ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 146 เมืองฉางอันที่อยู่ในความตื่นตะลึง

จอมศาสตราพลิกดารา

เหมือนกับผู้มีพลังวิเศษบางคนบนโลกที่ใช้พลังจิตควบคุมวัตถุ บิดม้วนเหล็กประเภทนั้น พลังจิตวิญญาณของหลี่มู่สลักอักขระไปบนหยกเครื่องรางเต๋าตั้งต้นก็ไม่ได้ยากนัก…อันที่จริงแกะสลักยันต์ซับซ้อนกว่าบิดเหล็กหรือช้อนง่ายๆ พวกนั้นมาก ดีที่พลังจิตวิญญาณของหลี่มู่ผ่านการเบิกจาก ‘วิชาก่อนกำเนิด’ จึงแข็งแกร่งกว่าพลังจิตวิญญาณของผู้มีพลังวิเศษบนโลกพวกนั้นมากเหลือเกิน

 

เขาเพ่งสมาธิ ควบคุมพลังจิตวิญญาณอันไร้รูปร่าง ในหัวจินตนาการถึงภาพยันต์ที่ซินแสเฒ่าถ่ายทอดให้ จากนั้นก็เหมือนมีปากกาแกะสลักไร้รูปร่างแกะไปบนหยกเครื่องรางเต๋าตั้งต้น เส้นเว้าแต่ละเส้นๆ ปรากฏขึ้น สะเก็ดหยกร่วงลงมา

 

ทำซ้ำกลับไปกลับมาเช่นนี้

 

รูปที่หลี่มู่สลักไปบนหยกเครื่องรางเต๋าตั้งต้นก็คือ ‘ภาพเลี้ยงผีเขาอินซาน’

 

จากคำของซินแสเฒ่า ‘ภาพเลี้ยงผีเขาอินซาน’ คือภาพวาดเลียนแบบแผนที่ป่าเขาลำเนาไพรของยมโลก เป็นภาพที่มาจากปรภพ จะสลักภาพแบบนี้ไว้ในโลงศพ นี่เป็นตัวเลือกที่ผู้มีพลังวิเศษในอดีตทั้งหลายเตรียมไว้ให้ตัวเองก่อนตาย สามารถหล่อเลี้ยงวิญญาณ ทำให้วิญญาณของผู้ตายไม่แตกสลาย เหมือนฝึกฝนวิญญาณ รักษาดวงจิตและความคิดไว้ เพื่อให้วันหนึ่งสามารถฟื้นคืนชีพกลับมายังโลกมนุษย์ได้

 

แน่นอน ‘ภาพเลี้ยงผีเขาอินซาน’ โบราณฉบับที่สมบูรณ์ซับซ้อนเกินไป ต่อให้เป็นซินแสเฒ่าก็ไม่อาจสาธิตได้อย่างถ่องแท้ รูปที่หลี่มู่เรียนมาเป็นแค่ส่วนหนึ่งในนั้น ทั้งยังเป็นภาพที่ปรับให้ง่ายขึ้นอีกด้วย ในยามที่ซินแสเฒ่าทำพิธีที่ชนบทก็มักวาดไว้บนกระดาษเหลืองเพื่อหลอกลวงผู้คน และยังพูดอยู่ตลอดว่าได้ผลแน่นอน อัศจรรย์เป็นที่สุด ตอนนั้นเขาไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เชื่อแล้ว

 

หยกเครื่องรางเต๋าตั้งต้นรูปร่างเหมือนโลงหยก ภาพผนังข้างในมีขนาดไม่เกินฝ่ามือเด็ก มาพร้อมกับฝาโลง รวมมีทั้งหมดหกชิ้น หัวและท้ายเล็กขึ้นไปอีกหน่อย หลี่มู่จะต้องสลักรูป ‘ภาพเลี้ยงผีเขาอินซาน’ ไว้ที่ผนังข้างในทุกด้าน นี่เป็นการทดสอบพลังจิตวิญญาณอย่างมาก

 

เวลาผ่านไป

 

ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม

 

หนึ่งชั่วยามของโลกใบนี้เหมือนกับวิธีนับเวลาของคนจีนสมัยโบราณบนโลก หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมงในยุคปัจจุบัน

