ปลายเดือนเมษายน แสงตะวันส่องประกายเจิดจ้า บรรยากาศแห่งฤดูใบไม้ผลิอบอวลไปทั่วเมือง
ณ เรือนตระกูลโจว เหล่าหญิงสาวน้อยใหญ่กำลังเบียดเสียดกันอยู่ภายในห้องของฮูหยินโจวเพื่อวัดตัวตัดเย็บเสื้อผ้าฤดูร้อน
เพราะถูกห้อมล้อมด้วยบรรดาลูกสาว อาการอ่อนเพลียยามฤดูไม้ผลิของฮูหยินโจวจึงค่อยๆ คลายลง นางเอนกายพิงโต๊ะเตี้ยฟังเสียงเหล่าลูกสาวพูดคุยหยอกล้อกัน
“ตอนนี้นายใหญ่คงถึงเจียงโจวแล้วกระมัง” นางพยายามหาเรื่องคุยกับสาวใช้ข้างกาย
สาวใช้พยักหน้า
“หากนับวันดูก็น่าจะถึงแล้วเจ้าค่ะ” นางตอบ “เพียงแต่ขากลับอาจไม่เร็วสักเท่าใด”
จะไปเอาเงินทั้งทีย่อมต้องมีลีลากันบ้าง
“กลัวที่ไหนเล่า ในเมื่อเป็นสินเดิมของลูกสาวตระกูลโจว ต่อให้พวกเขาพูดชักแม่น้ำทั้งห้า อ้างฟ้าอ้างดิน อย่างไรเสียก็รั้งเอาไว้ไม่ได้หรอก” ฮูหยินโจวเอ่ย
“แต่ว่าฮูหยินเจ้าคะ ลูกสาวตระกูลเขาจะแต่งหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับพวกเขานะคะ” สาวใช้เอ่ยเตือน “นายใหญ่คงต้องพูดจนเหนื่อยแน่นอน”
“จะแต่งไม่แต่งขึ้นอยู่กับพวกเขาอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นหากพวกเขาจะจับเจียวเจียวร์แต่งกับผู้ใดก็ไม่รู้ พวกเราก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกัน คิดว่าญาติฝ่ายแม่อย่างพวกเราตายไปแล้วหรืออย่างไร” ฮูหยินโจวฮึดฮัด
อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็คงต้องฟาดฟันกันสักตั้ง จะปล่อยให้ฝ่ายใดเอาเปรียบไม่ได้เด็ดขาด
“หากได้แต่งกับตระกูลฉินก็ดี นำฤกษ์เกิดของเขาไปให้ได้เลย อยากรู้นักว่าพวกเขาจะพูดอย่างไรได้อีก!” ฮูหยินโจวถอนหายใจ พอนึกถึงเรื่องตระกูลฉินก็กลั้นโมโหไว้ไม่อยู่
“ฮูหยินเจ้าคะ” สาวใช้กระวีกระวาดเข้ามาปลอบประโลม พลางยิ้มเอ่ย “ไม่มีตระกูลฉิน ก็ยังมีตระกูลอื่นอยู่นะเจ้าคะ เพียงแค่ฮูหยินพูดออกไป ลำพังแค่วิชาชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนชีพของเจียวเจียวร์ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคนมาขอหรอกเจ้าค่ะ”
“ชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนชีพหรือ” ฮูหยินโจวส่งเสียงเย้ยหยัน “ไม่รู้เหมือนกันว่าวิชาของนางจะคงอยู่ถึงเมื่อใด”
หากลองนับดูก็ผ่านมาสองเดือนแล้ว เฉิงเจียวเหนียงผู้ไม่รับรักษาคนไข้ยังคงไร้การเคลื่อนไหว
“คงอยู่ถึงเมื่อใดนั้นไม่สำคัญหรอกเจ้าค่ะ ในเมื่อเรื่องที่นางรักษานายใหญ่เฉินและบัณฑิตถงให้หายดีนั้นเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว คงไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธ” สาวใช้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ลำพังแค่ความสัมพันธ์ของทั้งสอง ก็เพียงพอให้ใครต่อใครคิดอยากจะให้ดองกันแล้ว
