ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 145 คฤหาสน์ในชนบท

จอมศาสตราพลิกดารา

เสียงกร๊อบดังขึ้นเบาๆ แต่กลับเหมือนค้อนหนักๆ ทุบกลางใจของคนโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ทุกคนเข้าอย่างจัง

 

หลี่มู่โยนจางชุยเสวี่ยที่คอหักไปบนพื้นตามอารมณ์เหมือนเป็นตุ๊กตาผ้าเก่าขาดๆ

 

“นี่คือข้อเรียกร้องที่ข้าต้องการ…หัวหน้าโรงฝึกจาง หากไม่พอใจก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ ช่วงนี้ข้าอยู่ในเมืองฉางอันเขตตรอกไล่หมู”

 

หลี่มู่เก็บมือกลับมา ลูบหัวเสือดาวเบญจมาศเบาๆ

 

“พวกเราไป”

 

เขาพุ่งออกไปนอกโรงฝึกราวกับบิน

 

เสือดาวเบญจมาศคำรามเสียงต่ำ มองไปยังคนที่สวมชุดเครื่องแบบของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น

 

แต่มันก็ยังคงฟังคำของหลี่มู่ คำรามอย่างโมโหก่อนจะตามหลังเขาไปติดๆ

 

เสือดาวคือราชันแห่งพงไพร กระโดดทีเสมือนบิน เสือดาวเบญจมาศยิ่งเป็นสัตว์ป่าอสุรกายในเขาขาวพิสุทธิ์ ต่อให้แบกเซี่ยจวี๋และร่างของชิวอี้ก็ยังคงกระโดดได้ประหนึ่งบิน รวดเร็วราวกับสายฟ้า ตามหลี่มู่ที่ความเร็วช้าลงเล็กน้อยไป

 

“สกัดพวกมันไว้!”

 

มีคนตะโกนขึ้น

 

จางเฉิงเฟิงโบกมือด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด “ไม่ต้องตามแล้ว”

 

“หัวหน้า?”

 

เหล่าลูกศิษย์ของโรงฝึกยุทธ์และบรรดาผู้นำระดับสูงต่างมองมายังจางเฉิงเฟิง

 

จางเฉิงเฟิงเดินไป อุ้มร่างของจางชุยเสวี่ยขึ้นมา บุตรชายถูกสังหารต่อหน้าต่อตา ในใจของเขาจะไม่โกรธแค้นได้อย่างไร พูดได้ว่าโกรธแค้นจนแทบคลั่งด้วยซ้ำ แต่ว่าถึงตามหลี่มู่ไปก็หยุดเขาเอาไว้ไม่ได้ ยิ่งพลังสูงเท่าใด ยิ่งรู้ดีว่าสุดยอดฝีมือขั้นยอดปรมาจารย์น่ากลัวเพียงใด นั่นไม่ใช่ขอบเขตที่พลังของมนุษย์จะเทียบชั้นได้ ตอนนี้ไปขัดขวางก็เป็นการรนหาที่ตายเท่านั้น

 

ต่อให้เป็นเขาก็ขวางผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์ไม่ได้

 

ในเมื่อเขายังข้ามก้าวสุดท้ายนั่นไปไม่ได้เลย

 

“หัวหน้า หรือว่าจะปล่อยไปเช่นนี้? ความแค้นของหัวหน้าโรงฝึกน้อยจะต้องคิดบัญชีให้จงได้ มิฉะนั้นหากข่าวลือแพร่ออกไป ชื่อเสียงและบารมีของโรงฝึกยุทธ์เราจะพังพินาศในชั่วข้ามคืน อีกทั้งเขาวงกตใต้ดินพังทลายลง พวกเราเสียหายสาหัสเลยนะ” ผู้อาวุโสหลู่กล้ำกลืนความเจ็บใจไม่ไหว ก่อนหน้านี้หลี่มู่ซัดจนเขากระเด็น ในใจโกรธแค้นอับอาย ยังคิดอยากให้จางเฉิงเฟิงจับหลี่มู่แก้แค้น

 

“ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ เจ้านี่มันกำเริบเสิบสาน สังหารศิษย์น้อง ข้ากับมันอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้” ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบกว่าๆ สีหน้าเคืองแค้นต่อความอยุติธรรม เขาเป็นหนึ่งในลูกศิษย์สายตรงของจางเฉิงเฟิง ตอนนี้กำลังแสดงความจงรักภักดีให้เห็น

 