 

หลี่มู่สลักภาพที่ขนาดค่อนข้างใหญ่เสร็จสองรูป ก็รู้สึกตาลาย สายตาพร่าเลือน

 

นี่เป็นสัญญาณของการใช้พลังจิตวิญญาณมากเกินไป

 

“ฮู่ว สลักยันต์สิ้นเปลืองพลังจิตวิญญาณมากกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก” หลี่มู่สูดลมหายใจลึก

 

เขาหยุดลง และเปลี่ยนมาฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ฟื้นฟูพลังกลับ

 

หายใจเป็นจังหวะ ดูดซับพลังวิญญาณในฟ้าดิน

 

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม หลี่มู่ก็กลับมากระปรี้กระเปร่าขึ้นอีกร้อยเท่า

 

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ เขาพบว่าหลังจากการฝึกฝนครั้งนี้ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ที่หยุดชะงักไม่ก้าวหน้ามาโดยตลอดเหมือนจะพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สัมผัสรับรู้โดยตรงที่สุดคือระดับความว่องไวของประสาทสัมผัสทั้งหกยกระดับขึ้นอีกครั้ง นี่เป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์นัก เสมือนโลกทั้งใบที่อยู่ข้างหน้าตนชัดเจนยิ่งขึ้น

 

หลังจากที่สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงนี้ หลี่มู่ก็ปลุกเสกหยกเครื่องรางเต๋าตั้งต้น สลัก ‘ภาพเลี้ยงผีเขาอินซาน’ ต่อไป

 

“เอ๋ พลังจิตวิญญาณเหมือนจะเพิ่มขึ้น แล้วก็ยิ่งบริสุทธิ์ขึ้นด้วย”

 

หลี่มู่พบความแตกต่างอย่างรวดเร็ว

 

การฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ครั้งนี้ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น แต่ผลกลับดีกว่าก่อนหน้านี้หลายสิบวันมากโข

 

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นอาจจะไม่สนใจความแตกต่างแบบนี้ แต่หลี่มู่ไม่เหมือนกัน

 

เขารีบร้อนยกระดับพลังให้ตัวเองแข็งแกร่ง จะได้ออกไปจากดาวดวงนี้ ก้าวเข้าสู่จักรวาล เดินทางกลับไปยังโลกบ้านเกิด ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของการยกระดับพลังที่ชัดเจนเช่นนี้ เขาจึงจับได้ทันที ทั้งยังตระหนักได้ว่าต้องมีสาเหตุแน่นอน

 

คิดไปคิดมา สาเหตุเพียงหนึ่งเดียวอยู่ที่ก่อนหน้าจะฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ เขาสลักรูปยันต์ ‘เลี้ยงผีเขาอินซาน’ อยู่หนึ่งชั่วยาม

 

‘หรือสลักภาพยันต์ก็เป็นวิธีฝึกฝนพลังจิตที่พิเศษแบบหนึ่ง สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ได้?’

 

หลี่มู่นึกถึงจุดนี้ได้ทันที

 

เขาตื่นเต้นขึ้นมา

 

สิ่งเดียวที่เขาไม่แน่ใจก็คือ พลังจิตวิญญาณของตนเพิ่มขึ้นมาเท่าไหร่กันแน่

 

เรื่องนี้ซินแสเฒ่าไม่เคยบอกไว้ ความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของพลังจิตวิญญาณนั้นแบ่งระดับอย่างไร มีขอบเขตอะไรเป็นตัวแบ่ง ตอนนี้หลี่มู่ยังไม่รู้แน่ชัด

 

สามชั่วยามต่อมา หลี่มู่สลักยันต์ ‘ภาพเลี้ยงผีเขาอินซาน’ ซ้ำไปซ้ำมา ระหว่างนั้นก็ฝึก ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ไปด้วย ซึ่งยืนยันการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขาได้จริงๆ การใช้พลังจิตวิญญาณสลักยันต์มีประโยชน์ต่อ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ อย่างชัดเจนแน่นอน

 

นี่หมายความว่าหลี่มู่ได้หนทางฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ให้เร็วขึ้นแล้ว