ฮูหยินโจวพยักหน้า
“หลานสาวสติไม่สมประกอบผู้นี้ ข้าเองก็ไม่อยากจะยุ่งเรื่องของนางสักเท่าใด” นางเอ่ยก่อนจะถอนหายใจ “แต่หากข้าไม่สนใจ แล้วผู้ใดเล่าจะสน จะทำเช่นไรได้เล่า ญาติพี่น้องตัดอย่างไรก็ไม่ขาด ช่างเถิด ช่างเถิด คงเป็นหนี้กรรมที่ข้าทำไว้แต่ชาติปางก่อน ข้าใช้คืนนางก็สิ้นเรื่อง”
“ฮูหยินช่างมีเมตตา” สาวใช้ยิ้มพลางประจบประแจง
คงต้องมานึกดูให้ดีว่าในเมืองหลวงนี้จะมีตระกูลใดที่ใกล้ชิดและเหมาะสมกับนาง เหล่าลูกสาวที่วัดตัวตัดเสื้อผ้าเสร็จก็พากันเข้ามาหา
“ท่านแม่ พวกเราจะไปไหว้พระที่วัดผู่ซิวเมื่อใดหรือ” ลูกสาวคนหนึ่งถามขึ้นอย่างตั้งตารอ
ฮูหยินโจวยิ้ม
“ไปไหว้พระหรือไปกินอาหารเจกันแน่” นางถาม
เหล่าลูกสาวต่างหัวเราะ
“ท่านแม่ จะไปไหว้พระหรือไปกินอาหารเจก็ไม่เห็นต่างกันเลยนี่เจ้าคะ” พวกนางตอบเสียงเจื้อยแจ้ว ห้อมล้อมฮูหยินโจวไว้
“ไม่ต้องใจร้อน ท่านพี่ของเจ้าซื้อเต้าหู้หมักกลับมาจากวัดผู่ซิวตั้งสองสามชั่ง วันนี้เราจะกินมาเต้าหู้หมักกัน” ฮูหยินโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เหล่าลูกสาวดีใจกันมาก
“ตอนนี้ในเมืองหลวงมีคนทำเต้าหู้แล้ว เพียงแต่อร่อยไม่เท่าของวัดผู่ซิว”
“วัดผู่ซิวไม่ได้ทำอร่อย แต่เป็นเรือนไท่ผิงต่างหากที่ทำอร่อย”
“เต้าหู้อร่อยเพียงนี้ กลับมีอยู่แค่ที่วัดผู่ซิวและเรือนไท่ผิง ที่หนึ่งก็คนเยอะ เบียดเข้าไปแย่งไม่ได้ อีกที่หนึ่งก็ไกล จะไปทีก็ลำบาก ช่างน่าเสียดายจริงๆ เหตุใดถึงไม่ขายหลายๆ ร้านหน่อยนะ”
“เรือนไท่ผิงบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าจะถวายพระให้วัดผู่ซิวที่เดียวเท่านั้น ย่อมไม่ให้ที่อื่นอยู่แล้ว”
“เรือนไท่ผิงนี่ก็ช่างโง่เสียจริง เหตุใดถึงไม่อยากได้เงินเล่า”
“นี่ พูดถึงเรือนไท่ผิง ข้าได้ยินชายหกบอกว่า เหมือนจะเป็นร้านของคนบ้านั่น…”
ครั้นประโยคนี้ดังขึ้น ภายในห้องเงียบสงัดในทันที
คนที่เอ่ยปากพูดตกใจ เพราะจู่ๆ ก็กลายเป็นเป้าสายตาของทุกคน
“เจ้าว่าอย่างไรนะ เรือนไท่ผิงเป็นของคนบ้านั่นหรือ” เหล่าพี่น้องพากันถาม
เป็นของเฉิงเจียวเหนียงจริงหรือ
ฮูหยินโจวนั่งตัวตรง มองดูลูกสาว
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” นางถาม
ลูกสาวคนนั้นท่าทางกระอักกระอ่วน
“ขะ…ข้าคล้ายๆ ว่าได้ยินชายหกพูดมา ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่” นางตอบ
คนในห้องมองตากัน
จะเป็นไปได้เช่นไร
“แล้วชายหกเล่า” ฮูหยินโจวถาม
“ฮูหยินลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ ท่านชายหกนัดกับท่านชายฉินว่าจะไปวัดผู่ซิวกันนี่เจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยเตือนเสียงแผ่วเบา
แม้ภายในห้องจะไม่ได้จุดธูป ทว่ากลับได้กลิ่นไม้จันทร์อยู่ที่ปลายจมูก
ท่านชายฉินใช้ช้อนตักเต้าหู้หมักเข้าปาก สีหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชม
“ครั้งนี้วัดผู่ซิวชนะวัดเฉี่ยถิงอีกแล้ว” เขาบอก
วัดเฉี่ยถิงเป็นวัดที่มีชื่อเสียงมาหลายชั่วอายุคน และเป็นพุทธสถานที่มีชื่อในสำนักพระพุทธศาสนามาหลายร้อยปี
ส่วนวัดผู่ซิวนั้นเพิ่งมีชื่อเสียงมาได้ไม่กี่สิบปี แม้จะได้เป็นวัดหลวงเช่นกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเทียบชั้นไม่ได้อยู่ดี จนกระทั่งพระอาจารย์หมิงไห่ได้ริเริ่มพิธีชงชาฌาณขึ้น ถึงเอาชนะวัดเฉี่ยถิงได้ในที่สุด
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เมื่อปีก่อนวัดเฉี่ยถิงมีจะมีบุคคลนิรนามมาจรดพู่กันเขียนอักษรใหม่ให้ ทำให้ผู้ที่ชื่นชอบในตัวอักษรพากันมาชื่นชม วัดเฉี่ยถิงเอาชนะได้ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ทว่าในตอนนี้วัดผู่ซิวได้เปิดตัวอาหารเจซึ่งก็คือเต้าหู้รสชาติใหม่ เงินค่าบูชาธูปเทียนและน้ำมันตะเกียงของวัดผู่ซิวพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่งในเวลาเพียงไม่กี่เดือน
ท่านชายโจวหกนั่งอยู่ตรงข้ามท่านชายฉินสิบสาม ตะเกียบและถ้วยที่วางอยู่ตรงหน้าไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
“เรือนไท่ผิงเป็นของนางหรือ” เขาถาม
“พวกเราเคยเจอเถ้าแก่ของเรือนไท่ผิงกันแล้วไม่ใช่หรือ หรือว่าเจ้าจำไม่ได้แล้ว” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เรือนไท่ผิงมีชื่อเสียงมากขึ้นทุกวัน พวกเขาทั้งคู่ย่อมเคยไปเพื่อเที่ยวชมสถานที่ชื่อดังอยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าไปถึงที่นั่นแล้วจะได้เจอกับสวีเม่าซิว เถ้าแก่ของร้านอาหาร โรงน้ำชาและร้านค้าต่างจ้างผู้ดูแลร้านมาดูแล แต่เถ้าแก่ที่เป็นเจ้าของตัวจริงแทบจะไม่ปรากฏตัวเลย หรือแม้กระทั่งเถ้าแก่น้อยเถ้าแก่ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังร้านค้าเหล่านี้ต่างก็ปกปิดตัวตนกันทั้งนั้น
“บางทีพวกเขาอาจจะทำงานแลกข้าวอยู่ที่นั่น” ท่านชายโจวหกเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ
“เจ้าเคยเห็นคนทำงานแลกข้าวเช่นนี้ด้วยหรือ” เขาถาม
ในวันนั้นสวีเม่าซิวและเหล่าพี่น้องเดินผ่านหลังเรือนพอดี หากท่านชายโจวหกไม่ได้ใจลอยแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็คงไม่เห็นพวกเขา
