บทที่ 225 เจิ้งยี่เผยตัว

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 225 เจิ้งยี่เผยตัว

ในตอนที่เจิ้งยี่ได้เห็นเฉินเฉียงร่วงหล่นไปสู่พื้นดิน เจิ้งยี่ก็ได้เตรียมใจไว้แล้ว เขาตวัดกระบี่ทองคำของตนหั่นล่างของนายพลทักษะพิเศษทั้งสองตรงหน้าจนแยกออกจากกัน

เมื่อได้เห็นฉากนี้ กองกำลังเทียนเว่ยทุกคนที่คิดจะพุ่งตรงไปช่วยเหลือเฉินเฉียง ต่างก็มองเจิ้งยี่ด้วยสายตาที่เบิกกว้างและเกรงกลัว

แม้แต่นายพลทักษะพิเศษที่เห็นเจิ้งยี่แล้วต่างก็รีบหนีลนลานกันอย่างกับผึ้งแตกรัง และตะโกนโหวกเหวกกันในทันที “นายท่านวิ่งเร็วเข้า ไอ้บ้านี่มันคลั่งไปแล้ว มันคิดจะทำลายตัวเอง”

มนุษย์กลายพันธุ์ร่างอ้วนผิวคล้ำเองนั้นที่เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงหมดพลังจิตไปแล้วหมายที่จะเข้าไปฆ่าเฉินเฉียง เมื่อได้ยินเสียงตะโกนลั่นจากผู้ใต้บังคับบัญชาก็ได้หันกลับไปมอง

ไม่รู้ทำไมเหมือนกันที่ร่างกายของเจิ้งยี่เปลี่ยนไปอย่างมากมายนัก และที่น่ากลาวยิ่งกว่าคือปากของเขานั้นกลับกลายเป็นใหญ่ยักษ์ประดุจดังปากโอ่งจนแทบจะเต็มครรลองสายตาของเขา

นี่คือสัตว์ประหลาดห่าเหวอะไรกัน

แม้ว่าร่างของมนุษย์กลายพันธุ์ร่างอ้วนตัวดำตนนี้จะนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แต่กว่ามันจะรู้ตัวก็พบว่าตัวของมันถูกปากของเจิ้งยี่เขมือบลงไปเพียงชั่วพริบตา

เป็นตอนที่ตัวเองใกล้จะได้ตกตายไปแล้ว มนุษย์กลายพันธุ์ตนนี้จึงได้ตระหนักถึงตัวตนของเจิ้งยี่ขึ้นมาในทันที “ฉิบหายแล้ว ไอ้บ้านี่มันมีพลังเหนือมนุษย์จอมเขมือบ ไอ้เจ้านี้มันก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์”

นายพลทักษะพิเศษที่เหลือในตอนนี้ทำได้เพียงมองไปยังร่างของผู้นำของตนที่ถูกเขมือบไปโดยเจิ้งยี่เพียงเท่านั้น อย่าว่าแต่มนุษย์กลายพันธุ์เลย แม้แต่คนในกองกำลังเทียนเว่ยเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ

นั่นก็เพราะการกลืนกินสิ่งมีชีวิตทั้งเป็นนี้มันช่างโหดร้าย ป่าเถื่อน และน่าขยะแขยง

เจิ้งยี่ไม่ได้หยุดแค่เพียงเท่านั้น หลังจากกลืนกินมนุษย์กลายพันธุ์ร่างอ้วนผิวคล้ำไปแล้ว เขายังย้ายไปหมายไปยังนายพลทักษะพิเศษสองตนที่ยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล

ถึงแม้ว่ามนุษย์กลายพันธุ์นั้นโดยปกติจะทำเรื่องโหดร้ายกับมนุษย์อยู่ร่ำไปอยู่แล้ว แต่พวกมันเองก็ไม่คิดว่าจะโดนพวกเดียวกันเองมาทำเรื่องที่โหดร้ายและน่าขยะแขยงนี้กับฝ่ายเดียวกัน

อย่าว่าแต่มนุษย์กลายพันธุ์เลย แม้แต่คนในกองกำลังเทียนเว่ยเองต่างก็ตกตะลึงกับการกระทำของเจิ้งยี่และไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว

บรรดาหญิงสาวอย่างเว่ยฉิงเชินและหลิวซวนเอ๋อ รวมถึงอีกสองคนเมื่อเห็นฉากนี้ตรงหน้าก็ทำได้เพียงเบือนหน้าหนีไม่กล้าที่จะมองรูปลักษณ์ที่น่ากลัวของเจิ้งยี่ในตอนนี้

เหล่านายพลทักษะพิเศษทั้งหลายเมื่อรับรู้ได้แล้วว่าผู้นำของตนถูกเจิ้งยี่เขมือบไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ พวกมันไม่อาจควบคุมร่างกายตัวเองได้อีก ในตอนนี้พวกมันหมดเรี่ยวแรงแทบจะทรุดลงไปในทันที