ศิษย์คนอื่นๆ ทำท่าทางเหมือนมีศัตรูแค้นร่วมกัน

 

จางเฉิงเฟิงอุ้มจางชุยเสวี่ย สีหน้าท่าทางเศร้าโศกและโหดเหี้ยม

 

“แน่นอนว่าไม่มีทางปล่อยไปแบบนี้…เชิญบรรพชนออกจากการกักตน” เขาพูดเน้นทีละคำ “ในเมืองฉางอันมียอดปรมาจารย์แค่คนเดียวเสียเมื่อไหร่…คนต่างถิ่นคิดจะเอามือปิดแผ่นฟ้า หึๆ โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ของข้าก็มีพลังที่สังหารยอดปรมาจารย์เช่นกัน”

 

……

 

หลังจากนั้นหนึ่งเค่อ[1]

 

หลี่มู่กลับมายังตรอกไล่หมู

 

มารดาหลี่มู่และคนอื่นๆ ในที่สุดก็รอหลี่มู่กลับมาจนได้ เห็นเซี่ยจวี๋ปลอดภัยกลับมาก็ต่างดีใจ แต่เมื่อได้ยินข่าวการตายของชิวอี้ก็เศร้าโศกเหลือคณนา

 

“ชิวอี้ที่น่าสงสารของข้า…” มารดาหลี่มู่น้ำตานอง

 

หลายปีมานี้ ท่านแม่หลี่มู่พึ่งพาการดูแลรับใช้จากบ่าวสาวสามสี่คนนี้ถึงได้มีชีวิตรอด คุณหนูผู้มีชาติตระกูลสูงศักดิ์เช่นนาง สิ่งที่ได้ร่ำเรียนมาก็ล้วนเป็นมารยาทชนชั้นสูง การวางตัว การวิจารณ์งานศิลปะ วิจารณ์บทกวี ไม่เคยเข้าครัว เมื่อโดนขับไล่ออกจากจวนสกุลหลี่ก็แทบจะอยู่ในสภาพจนตรอก ดีที่มีชุนเช่า เซี่ยจวี๋ ชิวอี้ และตงเสวี่ยสาวใช้ทั้งสี่ปกป้องอย่างสุดกำลัง ไม่เช่นนั้นเกรงว่าคงมีชีวิตมาไม่ถึงวันนี้ ด้วยเหตุนี้สาวใช้ทั้งสี่จึงเปรียบเสมือนลูกสาวในใจของนาง เมื่อได้ยินข่าวความตายของชิวอี้ จะไม่ให้นางเศร้าโศกได้อย่างไร

 

หลี่มู่รีบปลอบประโลม

 

ชุนเฉ่าและเซี่ยจวี๋ก็ต่างพูดปลอบใจ

 

วันสองวันที่ผ่านมานี้ มารดาหลี่มู่เจอกับเรื่องดีเรื่องร้ายติดๆ กัน กระทบกระเทือนจิตใจเป็นอย่างมาก เพียงชั่วครู่ก็หลับไปแล้ว สาวใช้ทั้งสองเข้าห้องไปคอยปรนนิบัติรับใช้

 

ในตอนนี้เอง การปรับปรุงเขตที่พักอาศัยก็เสร็จสิ้น

 

อิทธิพลของเจิ้งฉุนเจี้ยนในเมืองฉางอันยิ่งใหญ่อย่างที่ว่าจริงๆ แค่เวลาเพียงครึ่งวัน การปรับปรุงที่พักอาศัยโดยพื้นฐานก็เสร็จสิ้นแล้ว ปลูกหญ้าเรียบร้อย ขุดบ่อน้ำใหม่ให้ใหญ่และแข็งแรงขึ้น ทั้งยังปลูกต้นไม้พืชพรรณต่างๆ กำแพงเปลี่ยนเป็นต้นไผ่ เขียวชอุ่มชุ่มชื่น การตบแต่งในสวนทั้งหมดเปลี่ยนโฉมใหม่โดยสิ้นเชิง ราวกับสวนดอกไม้ที่ทิวทัศน์สงบงดงามอย่างไรอย่างนั้น

 

กระท่อมหญ้าแฝกของมารดาหลี่มู่ไม่ถูกแตะต้อง เพราะนางมีใจผูกพันอย่างมาก

 