พริบตาแรกที่เห็น เขาจำสวีเม่าซิวไม่ได้เลยสักนิด ชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปี หน้าตาสะอาดสะอ้าน รูปร่างสูงใหญ่ ยืนอยู่กลางเรือน พูดคุยกับคนงานของร้านอีกสองคน
แม้ชายหนุ่มจะพูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยค แต่ทว่าปราดเดียวก็พอจะมองออก เพราะท่าทางแสนนอบน้อมของคนงานทั้งสอง บวกกับท่าทางสบายสบาย ของผู้กุมอำนาจอย่างสวีเม่าซิว
“ที่แท้ช่วงนี้ ที่นางออกจากบ้านไปแต่เช้า กลับมาดึกดื่น ก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง” ท่านชายฉินสิบสามพูดต่อ “ผู้หญิงตัวคนเดียวไม่ง่ายเลยนะ โชคดีหน่อยที่คนพวกนี้ใช้ได้”
แต่ว่าอันที่จริงนางไม่ได้ตัวคนเดียวเสียหน่อย นางยังมีญาติพี่น้องอีกตั้งมากมาย
ท่านชายโจวหกกำตะเกียบแน่นจนเกิดเสียง
“ควรใช้ผู้ใดทำงานไหน นางรู้ดีอยู่แก่ใจ แม้นางไม่ได้โกรธ แต่ก็ไม่ได้ไร้ความรู้สึก” ท่านชายฉินสิบสามยื่นมือออกมาเคาะโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยเตือน “พวกเจ้าก็อย่าคิดไปเองและหาเรื่องใส่ตัวเลย”
ท่านชายโจวหกเหนื่อยหน่ายใจ
“นางเดินทางพันลี้เพื่อกลับบ้านตัวคนเดียวได้ ดูแลกิจการร้านอาหารเล็กๆ แค่นี้ คงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับนางหรอก” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ในเมืองหลวงแสนกว้างใหญ่ แต่จะยืนหยัดอยู่ได้นั้นไม่ง่าย” ท่านชายโจวหกเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “หัวใจของคนยากแท้หยั่งถึง การสร้างกิจการนั้นง่ายดาย ทว่าจะการรักษากิจการนั้นยากกว่า”
ท่านชายฉินสิบสามยิ้ม
“หากถึงเวลาตกทุกข์ได้ยาก ขอแค่คนตระกูลโจวอย่างพวกเจ้ามองเห็นก็พอ” เขาเอ่ย “ยามที่นางสุขสบาย ก็อย่าไปมองเลย”
หญิงผู้นี้ชอบหาเรื่องเป็นที่สุด
มีวิชาชุบคนตายให้ฟื้นคืนชีพ แต่จู่ๆ ก็มาบอกว่าจะรักษาคนใกล้ตายเท่านั้น ยามนี้มีทั้งเรือนไท่ผิง ทั้งเต้าหู้ไท่ผิง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสร้างเรื่องวุ่นวายอันใดอีก
“หวังเพียงแต่ว่าพวกเราจะไม่ต้องเห็นนางในยามนั้น” ท่านชายโจวหกเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม
ยามปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูร้อน อากาศเริ่มอบอ้าว ม่านรถถูกเปลี่ยนเป็นม่านไผ่ เพื่อให้ลมเย็นพัดผ่านยามรถเคลื่อนไป
ยังไม่ทันถึงเรือนไท่ผิง ก็เห็นรถม้าจอดเรียงรายแน่นขนัด ม่านไม้ไผ่ของห้องโถงถูกม้วนขึ้น ทำให้มองเห็นคนนั่งอยู่เต็มร้าน ห้องรับรองที่อยู่บนชั้นสอง บางห้องก็ม้วนม่านหน้าต่างขึ้น บางห้องก็ปล่อยมา แต่ก็พอเดาได้ว่ามีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด
เพราะยังมีคนมากมายยืนรออยู่นอกประตู
“ท่านลูกค้า ตอนนี้ร้านเราโต๊ะเต็มแล้ว ท่านอยากจะไปหาร้านอื่นไหม หรือว่าจะรอที่นี่ หากรอเกรงว่าคงอีกประมาณครึ่งชั่วยามเห็นจะได้”
ครั้นรถม้ามาถึง ก็ได้ยินคนงานของร้านเอ่ยขอโทษขอโพยกับลูกค้าที่เพิ่งมาใหม่ด้วยรอยยิ้ม
“ท่านลูกค้า หากท่านอยากจะรอ เรามีน้ำชาและของว่างอยู่ตรงนี้”
นอกจากคนมากินข้าวแล้ว ด้านข้างยังมีหลายคนที่กำลังวิ่งวุ่น เดินเข้าออกไปมา
รถม้าวิ่งเข้าสู่หลังร้านจากประตูด้านข้าง
บริเวณโดยรอบของร้าน เต็มไปด้วยไม้และกระเบื้อง
บนถนนใหญ่ยังมีรถสองคันตะบึงเข้ามาด้านหลังร้าน ชายหนุ่มสองสามคนผู้รับผิดชอบในการซื้อวัตถุดิบตามออกมาดู
แม้ทั้งหน้าร้านและหลังร้านจะงานยุ่งแต่ทว่าไม่วุ่นวาย เสียงดังแต่ไม่น่ารำคาญ
ด้านหลังของร้านแยกออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นห้องครัวและงานทั่วไป อีกส่วนหนึ่งเป็นห้องทำเต้าหู้ของซุนไฉ
เมื่อเทียบกับความวุ่นวายของหน้าร้านแล้ว ห้องทำเต้าหู้นั้นเงียบสงบกว่ามาก เพราะต้องรักษาเคล็ดลับจึงไม่ให้ผู้อื่นเข้าออกได้ตามอำเภอใจ
“สร้างอีกสองสามห้อง ก็พอให้คนงานใหม่มาอยู่ได้แล้ว ห้องเก็บของก็จะได้โล่งขึ้นหน่อย นอกจากนี้ยังต้องซ่อมห้องจอดรถม้า รถม้ามีมากขึ้นทุกวัน จะได้ไม่ต้องจอดเบียดเสียดกัน” สวีเม่าซิวเอ่ย พลางมองไปยังเฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว
เฉิงเจียวเหนียงสวมชุดสีดำล้วน หวีเงินเล็กหวีผมไปด้านหลัง แขนเสื้อที่ยาวลงมาถูกรวบมัดขึ้น ก่อนจะง้างคันธนู
ลูกศรยาวเคลื่อนออกจากสายธนูจนเกิดเสียง ลูกศรบินไปเฉียดเป้าฟางที่อยู่ห่างออกไปราวสิบก้าวก่อนจะตกลงบนพื้น รวมกับลูกธนูก้านยาวอีกสี่ห้าลูกที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น
ซุนไฉที่อยู่ห้องทำเต้าหู้มองออก ก่อนจะถอนหายใจ
หลบอยู่ในห้องน่าจะปลอดภัยกว่า
“ท่านพี่จัดการได้เลย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย พลางยื่นมือออกไป
สวีเม่าซิวหยิบลูกศรออกมาจากอีกฝั่ง เขาก้าวเข้ามาใกล้ ก่อนจะใส่คันธนูให้เฉิงเจียวเหนียงอีกครั้ง
เขายืนใกล้พอที่จะเห็นใบหน้าเล็กของหญิงสาวที่กำลังตึงเครียด และข้อกระดูกเด่นชัดบนสองแขนที่โผล่พ้นออกมาจากแขนเสื้อที่พับขึ้น
นัยน์ตาของนางจ้องมองไปยังเป้ายิงธนูเนื้อฟาง ลำตัวเหยียดตรง ร่างกายยืนอย่างมั่นคง
ลูกศรลอยออกจากคันธนูอีกครั้งจนเกิดเสียง คราวนี้นางยิงเข้าเป้าธนูเนื้อฟางแล้ว แม้จะเป็นเพียงขอบของเป้าก็ตาม
“โอ้โห! นายหญิงเก่งเหลือเกินเจ้าค่ะ!”