อย่างไรก็ตาม พวกมันไม่นึกว่าเจิ้งยี่นั้นหลังจากกินหัวหน้าของมันเสร็จจะเขมือบพวกของมันไปอีกสองตนอย่างรวดเร็ว

“หนี ไอ้บ้านี้มันปีศาจจอมเขมือบ”

ในตอนนี้มนุษย์กลายพันธุ์กว่าสี่สิบตนไม่เหลือจิตใจที่จะสู้อีกต่อไป ทุกตนวิ่งหนีกระจายออกไปในทุกทิศทางราวกับผึ้งแตกรัง อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ตกตะลึงอย่างซ้ำๆทำให้ราวกับว่าพวกมันหลงลืมว่าตัวเองเป็นใครไปแล้ว อย่าว่าแต่จะลืมไปแล้วว่าตัวเองมีปีกอยู่เลย แม้แต่คลานก็ยังทำได้ยากเย็น

เมื่อเห็นแบบนี้ คนในกองกำลังเทียนเว่ยจะปล่อยให้หมาที่กำลังจมน้ำเหล่านี้หลุดรอดไปแล้วกลับมาลอบกัดอีกได้ยังไง

“ฆ่า แก้แค้นให้กัปตันพวกเราซะ”

มีเพียงฉิงเชินเท่านั้นที่ไม่ได้ทำตาม แต่เธอกลับพุ่งตรงไปยังเฉินเฉียง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอนั้นอยู่ห่างจากเฉินเฉียงเพียงห้าเมตร เธอถูกรั้งไว้ด้วยหลู่ฟางจากข้างหลัง พร้อมกับมองไปยังเจิ้งยี่ที่กำลังอยู่ในสภาพสัตว์ประหลาด

หลังจากที่ขับไล่มนุษย์กลายพันธุ์ออกไปได้แล้ว เจิ้งยี่ก็ได้กลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิม แล้วโค้งตัวลงมาเพื่อตรวจสอบดูว่าเฉินเฉียงยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่

“พี่ใหญ่เฉินเฉียง”

ฉิงเชินได้มองไปที่เฉินเฉียงที่หมอบเรียบแต้อยู่กับพื้นอย่างกังวล แต่ด้วยการที่เจิ้งยี่อยู่ตรงนั้นจึงไม่กล้าที่จะเข้าไปหา

เจิ้งยี่ได้เงยหน้าขึ้นมาแล้วพบเห็นสายตาของฉิงเชินแล้วก็รีบก้มหัวของตน และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราวกับจะร้องไห้ “คุณหนูเว่ยอย่าได้กังวล กัปตันเพียงใช้พลังจิตมากเกินไปเท่านั้น อีกไม่นานเขาก็จะฟื้น”

“หลังจากพูดจบ เจิงยี่ได้นั่งขัดสมาธิลงกับพื้น พร้อมกับคอยอารักขาเฉินเฉียงเอาไว้ด้วยสภาพร่างที่สงบ”

หลู่ฟางเองในตอนนี้ก็มองเจิ้งยี่ด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆก่อนที่จะถามออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งลึก “เจิ้งยี่ เจ้าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์จริงๆงั้นรึ”

ฉิงเชินที่ถูกหลู่ฟางเอาตัวขวางไว้นั้น เมื่อเห็นว่าเจิ้งยี่มีท่างทางอึกอักก็ได้กระซิบถามหลู่ฟาง “ศิษย์พี่หลู เขาจะทำอะไรพี่ใหญ่เฉินเฉียงรึเปล่า”

เมื่อเห็นว่าเจิ้งยี่ไม่ตอบคำถาม หลูฟางก็ได้ส่ายหัวแล้วพูดออกมา “ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น หากว่าเจิ้งยี่ไม่ลงมือในครั้งนี้ ศิษย์น้องคงได้ตกตายไปนานแล้ว”

ฉิงเชินเมื่อได้ยินก็พยักหน้ารับ เธอเองนั้นได้มองไปที่เฉินเฉียงที่เรียบแต้อยู่กับพื้นแล้วอยากจะเข้าไปหาใจจะขาด แต่เมื่อนึกถึงสภาพร่างของเจิ้งยี่ก่อนหน้านี้แล้วก็อดที่จะแข้งขาอ่อนเสียไม่ได้

ส่วนในตอนนี้นั้น หัวใจของเจิ้งยี่นั้นตกอยู่ในสภาพราวกับตายด้านไปแล้ว

นั่นก็เพราะต่อหน้าทุกคน เขาได้ใช้พลังเหนือมนุษย์จอมเขมือบออกไปแล้ว แถมยังใช้มันได้อย่างช่ำชอง

นี่ทำให้เขารับรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่จางหยวนและพวกกลับมาหลังจากไล่ฆ่ามนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้แล้วกลับมา