 

สุดท้าย โลงเครื่องรางเต๋าที่จะนำมาบรรจุสามจิตเจ็ดวิญญาณของชิวอี้ก็สลักเสร็จเรียบร้อย

 

นี่คือเครื่องรางเต๋าชิ้นแรกที่หลี่มู่สร้างขึ้นและปลุกเสกเองสำเร็จ แต่ก็เป็นแค่เครื่องรางเต๋าระดับต่ำสุดเท่านั้น ประโยชน์เพียงอย่างเดียวคือนำมาหล่อเลี้ยงวิญญาณ นอกจากนั้นแล้วไม่มีพลังใดๆ

 

เขาเรียกวิญญาณของชิวอี้ออกมา ให้นางเข้าไปอยู่ในโลงหยกเล็ก

 

“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

“สบายเหลือเกิน เหมือนอยู่ในครรภ์มารดา สบายกว่าอยู่ในร่างตัวเอง ข้ารู้สึกว่าวิญญาณของตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดหายไป อุ่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน” ในโลงเล็กมีเสียงของชิวอี้ดังออกมา

 

หลี่มู่พยักหน้า

 

นี่หมายความว่าโลงหยกเครื่องรางเต๋าสำเร็จแล้ว

 

‘บางที เราน่าจะหาเวลาแกะสลักปลุกเสกเครื่องรางเต๋าอีกหลายๆ ชิ้น โดยเฉพาะเครื่องรางเต๋าที่ช่วยเรื่องต่อสู้ หากสำเร็จ ถึงตอนนั้นต่อให้ผู้แข็งแกร่งระดับขั้นเดียวกันหลายคนล้อมโจมตีก็สามารถป้องกันตัวเองได้สบาย จะถอยหรือบุกก็เป็นไปได้ดั่งใจ’

 

หลี่มู่คิดในใจ

 

อีกทั้งการสลักยันต์เครื่องรางเต๋ายังเพิ่มพลังจิตวิญญาณได้ด้วย พูดได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

 

‘จะปลุกเสกเครื่องรางเต๋าประเภทไหนออกมาอีกดี? น้ำเต้าหล่อเลี้ยงกระบี่? ไม่ได้ เครื่องรางเต๋าระดับตำนานขั้นสูงเกินไป ไม่ใช่เครื่องรางเต๋าที่เราในตอนนี้จะปลุกเสกออกมาได้…อืม กระบี่หยก? ก็ไม่ได้เหมือนกัน…คิดก่อน ซินแสเฒ่าเคยบอกไว้ ใช่แล้ว ปลุกเสก ‘ทัณฑ์สวรรค์คำราม’ ได้ นี่น่าจะเป็นเครื่องรางเต๋าที่สิ้นเปลืองพลังมากที่สุดที่เราสลักและปลุกเสกออกมาได้ในตอนนี้’

 

ในใจเขาตัดสินใจได้แล้ว

 

แต่ว่าหยกที่เหลืออยู่ในห้องหนังสือมีไม่พอ

 

‘ท่าทางคงต้องหาวิธีเอาหยกมาเพิ่ม เรื่องนี้ก็ต้องเป็นหน้าที่ของเจิ้งฉุนเจี้ยน’

 

โดยปกติแล้ว หยกยิ่งคุณภาพดี อัตราความสำเร็จของการปลุกเสกเครื่องรางเต๋าก็จะยิ่งสูง

 

หยก คือแก่นบริสุทธิ์แห่งฟ้าดิน

 

หินหยก คือร่างประทับที่สามารถรับรองพลังฟ้าดินได้

 

หลี่มู่คิดในใจ จากนั้นพบว่าตั๋วทองที่รีดไถมาจากพวกหลี่สยง โจวอวี่ หากเป็นไปตามนี้เหมือนจะไม่พอใช้ เช่นนั้นต่อไปคงต้องคิดหาวิธีตกทรัพย์เสียหน่อยแล้ว

 

ยอดฝีมือก็ต้องปวดหัวเพราะเงินทองเหมือนกันนะเนี่ย

 

หลี่มู่ยืดเส้นยืดสายเดินมายังหน้าต่างชั้นสาม

 

