“เสี่ยวเทียน เจ้าออกฌานแล้วหรือนี่ พลังบำเพ็ญเพียรเท่ากับข้าแล้วนี่นา” หลิวหลีประหลาดใจอย่างยิ่ง เพิ่ง 60 กว่าปีเท่านั้น หนานกงเวิ่นเทียนก็ตามตัวเองทันแล้ว ช่างมีคุณสมบัติร่างกายที่โดดเด่นนัก
“ดีที่ได้มิติของเจ้ากับของรางวัลจากการแข่งขันการจัดอันดับผู้ถูกเลือก” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“ของรางวัลจากการจัดอันดับผู้ถูกเลือก?” หลิวหลีเพิ่งจะนึกได้ นางเองก็ยังไม่ได้ดูของรางวัลที่นางได้มาในตอนนั้นเลย
“ใช่แล้ว จากการจัดอันดับผู้ถูกเลือกข้าได้เกษียรเหมันต์ในตำนานมา ข้าใช้เวลาถึง 300 ปีในมิติถึงหลอมรวมได้สำเร็จ จึงทำให้พลังบำเพ็ญเพียรก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น” หนานกงเวิ่นเทียนถอนหายใจ ตอนนี้การใช้สอยมิติเหมือนจะเป็นไปเพื่อการบำเพ็ญเพียรของเขาโดยเฉพาะไปเสียแล้ว
หลิวหลีหาข้ออ้างไปหาหนานกงเวิ่นเทียน โดยที่ชิงหลวนไม่ได้ตามมาด้วย ถุงเก็บของใบหนึ่งปรากฏขึ้นเมื่อนางยื่นมือออกมา
“นี่คือของที่ข้าได้มาในตอนนั้น ยังไม่ได้ดูเลยว่าข้างในคืออะไร” หลิวหลีเอ่ย เพื่อบอกว่าตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าภายในนั้นมีอะไรกันแน่
“หลิวหลียังไม่ได้ดูหรือ?” นังหนูนี่มันจริงๆเลย ผ่านไปแล้วตั้ง 60 ปีก็ไม่เปิดดู ยอดคน
“ยังเลย ตอนนั้นรู้สึกว่าหม้อสามขาออกจะใจแคบไปหน่อย เลยยังไม่ได้เปิดดู” หลิวหลียังจำเรื่องราวในตอนนั้นได้ฝังใจ
“ลองเปิดดูสิ” นังหนูคนนี้ ยังจะรังเกียจหม้อสามขาเทียนสิงที่ใจแคบ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ต่างกัน คนส่วนใหญ่จะเปิดดู ณ ตอนนั้น แต่คนที่ 60 ปีก็แล้วยังไม่ยอมเปิดดูแบบหลิวหลี น่าจะเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน
หลิวหลีใช้ประสาทเซียนตรวจสอบภายในถุงเก็บของ ก็พบว่ามีหินก้อนหนึ่ง แต่ดูไม่ออกว่าทำมาจากอะไร แล้วก็ยังมีแผนที่ อะไรกันเนี่ย ทำไมของคนอื่นถึงได้ใช้ของรางวัลเลย แต่นางยังต้องตามหาสมบัติ รางวัลของลำดับแรก ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบน้ีแต่แรก ยอมให้หยวนเจินได้ไปก็ดี
หลิวหลีนำของออกมา แล้วก็เปิดแผนที่ดู นี่คือ
“แผนที่ของเพลิงอัคคี แถมเป็นเพลิงดวงใจพสุธาที่อยู่ในอันดับสามของการจัดอันดับเพลิงอัคคี” หลิวหลีประหลาดใจน้อยๆ แผนที่นี้ก็ใช้ได้เลย เป็นของที่นางต้องการพอดี
“เพลิงดวงใจพสุธาหรือ ของที่ได้มาเป็นของที่จำเป็นต้องใช้จริงๆด้วย” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า ยังไม่รู้จะไปเริ่มหาเพลิงอัคคีจากไหนพอดี นี่มันโชคร่วงจากฟ้า ร่วงลงกลางศีรษะ จนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นจริง
“ไหนขอดูหน่อยเถอะว่าหินก้อนนี้มันอะไร” หลิวหลีมองดูหินที่อยู่ในมือเปล่งประกายอยู่ใต้แสงอาทิตย์ งดงามจริง ๆ