อย่างไรก็ตาม เขาได้ลั่นปากออกมาแล้วว่าจะเป็นองครักษ์ของเฉินเฉียง และด้วยเหตุนี้ ต่อให้เขาต้องตายก็ต้องปกป้องเฉินเฉียงไว้ให้ได้

เฮ้ออออ

เขาเพียงเสียดายที่ทดแทนพระคุณของเฉินเฉียงได้เพียงเท่านั้น

แต่ต่อให้ต้องแลกมาด้วยชีวิต นี่ก็ถือได้ว่าเขาไม่ติดค้างใครอีก

และไม่นาน จางหยวนและคนอื่นๆก็ได้กลับมา

หลู่ฟางรีบเจ้าไปหาและพูดคุยในทันที “น้องจางหยวน จัดการพวกมันหมดรึเปล่า”

จางหยวนได้ส่ายหน้าไปมาแล้วพูดตอบ “พวกมันดันนึกได้ว่าตัวเองบินได้ก็เลยบินหนีไปแล้ว ทำให้จับพวกมันไม่ค่อยจะได้เลย”

“วิ่งหนีเหรอ แย่แล้ว น้องจางหยวน พวกเราต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ก่อนที่พวกมันจะตามกำลังเสริมมา ไม่อย่างนั้นเราจะตกอยู่ในอันตรายแน่นอน”

จางหยวนพยักหน้ารับ ก่อนที่จะพาทุกคนไปยังที่ที่เฉินเฉียงและเจิ้งยี่อยู่

จางหยวนนั้นถอดถอนลมหายใจของตนอย่างหนัก ก่อนที่จะหยุดอยู่ห่างจากเจิ้งยี่ที่ห้าเมตร

หลังจากมองเจิ้งยี่ที่มีท่าทางสงบอยู่นั้น จางหยวนลังเลไปเล็กน้อยก่อนที่จะถามออกมา “เจิ้งยี่ ข้าขอถามตรงๆเลยนะว่าเจ้าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ใช่รึเปล่า”

เหตุที่เขาถามออกมานั้นก็เพราะว่าเจิ้งยี่เป็นคนช่วยเฉินเฉียงเอาไว้ นี่จึงทำให้จางหยวนและพวกนั้นไม่อยากจะเชื่อว่าเจิ้งยี่คือศัตรู

และอีกอย่างก็คือ หากไม่ใช่เพราะมีเจิ้งยี่อยู่กับพวกเขา กองกำลังของเขานับแต่เข้ามาในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ต้องเสียหายอย่างหนักแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ตัวเขาจะรังเกียจมนุษย์กลายพันธุ์มากมายขนาดไหน แต่เขาก็ยังจะอยากถามคำถามนี้ขึ้นมาแทนผู้คนในกองกำลัง เพราะยังซะ เขาก็ช่วยเหลือทุกคนมาตลอดจนถึงตอนนี้

กัวเหลียงและคนอื่นในกองกำลังนั้นต่างก็ไม่อยากจะยอมรับในสิ่งที่เห็น

เป็นตอนนี้ที่แม่บ้านประจำกองกำลังอย่างเม่ยหลัวหลันได้ดึงชายเสื้อของจางหยวนแล้วกระซิบพูด “เป็นไปได้ไหมว่าเจิ้งยี่จะเป็นเหมือนกับกัปตัน ละอาจจะเป็นคนของฮุยตู๋ที่ถ่ายทอดพลังให้”

เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว จางหยวนที่ได้ยินก็ราวกับฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้แล้วพูดออกมา “หลัวหลัน เจ้าพูดได้ถูกต้องนัก ในเมื่อกัปตันของพวกเรานั้นพิสูจน์ตัวเองได้แล้วว่าเขานั้นไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์ ยิ่งไปกว่านั้นน้องเจิ้งยี่ยังเข้ามากองกำลังของเราเพราะกัปตันอีก ข้าว่ากัปตันต้องรู้อยู่แล้วไม่งั้นคงไม่ยอมให้เขาเป็นองครักษ์แบบนี้”

“จริงด้วย ไม่อย่างนั้นล่ะก็ด้วยคนมีความสามารถอย่างเขาที่ไปเข้ากับใครก็เป็นกัปตันได้ แม้แต่ตึกจอมพลภาคกลางก็ยังไม่เว้นเลยนะ”

“แต่การที่เขานั้นยอมเข้าร่วมกับเราพร้อมกัปตันและเป็นองครักษ์ของเขาแบบนี้ต้องเป็นเพราะว่ามีที่มาที่ไปแบบเดียวกันเป็นแน่”

จางหยวนเห็นด้วยกับคำอธิบายนี้ในทันทีและรับฟังคนอื่นพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้

อย่งไรก็ตาม ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่นี้เอง เจิ้งยี่ที่นิ่งเงียบมานานก็ค่อยๆลืมตาและพูดออกมาอย่างสงบ และพูดออกมาอย่างไม่ทุกร้อน “จางหยวน ท่านพูดถูกแล้ว ข้าคือมนุษย์กลายพันธุ์จริงๆ”