เขามองออกไปข้างนอก ดูเหมือนจะเป็นเวลาบ่ายแล้ว แหล่งชุมชนรอบตรอกไล่หมู่กำลังคึกคัก ควันไฟจากการประกอบอาหารลอยจากทั่วทุกทิศ ผู้คนแน่นขนัด ทั้งยังมีเสียงหยอกล้อของเด็กๆ เป็นความงดงามที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

 

ทันใดนั้น หลี่มู่มองเห็นที่ทางเข้าตรอกไล่หมูมีขบวนรถม้างดงามวิจิตรวิ่งมา

 

ม้าตัวสูงใหญ่ รถม้าสีแดง องครักษ์เสื้อแพร ชุดเกราะวาววับ งดงามอลังการ

 

คนกลุ่มนี้กลิ่นอายสูงส่งไม่เข้ากับชุมชนแออัด เห็นได้ชัดว่าเป็นคนภายนอก

 

หลี่มู่จ้องมองไป พบว่าทหารม้าเกราะเงินที่อยู่ข้างหน้าสุดถือธงเอาไว้สูง ผืนธงสีเหลืองขลิบเงิน ตรงกลางมีอักษร ‘หนิง’ สีแดงเพลิงอยู่  เตะตาเป็นที่สุด ธงโบกสะบัดกลางอากาศ รัศมีอำนาจมากล้น

 

“หนิง?” หลี่มู่คิดโยงได้เรื่องหนึ่ง “หรือจะเป็นคนของจวนแม่ทัพใหญ่?”

 

สาวใช้คนสุดท้ายตงเสวี่ยถูกส่งไปยังจวนสกุลหนิงนี่เอง

 

……

 

“ขอบรรพชนโปรดออกจากการกักตน”

 

จุดที่ลึกที่สุดของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ หัวหน้าโรงฝึกจางเฉิงเฟิงมือยกธูปสีม่วงสามดอกเอาไว้สูง จุดมัน จากนั้นคุกเข่าลงอย่างนอบน้อมหน้าสุสานศิลา แล้วเอ่ยเสียงดัง

 

ร่างของจางชุยเสวี่ยถูกวางเอาไว้หน้าป้ายวิญญาณไร้ตัวอักษรของสุสานหิน

 

ทว่า ในสุสานหินก็ไม่มีเสียงอะไรดังออกมา

 

“สอง ขอบรรพชนโปรดออกจากการกักตน”

 

จางเฉิงเฟิงโขกศีรษะจนเลือดไหล

 

ธูปม่วงควันลอยอ้อยอิ่ง ส่งกลิ่นประหลาด ควันจับตัวไม่ฟุ้งกระจายจางหายไป แต่ไหลวนอยู่ในอากาศเหมือนกับเส้นไหมสามเส้น สุดท้ายก็ลอยไปยังหลุมฝังศพแล้วลอดเข้าไปในนั้น

 

“สาม ขอบรรพชนโปรดออกจากการกักตน” จางเฉิงเฟิงตะโกน โขกศีรษะลงไปอีกครั้ง

 

ทันใดนั้น รอบสุสานหินมีลมเย็นพัดกระโชก

 

เพียงชั่วพริบตา แสงสว่างรอบสุสานหินก็มืดหม่น ใบไม้บนพื้นลอยขึ้นมาหมุนวนอยู่กลางอากาศ ราวกับมีพลังลึกลับอะไรบางอย่างตรึงมันเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น

 

“มีเรื่องอะไรจึงต้องรบกวนข้า?”

 

เสียงแก่ชราแหบแห้งดังออกมาจากสุสาน

 

“ท่านบรรพชน โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ของเราถูกรังแก เขาวงกตใต้ดินถล่ม ปฏิปักษ์คู่อาฆาตที่กักขังอยู่หนีไปกว่าครึ่ง ปีศาจตัวนั้นที่ผนึกเอาไว้ในห้องขังที่หนาแน่นที่สุดก็หนีไปแล้วเช่นกัน…ท่านบรรพชน โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์อยู่ในช่วงความเป็นความตายแล้ว คู่ต่อสู้คือยอดปรมาจารย์อายุน้อย มันฆ่าลูกชายข้า ซึ่งก็คือผู้สืบทอดโรงฝึกยุทธ์…” จางเฉิงเฟิงกัดฟัน เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบหนึ่ง

 

ในสุสานหินตกอยู่ในความเงียบงันอย่างน่าประหลาด

 

ชั่วครู่ เสียงแก่ชราแหบแห้งนั่นถึงจะดังขึ้น “เตรียมของเอาไว้เรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?”