สาวใช้ปรบมือดีใจ อดที่จะกระโดดโลดเต้นไม่ได้
พูดยังไม่ทันจบ ลูกศรที่ปักอยู่บนเป้าธนูเนื้อฟางก็สั่นไหว ก่อนจะร่วงหล่นลงมา
“นายหญิงยังคงเก่งอยู่ดีเจ้าค่ะ” สาวใช้ตะโกนต่อ
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มบาง ลดมือที่ถือคันธนูลง
“น้องสาวเถ้าแก่ หญิงสาวหน้าตาสะอาดสะอ้าน เหตุใดถึงได้ชอบเล่นสิ่งนี้” ผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างซุนไฉเอ่ยขึ้นอย่างเบิกบาน พลางก้าวไปดูข้างนอก
วันเวลาผ่านไป ด้วยความนิยมของเต้าหู้ที่เป็นอาหารเจของวัดผู่ซิว ทำให้เรือนไท่ผิงมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ หากจะพึ่งพาพี่ชายอย่างสวีเม่าซิวมาต้อนรับแขกเพียงคนเดียวนั้น คงไม่เพียงพอแล้ว
ยามนี้เรือนไท่ผิงรับสมัครคนงานเข้ามาใหม่ เนื่องจากห้องทำเต้าหู้ของซุนไฉต้องการแรงผลิตจำนวนมาก จึงคัดเลือกผู้ช่วยสามคนสลับกันทำงานเป็นกะ ทั้งกลางวันและกลางคืนโดยไม่หยุดพัก ในตอนนี้วิธีการทำเต้าหู้ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป ร้านอาหารมากมายก็พากันขายไปทั่ว แต่มีเพียงเรือนไท่ผิงเท่านั้นที่สามารถทำเต้าหู้ไท่ผิงได้อย่างนุ่มลิ้นและไร้รสขม
แม้จะหาผู้ช่วย ทว่าขั้นตอนสำคัญที่สุดยังคงอยู่ในความรับผิดชอบของซุนไฉเพียงผู้เดียว จึงมั่นใจได้ว่าแม้แต่ยมบาลก็ไม่มีวันแงะปากของเขาได้ หากตนเองรักษาความลับไม่ได้แล้ว ก็ขอยอมตายเสียดีกว่า คนอื่นอย่าหวังจะได้สูตรไปเลย
ซุนไฉถลึงตาใส่ผู้ช่วยผู้นั้น
“เจ้าเป็นผู้ดูแลน้องสาวของเถ้าแก่หรือ รีบไปคั้นเต้าหู้” เขาตะคอก
แต่ก่อนซุนไฉที่เคยเป็นเบี้ยล่าง ถูกเหล่าอาจารย์และศิษย์พี่ดุด่ามาตลอด แต่ยามนี้เขาได้กลายเป็นคนที่นั่งและคอยว่าดุด่าผู้อื่นเมื่อมีเคล็ดลับอยู่ในมือ ก็สบายทั้งกายและใจ ทั้งยังได้เงินเป็นกอบเป็นกำ นี่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน บ้านแสนผุพังของซุนไฉแทบจะพลิกโฉมใหม่แล้ว หากบ้านซ่อมเสร็จแล้ว เหล่าญาติมิตรคงเทียวมาหาจนหัวกระไดไม่แห้ง
ซุนไฉหัวเราะคิกคัก
ผู้ช่วยแลบลิ้น ก่อนจะรีบไปทำงานต่อ ไม่สนใจอาจารย์ที่มักยิ้มอยู่คนเดียวแล้ว
ซุนไฉมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง สาวใช้รูปงามถือผ้าขนหนูแห้งสีเขียวซับกายนายหญิงด้วยรอยยิ้ม ยามนางยกมือขึ้นแขนเสื้อเนื้องบางของชุดฤดูใบไม้ผลิก็ร่นลงมา เผยให้เห็นข้อมือขาวเนียน ทันใดนั้นดวงตาของซุนไฉพลันเบิกกว้าง เขาเอนตัวเข้าไปใกล้หน้าต่าง จ้องมองตาไม่กระพริบ
