างอบอุ่น แล้วมองตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า พลางยิ้มและชมกับเด็กสาวสองคนที่ดูเหมือนเพิ่งจะอายุครบสิบห้าปีที่ติดตามมาว่า “พวกเจ้าดูสิ นี่ถึงจะเป็นสตรีที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ พวกเจ้าต้องเรียนรู้จากท่านหญิงให้มากๆ”

เด็กสาวทั้งสองคนเป็นฝาแฝด คิ้วดกตาโต ทว่าอายุมากกว่าเจียงเซี่ยนปีเดียว กลับสูงกว่าเจียงเซี่ยนหนึ่งศีรษะ

เป็นลูกสาวของฉีเซิ่ง

เจียงเซี่ยนยังจำได้ว่าพวกนางนั้นคนหนึ่งชื่อฉีตาน อีกคนชื่อฉีซวง

ตอนที่ฉีตานกับฉีซวงตามฮูหยินฉีเข้าวังมาคารวะนาง เมิ่งฟางหลิงยังเคยแอบล้อฉีเซิ่งเล่นว่า ตอนที่ฉีตานกับฉีซวงของเขาเกิด ฉีเซิ่งต้องกำลังพนันอยู่แน่ๆ

ดังนั้นนางจึงจดจำพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ได้เป็นอย่างดี

แน่นอนว่า ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้นางจำได้ไม่ลืมเช่นกัน

ฉีเซิ่งเคยอยากให้หลี่เชียนเลือกหนึ่งในลูกสาวสองคนของเขาเป็นภรรยา…

ฉีตานกับฉีซวงร่าเริงมากต่อหน้านาง แตกต่างจากชาติก่อนที่เข้าวังมาคารวะนาง

ทั้งสองคนไม่เห็นด้วยกับคำพูดของมารดา และคารวะนางด้วยรอยยิ้ม ดวงตาทั้งคู่จับจ้องไปที่ปิ่นปักผมที่นางปักผมศีรษะและถุงเงินตรงเอวและเผยสีหน้าอิจฉาออกมา

เจียงเซี่ยนรู้สึกอึดอัด แล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจเช่นกัน

ถึงแม้ฉีเซิ่งจะมาจากตระกูลที่ยากจนและฐานะต่ำต้อย ตอนหลังเจอเจียงเจิ้นหยวนที่มีประสบการณ์ในกองทัพอย่างโชกโชนถึงจะมีวันนี้ ทว่าด้วยฐานะของเขาในเวลานี้ ลูกสาวก็ไม่น่าจะขาดแคลนของพวกนี้

ราวกับมองความคิดของเจียงเซี่ยนออก ฮูหยินฉีเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านหญิงได้โปรดอภัยให้ด้วย! ลูกสาวสองคนนี้ของข้าเติบโตที่บ้านเกิดกับข้ามาตั้งแต่เด็ก บิดาของนางไม่อยู่บ้านตลอดทั้งปี ผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างข้าทั้งคอยปรนนิบัติพ่อแม่สามีและยังต้องทำนาเลี้ยงครอบครัว จึงเลี้ยงพวกนางเป็นเหมือนเด็กผู้ชาย ตอนหลังพอมาต้าถง คนที่ไปๆ มาๆ ก็มีแต่พวกคนที่เป็นทหารมานาน จะให้พวกนางสวมกระโปรงสักครั้งก็เหมือนฆ่าพวกนาง พวกนางจึงอิจฉาเหล่าหญิงสาวที่แต่งตัวเป็นเป็นพิเศษ” พอเอ่ยจบก็ถอนหายใจและเอ่ยว่า “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะถวายลูกสะใภ้แบบนี้ให้ศาลาที่ตั้งแผ่นป้ายบรรพบุรุษของตระกูลไหนได้”

เจียงเซี่ยนมองทั้งสองคนที่สวมเสื้อคลุมยาวไม่มีลายสีเขียวอ่อนอยู่และเม้มปากยิ้ม พลางปลอบใจฮูหยินฉีว่า “เสด็จยายมักจะตรัสว่า ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ต่างมีเหตุผลในการดำรงอยู่ บางทีวาสนาของคุณหนูทั้งสองอาจจะยังมาไม่ถึง”

เห็นได้ชัดว่าฮูหยินฉีก็เข้าใจเช่นกันว่านี่เป็นเพียงคำพูดที่เอ่ยไปตามพิธีของเจียงเซี่ยน จึงพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก พอคิดว่าท่านยายของเจียงเซี่ยนก็คือไทฮองไทเฮาของราชวงศ์ปัจจุบันไม่ใช่หรือ ก็อดที่จะยิ้มและเอ่ยไม่ได้ว่า “คิดไม่ถึงว่าไทฮองไทเฮายังทรงทราบภาษาพื้นเมืองแบบนี้ด้วย ข้ายังคิดว่าชนชั้นสูงในวังล้วนต้องพูดจาสุภาพเรียบร้อยเหมือนในบทงิ้วเสียอีก”

“ใช้ชีวิตอยู่บ้าน ใครไม่ใช่คนธรรมดา” เจียงเซี่ยนกับฮูหยินฉีพูดคุยกัน ถึงแม้บรรยากาศจะไม่คึกคัก แต่ก็อบอุ่น

คุณหนูฉีทั้งสองก็ไม่ได้บุ่มบ่ามอย่างที่ฮูหยินฉีกล่าวเช่นกัน ทว่านั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเหมือนต้นสนและตั้งใจฟังนางคุยกับฮูหยินฉีตั้งแต่ต้นจนจบ

