“โยมหลงเป็นผู้มีพระคุณของวัดฝ่าติ้ง” โม่เนี่ยนพูดพลางมองไปที่หลิวหลีที่กำลังฟื้นฟูร่างกาย
“ใช่ ก่อนหน้านั้นศิษย์ก็ติดหนี้บุญคุณหลิวหลี ครั้งนี้ก็ด้วยเช่นกัน”หยวนเจินนึกถึงความช่วยเหลือจากหลิวหลีในตอนการจัดอันดับผู้ถูกเลือก ตอนนี้หลิวหลีก็มีบุญคุณช่วยอาจารย์ลุงของตนเองอีกครั้ง
“บุญคุณที่มีต่ออาจารย์อาและเจ้า ถือเป็นหนี้ที่วัดฝ่าติ้งที่ติดค้างนาง ศิษย์พี่เคยได้ยินคำทำนายของหอพยากรณ์ ดาวมังกรกับดาวหงส์ปรากฏขึ้น ดาวหมาป่าสวรรค์ถูกทำลาย ฟ้าดินกลับมาสงบสุข ตอนนี้ดูท่าแล้วโยมหลงก็คือดาวมังกร คู่ครองของนางหนานกงเวิ่นเทียนคือดาวหงส์ ทั้งสองพัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว อีกทั้งไร้ซึ่งอุปสรรคใด หากว่าดาวหมาป่าสวรรค์จะเปิดศึกใหญ่ โลกพุทธะจะหนุนหลังโยมหลงไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเราจะรอรับคำสั่งจากนาง” โม่เนี่ยนกล่าว
“หยวนเจิน อาจารย์ของเจ้าพูดถูกแล้ว” โม่หมิงลืมตาขึ้น
“ศิษย์พี่ ท่านฟื้นแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง?” คนทั้งสี่คนมองโม่หมิงด้วยความเป็นห่วง
“อมิตาพุทธ เพราะได้ความช่วยเหลือจากโยมหลง ข้าไม่เคยรู้สึกสบายเท่านี้มาก่อน ศิษย์น้องโม่เนี่ยนพูดไม่ผิด น่าจะไม่เกิน 100 ปี พวกเจ้าต้องตั้งใจบำเพ็ญเพียรให้ดี คัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณของโยมหลงน่าจะขาดเพลิงอัคคีอีกแค่สองชนิด” โม่หมิงคาดเดาขึ้น
“นั่นหมายความว่าหลิวหลีอยู่ในช่วงชำระล้างแล้วหรือ” หยวนเจินตกใจเล็กน้อย
“น่าจะบรรลุขั้นพลังมาหลายสิบปีแล้ว และพลังบำเพ็ญเพียรค่อนข้างเสถียรทีเดียว” โม่หมิงคาดเดา
“นั่นหมายความว่าพลังบำเพ็ญเพียรของหลิวหลีอยู่ในช่วงชำระล้างตั้งแต่การแข่งขันการจัดอันดับผู้ถูกเลือกแล้วหรือ” หยวนเจินรู้สึกว่าจิตใจที่เพิ่งจะสงบลงของตัวเองเริ่มสั่นระรัวอีกแล้ว ปีศาจตนนี้เกิดมาเพื่อสร้างความกดดันกระมัง
“เพราะฉะนั้นศิษย์หลานหยวนเจินเจ้าจะต้องพยายามแล้วนะ ไม่สิ จะต้องพยายามให้มากกว่านี้ต่างหาก” โม่หมิงจงใจพูดกระทบศิษย์หลานที่ไม่เคยมีความรู้สึกกดดันเช่นนี้มาก่อน
