บทที่ 226 เปรียบเทียบ

คำพูดของเจิ้งยี่นั้นเปรียบได้ดั่งกระสุนปืนใหญ่ที่ยิงลงไปในทะเลสาบ ก่อให้เกิดคลื่นมากมายในใจของทุกคนในกองกำลังเทียนเว่ย

เจิ้งยี่ผู้ซึ่งเปรียบได้ดั่งเทพพิทักษ์ของกองกำลัง องครักษ์ประจำตัวเฉินเฉียง ยอมรับตนเองว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์

เหตุผลส่วนใหญ่ที่ทำไมคนในกองกำลังเทียนเว่ยรู้สึกกระอักกระอ่วนใจนั้นเป็นเพราะคนในกองกำลังดั้งเดิมทั้งแปดคนนั้นล้วนแล้วแต่มีญาติมิตรที่ตกตายด้วยมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหมดทั้งสิ้น

และด้วยเหตุนี้ เมื่อตอนที่ทุกคนได้เห็นว่าเฉินเฉียงมีพลังเหนือมนุษย์ พวกเขานั้นยากที่จะยอมรับ และไม่อาจจะยอมให้เฉินเฉียงอยู่ในตำแหน่งหัวหน้ากองกำลังได้

นั่นขนาดว่าแต่เฉินเฉียงมีพลังยังอยากจะยอมรับ นับประสาอะไรกับเจิ้งยี่ที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์

หลังจากได้รับคำยืนยันจากปากของเจิ้งยี่ สมาชิกกองกำลังดั้งเดิมทั้งแปดคนนำโดยจางหยวนได้ชักกระบี่ออกมาและนำไปจ่อที่คอของเจิ้งยี่

ส่วนกัวเหลียง หนี่เฟิง และชุยหยันหลันนั้น ถึงแม้จะได้รับรู้แต่พวกเขาไม่มีท่าทางกระด้างกระเดื่องแต่อย่างใด

นั่นก็เพราะพวกเขาเองได้รับรู้ด้วยตัวเองมาแล้วว่าเจิ้งยี่นั้นได้ต่อสู้ชนิดหักหาญชีวิตกับมนุษย์กลายพันธุ์ ยอมแม้แต่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือสมาชิกในกองกำลังเลยด้วยซ้ำ

เมื่อเจิ้งยี่ได้เห็นกระบี่ทั้งแปดที่จ่อมาที่ตนแล้ว เจิ้งยี่ก็อยู่ในสภาพที่สงบอย่างน่าประหลาดใจ เขาไม่มีท่าทางอึกอักยึกยักหรือตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อยราวกับเตรียมใจไว้แล้ว เขาได้หลับตาลงและมีท่าทีที่ผ่อนคลาย

“เจิ้งยี่ ข้าขอโทษ แต่ไม่ว่าเจ้าจะมีความสามารถที่สูงล้ำยังไงก็ตาม แต่ไม่ทางเลยที่พวกเรากองกำลังเทียนเว่ยจะยอมรับมนุษย์กลายพันธุ์ได้”

“พวกเราคือเหล่าผู้สืบสายเลือดจากผู้ที่ตกตายโดยมนุษย์กลายพันธุ์ จนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้ ภารกิจเดียวที่ยอมรับเพื่อให้เราเคลื่อนไหวได้ล้วนแล้วแต่เกี่ยวกับการฆ่าล้างมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งสิ้น”

“ดังนั้น….เจิ้งยี่ ข้าขอโทษ”

หลังจากพูดจบ จางหยวนและคนที่เหลือก็ได้ลงมือพร้อมกัน ปลายกระบี่ที่แหลมคมทั้งแปดต่างพุ่งตรงไปที่เจิ้งยี่

เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงนั้น ในที่สุดก็ได้ฟื้นคืนสติ

ถึงแม้จะฟื้นคืนมาได้เพียงเล็กน้อย แต่เขาก็มีแรงพอที่จะขยับตัว

อย่างไรก็ตาม นึกไม่ถึงว่าเขาเปิดตาดูก็พบว่าจางหยวนและคนอื่นๆกำลังจะรุมฆ่าเจิ้งยี่อย่างโหดร้าย

“ทำห่าเหวอะไรกันเนี่ย”

เฉินเฉียงตกใจจนสบถออกมาอย่างแข็งกร้าวและลากเจิ้งยี่ไปด้านหลังอีกนับสิบเมตร

“พี่ใหญ่เฉินเฉียง”