จะเห็นได้ว่าคนเป็นแม่ล้วนค่อนข้างตั้งมาตรฐานกับลูกสาวของตนเองสูงเกินไป

เจียงเซี่ยนยิ้ม

และเพิ่งรู้ว่าฉีเซิ่งได้รับจดหมายจากลุงใหญ่ของนาง ให้เขาส่งคนมารับนางกับเจียงลวี่ไปอยู่ที่ต้าถงชั่วคราว พวกเขาถึงรู้ว่าเจียงลวี่กับนางอยู่ที่วัดป่าโอสถ “…เหล่าฉีรู้เรื่องก็ร้อนใจ บอกว่าในเมื่อท่านกั๋วกงน้อยมาซานซีแล้ว เขาจะให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปรับได้อย่างไร? พอรู้ว่าท่านหญิงเดินทางมากับท่านกั๋วกงน้อยด้วย จึงพาพวกเราสามคนแม่ลูกมาด้วย เกรงว่าระหว่างทางท่านหญิงจะไม่มีคนให้คอยพูดคุยด้วย”

นึกไม่ถึงว่าท่านลุงจะคิดไปในทางเดียวกันกับท่านพี่

แถมยังให้ท่านพี่พานางไปต้าถง

หรือว่าสถานการณ์ในเมืองหลวงแย่มากอย่างนั้นหรือ?

คิ้วที่เรียวงามของเจียงเซี่ยนขมวดเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น

ในวังฉือหนิง ไทฮองไทเฮากำลังถือแว่นตาและอ่านบันทึกลำดับการสืบเชื้อสายประจำตระกูลขุนนางที่เมิ่งฟางหลิงคัดลอกให้นางอยู่

“คุณหนูใหญ่ของตระกูลจิ้นอันโหวก็พอจะถือได้ว่าเหมาะสมเช่นกัน” เมิ่งฟางหลิงกลัวว่าไทฮองไทเฮาจะสายตาเสีย จึงชงชาดอกเก็กฮวยเก๋ากี้เมล็ดชุมเห็ดเทศ “กลัวแต่ว่าไทเฮาจะมีแผนอยู่แล้ว คิดว่าตระกูลจิ้นอันโหวลูกหลานเยอะมาก และจิ้นอันโหวก็เก่งเรื่องคิดหาทางประจบประจงผู้มีอำนาจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน คุณหนูใหญ่สกุลไช่เป็นฮองเฮาแล้วจะต้องไม่เชื่อฟังเฉาไทเฮาทุกเรื่องอย่างแน่นอน”

ไทฮองไทเฮาไม่เอ่ยสิ่งใด นางวางแว่นตาลงบนโต๊ะอุ่น และถามเมิ่งฟางหลิง “ฝ่าบาทไม่ได้ไปพบคนสกุลเฉาหรือ?”

“ไม่เพคะ!” ตอนที่เมิ่งฟางหลิงเอ่ยเรื่องนี้ก็อดที่จะถอนหายใจออกมาเล็กน้อยไม่ได้ และเอ่ยว่า “หลังจากฝ่าบาทเสด็จกลับถึงวังเฉียนชิงก็เรียกวังจี่เต้าเข้าเฝ้าทันที แล้วก็เรียกคนของกรมพิธีการมาปรึกษางานราชการ”

ถึงจะเป็นไทฮองไทเฮา ในห้องทรงอักษรคุยอะไรกันบ้าง หากไม่เปลืองแรงสักหน่อยก็สืบอะไรไม่ได้เช่นกัน

ไทฮองไทเฮาพึมพำว่า “ขอเพียงฝ่าบาทยอมตั้งฮองเฮา ทุกเรื่องก็จะตกลงกันได้ง่าย อย่างไรถึงเวลานั้นคนที่ทำสงครามกับฝ่าบาทก็เป็นคนสกุลเฉา”

ดังนั้นไทฮองไทเฮาถึงได้เอาบันทึกลำดับการสืบเชื้อสายประจำตระกูลขุนนางออกมาดู นางอยากรู้ว่าเวลานี้เมืองหลวงมีผู้หญิงคนไหนอายุเหมาะสมกับฮ่องเต้บ้าง จะได้กระตุ้นฮ่องเต้สักหน่อยในขณะที่ฮ่องเต้ยังไม่ตั้งฮองเฮา

เมิ่งฟางหลิงกำลังคาดเดาอยู่ ก็มีนางในเดินเข้ามา และรายงานเสียงนอบน้อมว่า “ไทฮองไทเฮา ซื่อจื่อชินเอินป๋อขอเข้าเฝ้าเพคะ”

“อาจ้าน!” ไทฮองไทเฮาดีใจจนออกนอกหน้า “อาจ้านกลับมาแล้ว! เร็ว เร็ว รีบให้เขาเข้ามา”

ไทฮองไทเฮาลงจากเตียงอุ่นและเหยียบส้นรองเท้า

เมิ่งฟางหลิงก็ดีใจมากเช่นกัน บนหน้ามีความยินดีที่ปิดไม่มิด

นางย่อตัวลงมาสวมรองเท้าให้ไทฮองไทเฮา พลางเอ่ยอย่างดีใจว่า “เช่นนั้นก็ต้องได้ข่าวท่านหญิงแล้วอย่างแน่นอน!”

ไทฮองไทเฮาเอ่ยว่า “นั่นสิ” ติดกันหลายครั้ง แล้วเมิ่งฟางหลิงก็ประคองไปที่ตำหนักข้าง