“อาจารย์ลุง ข้าพยายามมากแล้ว” หยวนเจินยิ้มเศร้า ปีศาจลงมาเกิด มีตัวเปรียบเทียบที่สูงเกินไป ช่างกดดันจริงๆ
“ศิษย์พี่ ข้าจะพยุงท่านออกไป ให้โยมหลงฟื้นฟูร่างกายอยู่ที่นี่ไปก่อน” โม่โยวกล่าว
“ก็ดีเหมือนกัน เรื่องที่อาการบาดเจ็บของข้าหายดี อย่าเพิ่งบอกให้ใครรู้ล่ะ” โม่หมิงกล่าว
“ศิษย์พี่ ทำไมหรือ เรื่องนี้เป็นเรื่องน่ายินดี ทำไมไม่สามารถพูดได้ล่ะ” โม่โยวรู้สึกสับสน
“อย่าเพิ่งพูดออกไปชั่วคราว เพื่อที่โลกมารจะได้ระวังโลกพุทธะให้น้อยลง นอกจากพวกเจ้าแล้ว ห้ามบอกคนอื่นๆในวัดฝ่าติ้งเด็ดขาด” โม่หมิงกำชับ
“น้อมรับคำสั่ง” ทั้งสี่คนกล่าวด้วยความเคารพ
หลิวหลีไม่รู้ว่าตัวเองบำเพ็ญเพียรไปนานเท่าไหร่ เมื่อรู้สึกว่าตัวเองได้รับพลังเต็มอิ่มแล้วจึงลืมตาขึ้น พลังบำเพ็ญเพียรพัฒนาขึ้นเล็กน้อย หากไม่ถึงขีดสุดก็คงจะไม่มีความก้าวหน้า
“นังผู้หญิงคนนี้ ดื้อจริงๆหากใช้ข้าก็ไม่ต้องลำบากเช่นนี้แล้ว ข้าจะเผาสิ่งแปลกปลอมพวกนั้นไม่ให้เหลือแม้แต่ผุยผง” เพลิงลมสลาตันเริ่มพูดกับหลิวหลีหยุด
“พอเถอะ เจ้าเป็นเพลิงอัคคีธาตุลม นอกจากจะรวดเร็ว พลังระดับสูง เรื่องกำจัดพลังมารเพลิงอัสนีย่อมดีกว่า เจ้าก็พักผ่อนไปเถอะ” หลิวหลีพูดตอกกลับอย่างไม่เกรงใจ
“เพลิงไม้เป็นสายลม ข้าจะทำไม่ได้ได้อย่างไร” เพลิงลมสลาตันโมโหจนขนพอง บอกว่าเขาทำไม่ได้ได้อย่างไร นี่เป็นการดูถูกเขาชัด ๆ
“ก็ได้ ข้าพูดผิดไป เรื่องเล็กแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องให้นายท่านเพลิงลมสลาตันออกโรงหรอก นายท่านกลับไปสอนน้องๆ ให้พูดได้เร็วๆ แล้วมาพูดกับท่านจะดีกว่า” หลิวหลีกลับคำทันที หมอนี่ออกมาได้อย่างไร
“ค่อยยังชั่วหน่อย” เพลิงลมสลาตันพอใจแล้ว ก็รีบกลับเข้าร่างหลิวหลี
ตอนนั้นนางคิดไม่ตกหรืออย่างไรกัน ถึงได้พิชิตหมอนี่เอามาอยู่ด้วยกัน
หลังจากที่หลิวหลีออกฌานมา ก็พบว่า
“หยวนเจิน ท่านมาเฝ้าประตูให้ข้าอีกแล้ว กลัวว่าข้าจะทำลายข้าวของของไต้ซือโม่หมิงใช่หรือไม่?”