นอกจากนั้น ในสวนยังใช้ไม้หรือหินสร้างห้องขึ้นอีกหลายห้อง งดงามแปลกตาแบบโบราณ มีที่อยู่ใหม่ของมารดาหลี่มู่ มีที่พักของพวกชุนเฉ่า และมีที่พักของตัวเขาเอง รวมทั้งมีห้องฝึกยุทธ์ ห้องฝึกจิต และอาคารไม้สามชั้นหลังหนึ่งสูงห้าหกจั้ง เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในตรอก เมื่ออยู่บนนั้นจะมองเห็นทุกสิ่งที่อยู่รอบๆ ในระยะสองลี้ได้ทั่วทั้งหมด

 

รอบๆ เรือนพักยังมีธารน้ำลัดเลาะไหลผ่าน โดยใช้ระหัดวิดน้ำดึงน้ำจากบ่อน้ำเข้ามา น้ำไหลเป็นลำดับสูงต่ำ ช่างงดงามยิ่งนัก

 

เจิ้งฉุนเจี้ยนทุ่มเทเอาใจใส่เป็นอย่างดี

 

สามารถใช้เวลาช่วงเช้าทำงานประมาณนี้เสร็จสิ้น เรียกได้ว่าประสิทธิภาพดีเยี่ยม ท่าทางเมื่อคืนหลังจากที่กลับไปแล้วคงเตรียมการทั้งคืน เมื่อวันใหม่มาถึงก็เตรียมวัสดุและของกึ่งสำเร็จรูปทั้งหมด ดังนั้นจึงไวได้ถึงเพียงนี้

 

“คุณชาย ท่านพอใจหรือไม่” เจิ้งฉุนเจี้ยนเดินมาขอคำชี้แนะด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ

 

หลี่มู่พยักหน้า “ดีมาก เจ้าพาคนกลับไปเถอะ ช่วงนี้ไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษแล้ว เจ้าแอบช่วยข้ารวบรวมตำราลับวิถียุทธ์และตำราลับวิชาเวทก็พอแล้ว ระดับขั้นยิ่งสูงยิ่งดี ส่วนเรื่องอื่น เจ้ากลับไปจวนเจ้าเมืองได้แล้ว อยากทำอะไรก็ทำซะ หากข้าจะหาเจ้า เจ้าจะรู้ได้เอง” แน่นอนว่าต้องรู้ ยันต์เป็นตายแค่กระตุ้นเพียงเล็กน้อยเขาก็รู้เรื่องแล้ว

 

“น้อมรับบัญชา” เจิ้งฉุนเจี้ยนทำความเคารพ พูดขึ้นว่า “ข้าน้อยรอคำสั่งของคุณชายทุกเมื่อ”

 

หลี่มู่โบกมือให้

 

เจิ้งฉุนเจี้ยนนำคนงานก่อสร้างเดินออกไปจากบริเวณเรือนตามเส้นทางเมื่อเช้า

 

หลี่มู่มองไปรอบๆ กาย อดสะท้อนใจขึ้นมาไม่ได้

 

มิน่าเล่า ไม่ว่าจะเป็นบนดาวโลกหรือโลกใบนี้ ใครๆ ต่างก็ชอบอำนาจและเม็ดเงิน ความรู้สึกที่มีเงินมีอำนาจมันดีจริงๆ นี่เวลาเพิ่งจะผ่านไปไม่เท่าไหร่ ก็ปรับปรุงคฤหาสน์เล็กในชนบทภายในตรอกคนจนแห่งนี้ออกมาได้ ทั้งยังมีสนามหญ้า สวนดอกไม้ ขาดก็แต่สระน้ำเท่านั้น

 

เขามายังห้องของตัวเอง ข้างในมีเครื่องเรือนสำเร็จรูปตบแต่งเรียบร้อย เสื้อผ้าอาภรณ์ หมอนผ้าห่มก็เตรียมเอาไว้มากมาย มากพอที่จะเอาไว้ซักผลัดเปลี่ยนได้ ของในโลกใบนี้โดยพื้นแล้วเป็นของธรรมชาติแท้ๆ ดังนั้นจึงไม่มีส่วนประกอบปนเปื้อนจากวัสดุก่อสร้างอะไรประเภทนี้ สามารถเข้าพักอาศัยได้อย่างวางใจ

 

ห้องหนังสือ ห้องรับแขก ห้องฝึกสมาธิ และห้องฝึกยุทธ์ของหลี่มู่เชื่อมอยู่ด้วยกัน สองห้องหลังนั้นอยู่บนชั้นสามของอาคารเล็ก พื้นที่ปิดสนิท เงียบสงบ