“นี่คือศิลาเกสรที่ใช้พิชิตเพลิงอัคคีได้ดีที่สุด ขอเพียงแค่หาเพลิงอัคคีเจอ หินก้อนนีจะช่วยข้าพิชิตเพลิงอัคคีได้ อีกทั้งยังใช้ได้ถึงสองครั้ง” หลิวหลีประหลาดใจกับจำนวนนี้ ทำไมต้องสองครั้ง หรือเพราะรู้ว่าตัวเองจะต้องพิชิตเพลิงอัคคีอีกสองชนิดหรือเนี่ย หม้อสามขาเทียนสิงและการจัดอันดับผู้ถูกเลือกทำไมถึงน่าพิศวง ล่วงรู้ถึงอนาคตได้ด้วย
“รู้สึกเหมือว่ารางวัลจากการจัดอันดับผู้ถูกเลือกเป็นของที่เราต้องการทั้งนั้นเลย” หนานกงเวิ่นเทียนก็รู้สึกแบบเดียวกัน
“นั่นสิ รู้สึกเหมือนการจัดอันดับผู้ถูกเลือกกับหม้อสามขาเทียนสิงเป็นเทพเลยทีเดียว” หลิวหลีกล่าว
“หลิวหลีเก็บของเถอะ รู้ตำแหน่งเพลิงอัคคีหรือไม่”
“พวกเราโชคดีมากทีเดียว ที่เพลิงอัคคีอยู่ในโลกอสูรพอดี” ไม่รู้ว่าเพราะโชคดีจริงๆ หรือเพราะมีใครชักใยเบื้องหลัง ถึงได้รู้สึกว่าไม่ได้ง่ายดาย ราวมีคนหวังว่าตนเองจะได้ฝึกคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณให้สำเร็จ อีกทั้งระดับขั้นของเพลิงอัคคียิ่งสูงขึ้นไปทุกที
“พวกเราไปโลกอสูรกันก่อนเถอะ แล้วค่อยดูเหตุการณ์เฉพาะหน้า” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว ราวกับมีคนต้องการให้นังหนูฝึกคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณให้สำเร็จ พวกเขาเหมือนจะโดนชักใยอยู่ แต่ก็จำต้องเดินตามเส้นทางที่คนผู้นั้นขีดไว้
“ก็ดีเหมือนกัน ชิงหลวนอยู่ข้างหน้า พวกเราควรจะไปกันได้แล้ว” หลิวหลีกล่าว
“สหายชิงหลวน ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องรอนาน” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“มิได้ สหายหนานกงได้อะไรกลับมาไม่น้อยเลย ข้ารู้สึกว่าเจ้าลึกลับไม่ต่างอะไรกับหลิวหลีเลย” ในฐานะที่ชิงหลวนเป็นอสูรเทพ จึงมีสัญชาตญาณที่ค่อนข้างแม่นยำทีเดียว
“ก้าวหน้าขึ้นเล็กน้อย” หนานกงเวิ่นเทียนพูดอย่างถ่อมตัว
“ในเมื่อคนมากันครบแล้ว เราก็ออกเดินทางกันเถอะ” หลิวหลีกล่าว ตอนนี้นางเริ่มสนอกสนใจในโลกอสูรมากกว่าเดิม
ณ ตำหนักขนวิหคในโลกอสูร เจ้าตำหนักคนโตของตำหนักขนวิหค ชิงเฟิ่ง กำลังดูข่าวที่น้องสาวส่งมาให้ด้วยท่าทีครุ่นคิด พาสุดยอดผู้ถูกเลือกกลับมาถึง 2 คน เมื่อคิดถึงคนที่น้องสาวตัวเองชื่นชมคิดว่าคงจะต้องเป็นหลงหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนแน่แล้ว เป็นสุดยอดผู้ถูกเลือกจริงๆ ดูจากคำพูดคำจาแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างน้องสาวกับพวกเขาสองคนน่าจะดีทีเดียว
“ท่านเจ้าตำหนัก มีคนจากตำหนักคุนเผิงมาขอเข้าพบ” เด็กรับใช้เข้ามารายงาน
“เป็นผู้ใดกัน ไม่ว่าใครก็ถือว่าเป็นแขกคนสำคัญทั้งนั้น” ชิงเฟิ่งกล่าว ในบรรดาสามตำหนัก ตำหนักขนวิหคของนางอ่อนแอที่สุด สองตำหนักอื่นมีคนมาขอเข้าพบ นางจะไม่แปลกใจได้อย่างไร
“รายงานท่านเจ้าตำหนัก เฟยเผิงองค์ชายน้อยจากตำหนักคุนเผิง”