 

จางเฉิงเฟิงได้ยินก็ดีใจทันที พูดเช่นนี้ก็หมายความว่าในที่สุดบรรพชนตกลงออกจากการปิดด่านแล้ว

 

เขาลุกขึ้นช้าๆ หันไปกวักมือเรียกลูกศิษย์สาวสองคน

 

ลูกศิษย์สาวสองคนนี้เป็นคนที่เขาเลือกมาโดยเฉพาะ หน้าตาไม่เลว พลังฝึกอยู่ขั้นรวมจิตแล้ว นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งในหมู่ลูกศิษย์หญิงทั้งหมดของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ อีกทั้งสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สองคนนี้ล้วนเป็นสาวพรหมจรรย์

 

ฉึก ฉึก!

 

จางเฉิงเฟิงลงมือทันที ท่ามกลางสายตาที่ยากจะเชื่อของลูกศิษย์สาวทั้งสอง ใช้ฝ่ามือกระบี่โจมตีพวกนาง สะเทือนจนชีพจรแหลกสลาย ล้มฟุบลงไปหน้าป้ายวิญญาณหิน เลือดพุ่งกระฉูดออกจากปากแผลราวกับน้ำพุ

 

เรื่องแปลกประหลาดบังเกิดขึ้นแล้ว

 

ป้ายวิญญาณไร้ตัวอักษรมีลำแสงหม่นจางๆ วูบผ่าน สูบเลือดของสาวพรหมจรรย์เข้าไป กัดกินเลือดของผู้ตายเหมือนกับมีชีวิต

 

“อา รสชาติของเลือดสดๆ…เป็นอาหารที่ไม่เลวเลย” เสียงแหบแห้งค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนเยาว์ “ยอดปรมาจารย์อายุสิบกว่าอย่างนั้นรึ? น่าสนใจ เป็นร่างที่เหมาะสมนัก นี่คือโอกาสของข้า หลี่มู่ มันจะกลายเป็นเหยื่อล่าของข้า ฮี่ๆๆๆ!”

 

……

 

มีคนถล่มโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์

 

ข่าวที่เป็นที่น่าฮือฮาลือไปในเมืองฉางอันอย่างบ้าคลั่ง

 

ตอนแรก มีคนยังคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่น เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น ในเมื่อพลังของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์แข็งแกร่งยิ่งนัก พละกำลังรวมก็จัดอยู่ในยี่สิบอันดับแรกของเมืองฉางอัน หัวหน้าโรงฝึก ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ ก็เป็นสุดยอดฝีมือที่ทุกคนต่างรู้จัก ยอดฝีมือในสำนักมีมากมาย ผู้แข็งแกร่งชั้นยอดขั้นปรมาจารย์มีเกือบสิบคน เป็นใครกันที่บุกถล่มขั้วอำนาจเช่นนี้เพียงลำพัง?

 

แต่ว่า หลังจากข่าวลือที่เป็นที่ฮือฮา หลักฐานต่างๆ เผยแพร่ออกไป ทุกคนก็ค่อยๆ รู้ว่าที่แท้เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง

 

เป็นใครกัน?

 

เป็นใครที่กล้าทำเรื่องแบบนี้?

 

หลังจากที่ทุกฝ่ายสืบข่าวคราว คำตอบที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏ

 

เป็นเด็กหนุ่มอายุไม่ถึงยี่สิบที่ทำเรื่องที่น่าตกใจเช่นนี้

 

เขาเป็นใคร?

 

มาจากที่ไหน?

 

มาเพื่ออะไร?

 

ทั่วทั้งเมืองฉางอันตกอยู่ในความตื่นตะลึง

 

……………………………………………………