เมื่อเว่ยฉิงเชินได้เห็นเฉินเฉียงฟื้นขึ้นมาแล้วก็ได้หลีกหนีการกีดขวางของหลู่ฟางไปอยู่ข้างเฉินเฉียง เธอมองไปที่เขาแล้วได้ถามออกมา “พี่ใหญ่เฉินเฉียง ทำไมพี่ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ล่ะ”

เมื่อได้เห็นหน้าเว่ยฉิงเชินในตอนนี้แล้ว น้ำเสียงของเฉินเฉียงก็ได้อ่อนลง “ฉิงเชิน ในเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ มีใครบางคนต้องการทำร้ายข้าอยู่น่ะ ข้าไม่มีทางเลือก จึงทำได้เพียงปลอมแปลงตนเอง ไม่อย่างนั้นล่ะก็เมื่อข้าออกไปแล้ว ผู้อาวุโสฮั่นจุยต้องเด็ดหัวข้าทิ้งอย่างแน่นอน”

“ข้าเข้าใจ” ฉิงเชินในตอนนี้จมูกเปียกชื้นขึ้นมาในทันที “พี่ใหญ่เฉินเฉียง ท่านต้องลำบากเพราะข้าแล้ว”

เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงยอมรับตัวตนแล้ว หลู่ฟางก็ได้เดินไปหาในทันที “ศิษย์น้องเล็ก เจ้านี่ก็เหลือเกินเหลือการจริงๆ ทำแม้แต่การปลอมตัวต่อหน้าข้า ทำไมไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้เนี่ย ข้าจะได้ไม่เล่นงานเจ้าหนักมือนัก แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง หายแล้วรึ”

เฉินเฉียงได้ยิ้มแล้วพูดออกมา “พี่ใหญ่อย่าได้กังวล ข้านั้นได้รับประสบการณ์นี้มาก่อนหน้านี้แล้วนา ข้าเองได้เตรียมการไว้จนรักษาตัวจนหายดีแล้ว”

หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้นิ่งไปสักพักก่อนที่จะชี้ไปที่จางหยวนและพวกแล้วถามออกมา “พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย”

“พี่ใหญ่เฉินเฉียง นี่ท่านรู้รึเปล่าเนี่ยว่าท่านพึ่งจะผ่านอันตรายมาน่ะ”

“หากไม่ใช่ศิษย์พี่เจิ้งยี่ลงมือได้ทันการ ท่านเองต้องตกตายในมือของไอ้อ้วนตัวดำนั่นเป็นแน่”

“แต่…เอ่อ…คือ….”

ฉิงเชินได้มองไปที่เจิ้งยี่แล้วไม่กล้าจะพูดออกมา

เฉินเฉียงที่เห็นแล้วยังสงสัยก็รีบถามออกไป “ฉิงเชิน เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“ให้ข้าเล่าเอง”

จางหยวนนั้นยังไม่แม้แต่จะวางกระบี่ยาวในมือ เขาเดินไปที่หน้าเฉินเฉียงและมองที่เจิ้งยี่ “กัปตัน เจิ้งยี่นั้นช่วยท่านโดยการใช้พลังเหนือมนุษย์จอมเขมือบที่อยู่เหนือการรับรู้ของคนทั่วไป”

“แล้วท่านรู้อะไรรึเปล่า”

“เจิ้งยี่นั้นน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน ในตอนนั้นร่างกายของเขาบวมเป่งกว่าร่างปกติกี่เท่าก็ไม่รู้”

“และด้วยวิธีนี้ เจิ้งยี่ก็ได้กลืนกินหัวหน้ากลุ่มมนุษย์กลายพันธุ์กองนั้นทั้งเป็น”

“ตอนแรก พวกเราก็นึกว่าเจิ้งยี่เป็นแบบเดียวกับท่านเหมือนกันที่ได้รับการถ่ายทอดพลังเหนือมนุษย์นี้มา”

“แต่เจิ้งยี่นั้นกลับพูดออกมากับปากตัวเองว่าเขานั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ตัวจริง”

หลังจากจางหยวนพูดออกมา เฉินเฉียงพยักหน้ารับแล้วพูดออกไป “อ้อ เรื่องนั้นข้ารู้อยู่แล้วน่ะ แล้วทำไมเจ้าถึงคิดจะฆ่าเขาล่ะ”

“ห้ะ กัปตัน ท่านรู้อยู่แล้วว่าเจิ้งยี่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ แล้วทำไมท่านถึงให้เขาร่วมกองกำลังของเราอีกกัน”