“ยินดีกับหลิวหลีที่ออกฌาน อาจารย์ลุงกับอาจารย์อารอเจ้าอยู่ที่ด้านหน้า” หยวนเจินแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“ไต้ซือโม่เนี่ยน ไต้ซือโม่ผิง ไต้ซือโม่โยว ไต้ซือโม่หมิง ไม่ทราบว่าไต้ซือโม่หมิงอาการเป็นอย่างไรบ้าง” หลิวหลีถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง นางก็ทุ่มเทไปมาก ขออย่าให้มีอาการอะไรตามมาเลย
“ขอบคุณโยมหลงที่เป็นห่วง โม่หมิงปลอดภัยดี พลังบำเพ็ญเพียรฟื้นฟูไปได้ 5 ส่วน คิดว่าหากใช้เวลาอีกสักเล็กน้อย ก็จะสามารถฟื้นฟูกลับไปได้ตามเดิม” โม่หมิงพนมมือแล้วพูดขึ้น
“ไต้ซือ ยินดีด้วย” หลิวหลียินดีกับนักบวชผู้มีคุณธรรมสูงส่งท่านนี้ด้วยความจริงใจ
“อาตมาจะต้องขอบคุณโยมหลงด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะโยม อาตมาอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีจึงจะหายดี หยวนเจินบอกว่าโยมมีบุญสัมพันธ์กับพุทธะ มีของสิ่งหนึ่งที่อยากจะมอบให้โยม ของสิ่งนั้นคือ…”
“เมล็ดต้นโพธิ์ พระเจ้า เป็นเมล็ดต้นโพธิ์จริง ๆ”
“นึกไม่ถึงเลยว่าโยมหลงจะรู้จักของสิ่งนี้ ใช่แล้ว ของสิ่งนี้ก็คือเมล็ดต้นโพธิ์ เพียงแต่ว่า เมล็ดต้นโพธิ์นี้ไม่ได้มีความสมบูรณ์มากนัก มอบให้กับโยมหลงไว้ใช้ป้องกันสิ่งชั่วร้าย น่าจะพอได้อยู่” โม่หมิงนึกไม่ถึงว่าหลงหลิวหลีจะรู้จักของสิ่งนี้
“ถ้าเช่นนั้น ก็ขอขอบคุณไต้ซือมาก” หลิวหลีแสดงออกว่าชอบมาก อีกอย่าง นางยังมีมิติที่ไว้เพาะปลูกพืชศักดิ์สิทธิ์ บำเพ็ญเพียรและปรุงยาด้วย โยนเข้าไป ไม่แน่ว่าอาจจะงอกเป็นต้นไม้ หลิวหลีใช้สองมือรับมาจากนั้นก็เก็บเข้าไปไว้ในมิติ ให้โม่หรานลองดูว่าปลูกได้หรือไม่
“โยมหลง อยู่ที่โลกพุทธะนานหน่อยได้หรือไม่ ถึงแม้หลักธรรมของพุทธกับเต๋าจะต่างกัน แต่ก็แลกเปลี่ยนกันได้” โม่หมิงเชื้อเชิญหลิวหลีมาสนทนาธรรมด้วยกัน
“เรื่องนี้ ข้าว่าไม่จะดีกว่า ในเมื่อไต้ซือโม่หมิงปลอดภัยแล้ว ข้าก็ควรจะไปได้แล้ว” น่าสงสารตัวเองจริงๆ นางไม่ได้ดมกลิ่นเนื้อมาตั้งหลายเดือน รู้สึกอึดอัดใจ ขืนอยู่ต่อต้องเป็นบ้าแน่ เลยรีบปฏิเสธคาดว่าชิงหลวนก็คงจะใกล้เสียสติเช่นกัน
“โยมหลงรู้สึกว่าโลกพุทธะสงบสุขเกินไป ไม่มีเรื่องน่าตื่นเต้นใช่หรือไม่ ก็จริง คนหนุ่มสาวก็มักจะชอบความตื่นเต้น ไม่ชอบมานั่งอยู่กับคนแก่หรอก”
นี่คือนักบวชผู้มีคุณธรรมสูงส่งจริงหรือ ทำไมอารมณ์เปลี่ยนเร็วขนาดนี้ เพียงครู่เดียวก็กลายเป็นตาแก่ไปแล้ว เขาควรแทนตัวเองว่าอาตมาไม่ใช่หรือ ถึงจะไม่ถือแต่อย่างน้อยแทนตัวเองว่าผู้เฒ่าก็ยังดี