“เฟยเผิงเป็นแขกคนสำคัญอย่างยิ่ง ให้เขาเข้ามา” ชิงเฟิ่งยิ่งแปลกใจมากกว่าเดิม ทำไมคนดังของโลกอสูรถึงอยากจะมาตำหนักขนวิหคซึ่งไม่เป็นที่นิยม ว่ากันว่าเมื่อผู้ถูกเลือกได้รับรางวัลแล้วก็ก็เข้าฌานไป และได้ยินมาว่าขนทองของเขาที่นำออกมาทำเป็นอาวุธ ถูกคนรับด้วยมือเปล่าเอาไปเป็นวัตถุดิบในการทำอาวุธ
“คารวะเจ้าตำหนักชิงเฟิ่งแห่งตำหนักขนวิหค” เฟยเผิงทำความเคารพด้วยความนอบน้อม
“ลุกขึ้นเถอะ พูดเถอะ คนดังแห่งโลกอสูรอย่างท่านมาหาข้าที่ตำหนักขนวิหคมีเรื่องอันใด” ชิงเฟิ่งพูดอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้าตำหนักชิงเฟิ่งใจกว้าง เฟยเผิงมีธุระจริงๆ ไม่ทราบว่าชิงหลวนกลับมาแล้วหรือยัง” จริงๆแล้วเฟยเผิงค่อนข้างชอบเจ้าของตำหนักขนวิหคคนนี้ซึ่งเป็นคนตรงไปตรงมา
“ชิงหลวนรึ นังหนูคนนั้นใกล้กลับมาแล้วล่ะ” ผ่านไปตั้ง 60 ปีแล้ว คิดอย่างไรถึงได้มาถามหาชิงหลวน
“ใกล้กลับมาแล้วหรือ จริงด้วย” เฟยเผิงนึกถึงความนับถือที่ชิงหลวนมีต่อหลงหลิวหลี คิดว่าคงจะไปเป็นแขกบ้านสกุลหลงมา แต่พอไปทีก็กินเวลาถึง 60 ปี นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ
“เจ้ามาหาชิงหลวนหรือ?” ชิงเฟิ่งเข้าใจในทันที คงจะมาหาชิงหลวนเพราะมีธุระกับนาง
“ใช่แล้วล่ะ คิดว่าชิงหลวนน่าจะไปเป็นแขกที่บ้านสกุลหลงมา คงอยากจะอาศัยความสัมพันธ์ของชิงหลวนทำความรู้จักกับหลงหลิวหลี อยากจะลองฝีมือกับหลงหลิวหลีอีกสักครั้ง” เฟยเผิงพูดอ้อมๆ คือเตรียมจะพูดว่าอยากจะรู้ว่าทนเป็น กระสอบทรายได้นานเท่าไร ดูว่าตนเองก้าวหน้าไปแค่ไหน จะสู้ไปได้กี่กระบวนท่า
“ชิงหลวนของข้ามีหน้ามีตาขนาดนี้เลยหรือ?” ชิงเฟิ่งไม่เชื่อว่าชิงหลวนไปเป็นแขกมา ดูจากท่าทางของเฟยเผิงแล้ว เป็นไปได้อย่างมากว่าชิงหลวนน่าจะไปเข้าฌาณ แต่นางก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าชิงหลวนกับเป็นอะไรกันหลงหลิวหลี
“แน่นอน ตอนที่แยกกัน ชิงหลวนอยู่กับน้องสาวของหลงหลิวหลี หลงเสียวเสี่ยว แล้วออกเดินทางไปพร้อมหลงหลิวหลี ตอนนั้นข้าเห็นว่าชิงหลวนมีความสุขมาก คิดว่าทั้งสองคนน่าจะเป็นเพื่อนกันแล้ว” เฟยเผิงเล่าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น
“เป็นเช่นนี้นี่เอง เฟยเผิง ชิงหลวนก็ใกล้จะกลับมาแล้ว รอชิงหลวนกลับมาแล้วเจ้าค่อยมาใหม่ดีไหม ได้ยินว่าชิงหลวนพาเพื่อนมาด้วยสองคน แต่ว่าเป็นใครนั้น ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ชิงเฟิ่งกล่าว นางไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้แทนน้องสาวได้
“พาเพื่อนมา คือนักพรตหรือ?” เฟยเผิงถาม มีความเป็นไปได้มากเลยว่าจะเป็นหลงหลิวหลีกับหลงเสียวเสี่ยว
“น่าจะใช่กระมัง” ชิงเฟิ่งก็ไม่แน่ใจเช่นเดียวกัน แต่เดาเอาเองว่าเป็นหลงหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียน
“เป็นเช่นนี้นี่เอง เจ้าตำหนักชิงเฟิ่ง ข้าขอแบกหน้ามาขออาศัยอยู่ที่ตำหนักขนวิหคสักพักจนกว่าน้องชิงหลวนจะกลับมาได้หรือไม่” เฟยเผิงกล่าว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีหลงหลิวหลีแน่ เพราะฉะนั้นเขารอที่ตำหนักขนวิหคไว้น่าจะดีกว่า
“ได้เลย” นี่คือเจ้าตำหนักคุนเผิงที่เย็นชาหรือนี่ ไม่ใช่ว่าโดนคนลักพาตัวไปแล้วนะ
“รบกวนด้วย”
“ไป๋ลู่ พาเจ้าตำหนักเฟยเผิงไปที่เรือนรับรอง ดูแลเขาให้ดีๆ” ชิงเฟิ่งกำชับ
“ฮ่าฮ่า ดูแล้ว เด็กที่ไม่เห็นหัวใครในสายตาคงจะได้บทเรียนกลับมาไม่น้อยเลยในการจัดอันดับผู้ถูกเลือกครั้งนี้ อยากเห็นหลงหลิวหลีจริงๆว่าเป็นคนเช่นไร” ชิงเฟิ่งได้ยินเรื่องราวของหลิวหลีมาไม่น้อย ตอนแรกอย่างมากที่สุดก็รู้แค่เรื่องที่นางเป็นนักปรุงยาระดับ 8 แต่แทบไม่รู้เรื่องอื่นๆเลย จนเฟยเผิงกลับมาจากการจัดอันดับผู้ถูกเลือก พวกเขาถึงเพิ่งได้รู้ว่าหลงหลิวหลีเป็นคนไม่ธรรมดา และยังมีพลังอำนาจอสูรเทพในตำนาน แถมยังมีพลังบำเพ็ญเพียรที่แปลกประหลาด เรื่องหักอาวุธด้วยมือเปล่าอะไรพวกนั้นยังถือเป็นเรื่องเด็กๆ ผู้บำเพ็ญจำนวนไม่น้อยต้องเสียเปรียบให้นาง อย่างเช่นเฟยเผิง เดิมเวลาเจอมักจะไม่เห็นนางอยู่ในสายตา แทบจะใช้จมูกพูดแทนอยู่แล้ว ตอนนี้กลับอ่อนน้อมถ่อมตนจนนางรู้สึกไม่ชิน
“หลงหลิวหลี เจ้าจะมีเสน่ห์แค่ไหนกัน ข้าล่ะอยากเจอเจ้าจริงๆ” ชิงเฟิ่งพูดเสียงต่ำ
ในอีกด้านหนึ่ง ชิงหลวนสัมผัสได้แล้วว่าอะไรที่เรียกว่าเดินสบายๆแต่ก้าวไปแล้วเป็นพันลี้ ยอดฝีมือที่ย่อระยะทางให้นางถึงสองคน ทำให้นางสบายมากจริงๆ แต่นางก็ต้องพยายามทำให้พลังบำเพ็ญเพียรของตนเองเพิ่มขึ้นจะถูก นางพูดด้วยความรู้สึกอิจฉา
“ชิงหลวน โลกอสูรมีพลังการต่อสู้สูงมากจริงๆ มีกลิ่นอายของพลังที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลาแฝงในอากาศ ช่างแตกต่างจากโลกพุทธะโดยสิ้นเชิง” หลิวหลีสูดหายใจเข้าแล้วพูดขึ้น
“แน่นอนอยู่แล้ว การบำเพ็ญเพียรของเหล่าอสูรก็คือการต่อสู้” ชิงหลวนพูดอย่างภาคภูมิใจ
“ทุกเผ่าต่างมีวิธีการฝึกบำเพ็ญเพียรของตัวเอง” หนานกงเวิ่นเทียนก็สัมผัสได้เช่นกัน จึงพูดออกมา
“ชิงหลวน เจ้าไม่ได้กลับบ้านนานขนาดนี้ พี่สาวของเจ้าจะไม่ตีเจ้าแย่หรือ” หากเด็กดื้อที่บ้านนางกล้าทำตัวเช่นนี้ นางจะตีให้ก้นลายแน่
“น่าจะไม่ ทุกคนในโลกอสูรต่างให้การยอมรับว่าพี่สาวข้าเป็นคนที่นิสัยดีที่สุด” ชิงหลวนกล่าว แต่หัวใจกลับเต้นไม่เป็นจังหวะ พี่สาวของนางคงจะไม่ตีนางจริงๆใช่ไหม
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็วางใจแล้ว ข้ายังกลัวว่าพี่สาวของเจ้าจะขับไล่ข้าออกจากโลกอสูร เพราะอย่างไรข้าก็เป็นคนพาตัวเจ้าไปตั้ง 60 ปี” หลิวหลีกระเซ้า
“ไม่หรอก หลิวหลี ข้าจะแอบบอกอะไรให้ พี่สาวข้าชื่นชอบเจ้า พี่สาวข้าชอบเจ้าก่อนข้าเสียอีก”
เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่มากจริง ๆ
…………………………..