 

ในห้องหนังสือมีหยกขาวตัดขนาดเท่าๆ กันสิบก้อนวางอยู่ ทุกก้อนใหญ่ขนาดกะละมังล้างหน้า คุณภาพดีเยี่ยม รวมกันแล้วมูลค่าสูงลิ่ว

 

นี่เป็นหยกที่หลี่มู่ให้เจิ้งฉุนเจี้ยนเตรียมเอาไว้ให้ล่วงหน้า

 

วิชาเต๋าที่ซินแสเฒ่าถ่ายทอดให้ล้วนแปลกพิสดาร แต่มีอยู่จุดหนึ่ง หากเป็นการวางค่ายกลหรือวิชาเต๋าอื่นๆ ที่ค่อนข้างซับซ้อน ด้วยความเชี่ยวชาญและระดับของเขาในตอนนี้ ถ้าคิดจะใช้มือล้วนๆ ร่ายออกมานั้นยากมาก จำต้องมีสื่อกลางที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ายกล เมื่อไม่มีสื่อกลางจะยากสุดๆ และตามคำของซินแสเฒ่า สื่อกลางที่ว่า หากใช้หยกจะดีที่สุด ยิ่งคุณภาพของหยกดีเท่าไหร่ ประสิทธิภาพจะยิ่งยอดเยี่ยมเท่านั้น

 

‘ค่ายกลดาราพิฆาต’ ที่วางไว้ในอำเภอขาวพิสุทธิ์ตอนนั้น หลี่มู่ใช้หยกจำนวนมาก ทั้งยังปรับปรุงลักษณะพื้นที่ กระทั่งฮวงจุ้ยก็ปรับเปลี่ยนด้วยเช่นกัน

 

แต่ไหนแต่ไรมา การวางค่ายกลเป็นเรื่องที่เปลืองกำลังทรัพย์ทั้งนั้น

 

ดีที่การวางค่ายกลรอบๆ เรือนที่หลี่มู่พักอาศัยไม่ซับซ้อนเหมือนที่ว่าการอำเภอขาวพิสุทธิ์ เป็นแค่ค่ายกลลวงตาเอาไว้ป้องกันเท่านั้น มีชื่อว่า ‘ค่ายกลแหสวรรค์มายา’ สามารถทำให้ผู้ที่บุกเข้ามาหลงอยู่ข้างในหาทางออกไม่เจอ กระทั่งว่าในระดับหนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงระยะของมิติ ทำให้ประสาทสัมผัสสับสน

 

เขาไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานนัก

 

เมืองฉางอันถึงแม้จะเจริญรุ่งเรือง แต่เพราะคนเยอะ ดังนั้นอากาศจึงเป็นพิษ ไม่เหมือนกับในเขาขาวพิสุทธิ์ที่มีพลังวิญญาณมากมาย

 

หลี่มู่คิดในใจ

 

ในบรรดาสาวใช้ทั้งสี่ ตอนนี้ยังมีตงเสวี่ยคนสุดท้ายอยู่ที่จวนสกุลหนิง ยังไม่ได้พากลับมา

 

ตงเสวี่ยเป็นสาวใช้คนแรกที่ถูกบังคับให้จากไป และก็เป็นคนที่อายุมากที่สุดให้บรรดาสาวใช้ทั้งสี่ เด็กสาวทั้งสามมองนางเป็นพี่ใหญ่ ตอนนั้นที่ขั้วอำนาจเจ้าเมืองเล่นไม่ซื่อกลั่นแกล้งหลี่มู่อยู่ลับหลัง นางเป็นคนแรกที่ยืดอกเสียสละไปยังจวนสกุลหนิงเอง หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไรแล้ว

 

ทว่าหลี่มู่ก็ไม่ได้หาเรื่องสกุลหนิง เมื่อไม่มีคนอย่างโจวอวี่หรือจางชุยเสวี่ยเล่นตุกติกลับหลัง เรื่องที่จะไปช่วยตงเสวี่ยก็ไม่ต้องรีบร้อน

 

หลี่มู่นั่งอยู่ในห้องหนังสือ เริ่มแกะสลักหยก สร้างเครื่องรางเต๋าหล่อเลี้ยงวิญญาณของชิวอี้

 

แต่ว่าเครื่องรางเต๋าไม่ได้ทำง่ายๆ ก็สำเร็จได้ จะต้องใช้ความตั้งใจในระดับหนึ่งทีเดียว

 