“เรื่องนั้น… ไต้ซือทุกท่าน ข้ายังมีนัดกับผู้อื่น แล้วยังต้องไปที่อื่น คงจะไม่อยู่ต่อแล้ว” ล้อเล่นหรืออย่างไรนะ สนทนาธรรมกับนักบวชอายุเช่นนี้ถ้าง่วงหลับแล้วจะทำอย่างไร คงจะขายหน้าอาจารย์เสวียนหั่วของนางแย่ คาดว่าแม้แต่บ้านสกุลหลงก็คงจะเสียหน้าไปด้วย
“หากเป็นเช่นนี้ อาตมาก็จะไม่รั้งโยมหลงไว้ ในภายภาคหน้าหากโยมหลงมีเรื่องอันใด โลกพุทธะพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งอย่างแน่นอน” โม่หมิงพนมมือแล้วพูดขึ้น เขาเป็นนักบวช จะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าหลิวหลีไม่เป็นตัวของตัวเอง
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก ขอตัวก่อน จริงสิ ไต้ซือหยวนเจิน ชิงหลวนอยู่ที่ใด” นางจะไปเที่ยวที่โลกอสูรจำเป็นต้องให้ชิงหลวนนำทาง คนนำทางของนางจะหายไปไหนไม่ได้
“โยมชิงหลวนรอเจ้าอยู่ที่หน้าประตูแล้ว ไปเถอะ”
“ทุกท่าน ขอตัวก่อน ไว้มีโอกาสค่อยพบกันใหม่” รีบไปดีกว่าหากถูกจับกลับมาสนทนาธรรมจะทำอย่างไร
“หลิวหลี เจ้ามาเร็วเกินไปไหม” ชิงหลวนสัมผัสได้ว่าเหมือนมีลมลอยผ่านมาจากนั้นถูกหลิวหลีจับมือ แล้วรีบวิ่งออกมา
“ชิงหลวน ถ้าไม่หนีแล้ว เจ้าจะอยู่สนทนาธรรมกับพวกนักบวชหรือ อีกอย่าง ข้าไม่ได้กินเนื้อมาตั้งหลายเดือนแล้ว ออกจากโลกพุทธะแล้วหาที่ทำเนื้อกินกันสักมื้อแล้วค่อยไปเถอะ” หลิวหลีเดินไปพูดไป
“ฮ่าฮ่า โยมหลงช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริง ๆ ถึงขนาดคิดว่าในโลกพุทธะจะกินเนื้อไม่ได้ นางเคารพต่อโลกพุทธะมากจริงๆ” โม่หมิงจะไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างหลิวหลีกับชิงหลวนได้อย่างไร
“โยมหลงช่างเป็นคนที่น่ารักจริง ๆ โลกพุทธะห้ามฆ่าสิ่งมีชีวิต ทำผิดศีลแค่เวลาอยู่ในวัดหรือผู้ที่เป็นนักบวชเท่านั้น” โม่โยวพูดพลางหัวเราะ โยมหลงช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริง ๆ
“ใช่แล้ว เป็นผู้มีจิตใจเมตตา มีหลักการ และคบหาได้” โม่ผิงกล่าว
“อมิตาพุทธ ศิษย์หลานจะมองพลาดได้อย่างไร” หยวนเจินพูดลิงโลด
“ศิษย์ข้า ยังไม่รีบไปบำเพ็ญฝึกฝนอีกหรือ พลังบำเพ็ญเพียรของโยมหลงอยู่ในช่วงบรรลุขั้นแล้ว เจ้ายังอยู่ในช่วงรวมกายา ในภายภาคหน้าหากเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้น เจ้าจะเอาอะไรไปช่วยโยมหลง” โม่เนี่ยนกล่าว