เฉินเฉียงที่ได้ยินก็ได้มองหน้าจางหยวนแล้วถามออกมาอีกครั้ง “จางหยวน ข้าไม่อยากจะถามแล้วนะ ข้าถามพวกเจ้าทุกคนว่าทำไมพวกเจ้านั้นถึงคิดจะฆ่าเจิ้งยี่”

“เรื่องนั้นไม่เห็นต้องถาม ก็เขาเป็นมนุษย์กลายพันธุ์”

จางหยวนได้พูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ เขามั่นใจว่าคำตอบนี้เพียงพอจะลบล้างเหตุผลของเฉินเฉียงได้

“เพียงแค่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ เจ้าถึงขั้นจะฆ่าแกงพี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมานานนับปีเลยเนี่ยนะ”

เฉินเฉียงยืนขึ้นแล้วกวาดตามองไปที่ทุกคนในทันที

“ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเจ้าเข้าใจผิดเรื่องที่ข้าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ พวกเจ้าเองก็ถูกเจิ้งยี่ผู้นี้ช่วยเหลือพวกเจ้าไว้ยามที่ต้องพบเจอวิกฤตต่างๆนานาไม่ใช่รึไง”

จางหยวนได้นิ่งคิดตามแล้วก็จดจำได้ดีว่าตั้งแต่เจิ้งยี่เข้ามาในเขตแดนจักรพรรดิแล้วยังไม่เห็นว่าเจิ้งยี่จะได้เข่นฆ่านักรบเผ่าพันธุ์มนุษย์เลยสักคน

“แล้วก็นะ หากว่าไม่ใช่เจิ้งยี่ยอมเผยตัวเพื่อช่วยเหลือข้า ข้าเองก็สมควรจะตกตายในน้ำมือของไอ้อ้วนตัวดำนั่นแล้วไม่ใช่รึไง”

เฉินเฉียงได้ถามคำถามนี้ออกมาทำให้หลิวไฮ่และคนอื่นก้มหน้าก้มตาในทันที

“มันก็จริงนะรองกัปตัน หากไม่ใช่เจิ้งยี่ พวกเราเองก็ต้องสูญเสียไม่น้อยยามที่ต้องสู้กับสัตว์ประหลาดพวกนั้น”

“อย่างตอนที่เม่ยหลัวหลันยังเป็นนายพลวิญญาณขั้นต้นอยู่ หากไม่ใช่เจิ้งยี่คอยช่วยเหลือ หลัวหลันก็คงตกตายในน้ำมือของมนุษย์กลายพันธุ์ตนนั้นนานแล้ว”

“รองกัปตัน เจิ้งยี่นั้นไม่ได้ทำอันตรายต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์เลยนะ พวกเราจะไม่มีข้อยกเว้นสักหน่อยเหรอ”

เมื่อได้ยินคำอ้อนวอนจากแม่บ้านประจำกองแล้ว จางหยวนก็ได้ตะคอกออกมา “พวกเจ้าเป็นอะไรกันไปหมด”

“เจ้าลืมแล้วรึไงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยน่ะ”

“ไม่ว่ายังไงซะเจิ้งยี่ก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์เลยนะเว้ย”

“เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวเจิ้งยี่ก็สมควรจะตายเป็นพันครั้งแล้ว”

“จางหยวน ไอ้เวรตะไล”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เฉินเฉียงได้โกรธจัดก่อนที่จะใช้แขนคว้าคอจางหยวนเอาไว้จนเสียหลัก แล้วตวาดออกไป “จางหยวน ข้ารู้ว่าพ่อของเจ้า ไม่สิญาติพี่น้องของทุกคนในกองกำลังตกตายในมือมนุษย์กลายพันธุ์ อย่าว่าแต่พวกเจ้า พ่อของข้า เฉินเทียนเว่ยเองก็ไม่ยกเว้น”

“ข้า เฉินเฉียงผู้นี้ย่อมไม่มีทางลืมเรื่องอัปยศในครั้งนี้”

“แล้วเจ้ารู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเจิ้งยี่รึยังถึงได้ตัดสินใจน่ะ ห้ะ”

“พวกเจ้านั้นแค่รับรู้ว่าเจิ้งยี่เป็นเพียงคนที่เก่งที่สุดในรุ่นนี้ของสำนักมังกรอาชูร่าเพียงเท่านั้น”

“แต่พวกเจ้าไม่ได้รับรู้ว่าพ่อแม่ของเจิ้งยี่เองก็ตกตายโดยมนุษย์กลายพันธุ์เหมือนกัน”