อีกทั้ง ก่อนนี้หลี่มู่ก็ไม่มีประสบการณ์ในการสร้างเครื่องรางเต๋า ดังนั้นทั้งหมดนี้จึงมาจากการยัดเยียดพร่ำบ่นอย่างจริงบ้างไม่จริงบ้างของซินแสเฒ่า พูดได้ว่าเป็นความรู้ตามหลักทฤษฎีล้วนๆ เป็นการวางแผนรบบนกระดาษโดยสิ้นเชิง มีคำกล่าวไว้ว่า ‘ความรู้จากตำรานั้นตื้นเขิน หากอยากเชี่ยวชาญเรื่องนั้นจำต้องลงมือ’ เขายังต้องสั่งสมประสบการณ์จริงอีกเล็กน้อย

 

ประมาณหนึ่งชั่วยามผ่านไป

 

หลี่มู่ใช้หยกก้อนใหญ่ขนาดกะละมังล้างหน้าถึงสามก้อน ถึงจะสร้างเครื่องรางเต๋าตั้งต้นขนาดประมาณฝ่ามืออกมาได้ชิ้นหนึ่ง

 

เครื่องรางเต๋าตั้งต้นที่ว่าไม่ใช่เครื่องรางเต๋าในความหมายอย่างสมบูรณ์ ยังต้องทำการปลุกเสกด้วย

 

วิชาเต๋าที่ซินแสเฒ่าถ่ายทอดให้ แก่นแท้หลักที่โคจรล้วนอยู่ที่พลังจิตวิญญาณ พลังจิตวิญญาณของหลี่มู่ฝึกได้มาจาก ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ยามสำแดงวิชาเต๋าอย่าง ‘เวทที่สอง • เหนี่ยวอัสนีสวรรค์’ จึงแบกรับไหว ดังนั้นน่าจะถือว่ามีความลึกซึ้งถึงในระดับหนึ่งแล้ว เพียงแต่ระดับที่ว่าไม่ได้มีปริมาณกำหนดตายตัว ซินแสเฒ่าไม่เคยพูดถึง ระบบการฝึกวิชาเวทของโลกใบนี้เขาก็ไม่เข้าใจ จึงไม่รู้ว่าตัวเองถึงระดับใดแล้ว

 

และหากจะปลุกเสกเครื่องรางเต๋าตั้งต้นให้กลายเป็นเครื่องรางเต๋า ต้องใช้พลังจิตวิญญาณทำให้สำเร็จ

 

ขั้นตอนโดยละเอียด…เหมือนกับการทำสมาธิหรือการนึกนิมิต

 

หลี่มู่ปลดปล่อยพลังจิตวิญญาณ เครื่องรางเต๋าตั้งต้นที่ขนาดประมาณฝ่ามือ ลักษณะคล้ายโลงเบื้องหน้าลอยขึ้นช้าๆ

 

พลังจิตวิญญาณที่ว่าฟังแล้วดูเหลือเชื่อ แต่ที่จริงแล้ว บนโลกก็เคยมีมนุษย์พลังวิเศษบางคนสามารถใช้จิตเคลื่อนย้ายสิ่งของ ใช้จิตบิดเหล็กให้ม้วนงอ ใช้จิตเปิดขวดเป็นต้น นี่เป็นเพราะได้โอกาสประจวบเหมาะเปิดพลังจิต มีนักวิทยาศาสตร์เคยกล่าวไว้ว่า สมองของมนุษย์ถูกใช้งานไม่ถึงสิบในร้อย หากเกินตัวเลขนี้ไปจะทำให้เกิดพลังพิเศษขึ้น และสามารถทำบางสิ่งที่คนทั่วไปทำไม่ได้ เรื่องความถูกต้องของทฤษฎียังไม่ต้องพูดถึง แต่แนวคิดนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นจริงตามนั้น

 

สำหรับหลี่มู่ในตอนนี้ พลังจิตวิญญาณและกำลังภายในนั้นเหมือนกัน เป็นลักษณะรูปธรรมอย่างหนึ่งที่แสดงออกมาของพลัง เพียงแต่เพิ่มความพิเศษเข้าไปเล็กน้อยเท่านั้น

 

เขาควบคุมพลังจิตวิญญาณของตัวเอง เริ่มสลักภาพไปบนเครื่องรางเต๋าตั้งต้น

 

……………………………………………………

 

 

 

[1] เค่อ หน่วยบอกเวลาของจีน 1 เค่อ = 15 นาที