“ศิษย์จะไปบำเพ็ญเพียรเดี๋ยวนี้” เอาเถอะ เดี๋ยวเขาต้องไปเข้าฌานศึกษาในพระธรรมคำสอน มีปีศาจตนนั้นอยู่ด้วย จะต้องบังคับตัวเองให้พยายาม พยายาม แล้วก็พยายาม
ณ ขอบระหว่างพื้นที่ทับซ้อนระหว่างโลกพุทธะกับโลกอสูร หลิวหลีกับชิงหลวนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
“หลิวหลี ฝีมือการทำอาหารของเจ้ายอดเยี่ยมจริง ๆ” ชิงหลวนรู้จักนางมาตั้งหลายปี เพิ่งจะรู้ว่านอกจากหลิวหลีจะปรุงยาเก่งแล้ว ยังเป็นแม่ครัวศักดิ์สิทธิ์ที่มีฝีมือไม่เป็นรองใคร ของที่นางกินก่อนนี้เรียกอะไร ทำไมตอนนั้นที่นางนับถือหลิวหลี ถึงไม่รวบรวมความกล้าไปหาหลิวหลีตั้งแต่แรกนะ
“ชมเกินไปแล้ว จริงสิ ชิงหลวน โลกอสูรมีอะไรสนุกๆหรือไม่” หลิวหลีค่อนข้างสนใจเรื่องนี้ทีเดียว
“มีสิ โลกอสูรมีพืชศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากทีเดียว แม้แต่พืชศักดิ์สิทธิ์ของยาระดับ 9 ก็มี หลิวหลีเจ้าจะลองปรุงยาระดับ 9 ดูไหม โลกอสูรมีพืชศักดิ์สิทธิ์ระดับ 9 เต็มไปหมด เจ้าสามารถลองได้อย่างเต็มที่เลยล่ะ” ชิงหลวนพูดอย่างเปิดเผย
“พอเถอะ หากข้าไปปรุงยาทุกวัน โลกอสูรของเจ้าคงได้ขับข้าออกมาแน่ โลกอสูรของเจ้ากลัวฟ้าผ่าที่สุดไม่ใช่หรือ วิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์มักจะมาบ่อยๆเวลาข้าปรุงยา เจ้าว่าโลกอสูรจะชอบข้าหรือ” หลิวหลีกลอกตา ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พืชศักดิ์สิทธิ์เแม้แต่น้อย
“ไม่หรอก ต้องต้อนรับเจ้ามากแน่ๆ ตำหนักสามในโลกอสูรของข้าจะยินดีต้อนรับเจ้าอย่างแน่นอน ใช่แล้ว ข้ายังไม่ได้บอกเจ้า ข้าเป็นเจ้าตำหนักองค์ที่สามของตำหนักขนวิหคในโลกอสูร พอไปถึงโลกอสูร ชิงหลวนจะคอยดูแลเจ้าเอง” ชิงหลวนตีอกรับประกัน
“ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ต้องขอบคุณชิงหลวนมาก” หลิวหลีก็พูดไปตามน้ำ
“หลิวหลี พอถึงตอนนั้นข้าจะพาเจ้าไปที่ตำหนักขนวิหค เจ้าตำหนักจะต้องชอบเจ้ามากแน่”
“ได้ แต่ชิงหลวน พวกเราจะต้องไปอยู่ที่นั่นสักพัก เจ้าจะรังเกียจไหมหากข้าจะพาคนในครอบครัวไปด้วย” หลิวหลีหยุดชะงักเหมือนสัมผัสอะไรได้บางอย่าง
“คนในครอบครัวหรือ? เสี่ยวเสี่ยวล่ะสิใช่ไหม?” ชิงหลวนสับสนเล็กน้อย
“ไม่ใช่ คือเสี่ยวเทียน”
“เสี่ยวเทียน?” ใครกัน
“คู่หมั้นของข้า หนานกงเวิ่นเทียน” พูดให้ชัดเจนสักหน่อยแล้วกัน
“ยินดีต้อนรับ” หนานกงเวิ่นเทียน ผู้ถูกเลือกอันดับสามก็ได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งเช่นกัน
……………………..