ในเมื่อมองน้องสาวเถ้าแก่ไม่ได้ ก็ขอมองสาวใช้หน่อยเถอะ
เฉิงเจียวเหนียงยื่นคันธนูและลูกธนูให้ สวีเม่าซิวก็ยื่นมือออกไปรับในทันที เขาง้างดึงลูกธนูด้วยท่าทางสบายสบาย ร่างกายไม่ไหวติงเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะยกมือขึ้นเพื่อง้างสายธนู
ลูกธนูยาวทะยานออกไปจนเกิดเสียงดังอื้ออึง เสียงแหลมบาดหูกว่าเมื่อครู่ ก่อนจะปักเข้าไปยังใจกลางของเป้าธนูเนื้อฟาง
“มหาบุรุษพึงแตกฉานในศาสตร์ทั้งหก วิชาธนูนี้ท่านคงได้พื้นฐานมาจากตอนที่เรียนหนังสือใช่หรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
สวีเม่าซิวยิ้มพลางพยักหน้า
“ยามเป็นเด็กข้าไม่เข้าใจโลก อยากเป็นมหาบุรุษ อยากจะรู้ทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้จึงลืมพรสวรรค์ของตัวเองไป แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่างเลย” เขาเอ่ยอย่างลังเลอยู่พักหนึ่ง “น้องสาวมีพื้นฐานที่ดี แต่ความแข็งแกร่งยังไม่เพียงพอ
หากฝึกฝนไปอีกสักระยะ ก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน”
ปัจจุบันลูกผู้ชายต่างต้องเรียนหนังสือ เรียนการขี่ม้าและการยิงธนู จึงไม่น่าแปลกใจที่มีความเชี่ยวชาญ ส่วนลูกสาวจะเชี่ยวชาญการดีดฉิน เล่นหมากรุก เขียนตัวอักษรและวาดภาพเสียมากกว่า หญิงสาวที่เรียนขี่ม้าหรือยิงธนูนั้นมีไม่มาก
พื้นฐานเหล่านี้นางไปเรียนมาจากที่ใดกัน
เฉิงเจียวเหนียงมองย้อนกลับไปที่เป้าธนูเนื้อฟาง ลูกธนูของสวีเม่าซิวที่ปีกอยู่กลางเป้าสีแดงส่องแสงระยิบระยับจนแสบตาภายใต้แสงแดด
แต่ก็เพียงแค่แสบตาเท่านั้น นอกจากตอนที่ได้เห็นคำจารึกบนผนังวิหารยามที่มาถึงเมืองหลวงแรกๆ และอาการใจสั่นเมื่อหิมะตกแล้ว นานมากแล้วที่ไม่มีสิ่งใดทำให้ในนางนึกถึงความทรงจำในอดีตได้เลย
แม้ร่างร่างกายจะฟื้นฟู การพูดจาก็คล่องแคล่วมากขึ้น แต่ทว่าหัวใจกลับยังเย็นชาเช่นเดิม
สวีเม่าซิวกระแอมขึ้นมา เฉิงเจียวเหนียงหันไปมอง
“ฤดูร้อนมาถึงแล้ว ได้เวลาซื้อเสื้อผ้าเพิ่มแล้ว” เขาเอ่ยพลางหยิบกระเป๋าเงินออกมาแล้วยื่นให้สาวใช้ “รบกวนน้องสาวไปซื้อให้พวกเราที”
ท่าทางของเขาไม่ได้ดูเกรงใจเหมือนยามที่ได้รับเสื้อผ้าใหม่ในตอนแรก แต่ตอนนี้กลับกล้าเอ่ยปากขอเสื้อผ้าใหม่เอง แถมยังให้เงินอย่างง่ายดายเหมือนกับที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน
“น้องสาวเอาเงินเหล่านี้ไปใช้สอยภายในบ้านเถิด” สวีเม่าซิวเอ่ย
สาวใช้หัวเราะคิกคักแล้วมองสวีเม่าซิวผู้เป็นพี่ชาย แต่นี่คือท่าทางที่พี่ชายควรจะเป็น เมื่อครู่เขาเห็นว่านายหญิงดูใจลอย เขาจึงปลอบโยนนางกระมัง
“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านชายมาก” นางเอ่ยพลางคำนับ ก่อนจะยื่นมือไปรับเงิน
พอพูดถึงเรื่องเสื้อผ้า สาวใช้ก็พูดถึงเนื้อผ้าที่จะนำมาตัดชุด ทั้งสองจึงปรึกษากันอยู่ยกใหญ่
“ท่านพี่ยุ่งอยู่ ข้าไม่รบกวนแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
สวีเม่าซิวเดินไปส่งด้วยตัวเองถึงนอกประตู
“ที่นี่คนเยอะ เจ้ามาอย่ามาบ่อยนัก หากมีเรื่องด่วนข้าจะกลับไปหาเจ้าที่บ้านเอง หากเจ้ามีธุระอะไรก็ให้คนมาเรียกข้าได้” เขาเอ่ยกำชับ
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า หลังจากนั้นก็เป็นสวีเม่าซิวที่ขมวดคิ้ว เขามองไปด้านนอก นางจึงมองตามไป เห็นหญิงสาวนางหนึ่งท่าทางลุกลี้ลุกลนกำลังเดินผ่านประตูด้านหลังเข้าไปในร้าน ตามหลังด้วยชายหนุ่มและหญิงสาวอีกคน
“นายหญิงจำได้ไหมเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยเสียงแผ่วเบา “นั่นคือภรรยาของหลี่ต้าเสา”
“สะใภ้ซ่ง ท่านลองคิดดูดีๆ …”
หญิงสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม พลางยื่นมือไปดึงภรรยาของหลี่ต้าเสา
“เจ้ามานี่หน่อย ข้ามีอะไรจะพูดกับเจ้า…”
ตระกูลของภรรยาหลี่ต้าเสาคือตระกูลซ่ง ยามเป็นสาวก็เรียกว่าแม่นางแห่งตระกูลซ่ง พอแต่งงานแล้วก็ใช้แซ่ของสามีจึงกลายเป็น แม่นางหลี่ซ่ง ตอนสาวๆ ถูกเรียกว่าสะใภ้ซ่ง พอแก่ตัวก็กลายเป็นป้าซ่ง
สะใภ้ซ่งตกใจกลัว กระวีกระวาดสะบัดมือนาง
“ขะ ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับพวกเจ้า พวกเจ้ากลับไปเถอะ…” นางเอ่ยด้วยความตื่นตระหนก
“เป็นอะไรไปหรือ”
สวีเม่าซิวเดินตามเข้ามาแล้วเอ่ยถาม
เมื่อเห็นสวีเม่าซิว ใบหน้าของสะใภ้ซ่งก็ยิ่งตื่นกลัวมากขึ้น
“มะ มะ ไม่มีอะไร เถ้าแก่ ข้ามาส่งของให้พ่อเขา” นางพูดตะกุกตะกักโดยไม่รอให้สวีเม่าซิวพูด ก่อนจะหันกลับเข้าไปด้วยความตื่นตระหนก
สวีเม่าขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาจ้องมองที่ร่างกายของชายหนุ่มและหญิงสาว
ทั้งๆ ที่เขาออกหน้ามาช่วยสะใภ้ซ่งแก้ไขสถานการณ์แท้ๆ ทว่าคนที่กลัวกลับเป็นสะใภ้ซ่งเสียเอง ชายหญิงสองคนที่ควรจะกลัวในตอนแรกกลับดูสงบนิ่ง แถมยังมองเขาอย่างเหยียดหยามอีกต่างหาก
………………………………………………………