ทั้งคู่สบตากัน แต่ทว่าไม่มีใครพูดอะไร
ชายหนุ่มและหญิงสาวหันกลับมาก่อนจะเดินจากไป
แต่ทว่าสวีเม่าซิวสังเกตเห็นแรงอาฆาตแค้นจากนัยน์ตาของคนทั้งสองได้อย่างชัดเจน
ทั้งๆ ที่ตนเองไม่รู้จักกับทั้งคู่ แล้วจะมาอาฆาตแค้นกันได้อย่างไร
“ท่านชายสาม”
เสียงของสาวใช้ลอยมาจากด้านหลัง สวีเม่าซิวละความคิด ก่อนจะหันตัวกลับมา
“เช่นนั้นพวกเรากลับก่อนนะเจ้าคะ”
สวีเม่าซิวพยักหน้าให้พวกนาง
สาวใช้ปล่อยม่านลง จากนั้นรถม้าจึงค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป
ด้านหลังครัว หลี่ต้าเสาเดินออกมาด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์นัก
“เหตุใดเจ้าต้องมาตอนกำลังยุ่งอยู่ด้วย” เขาถามเสียงต่ำ
สะใภ้ซ่งเหลียวซ้ายแลขวา สีหน้ายังคงหวาดผวาอยู่ไม่น้อย
“คนของตระกูลโต้วมาอีกแล้ว” นางกดเสียงต่ำพลางเอ่ย
“มาก็มาสิ บอกให้พวกเขาเข้าใจก็พอแล้ว” หลี่ต้าเสาขมวดคิ้วเอ่ย
“อธิบายให้เข้าใจไปหลายรอบแล้ว” สะใภ้ซ่งกระซิบ พร้อมกับมองซ้ายทีขวาที
คนงานเดินเข้าออกหลังร้านไปมา ยิ้มเบิกบานยามเห็นสองสามีภรรยาพูดคุยกัน
สะใภ้ซ่งรู้สึกไม่สบายใจ จึงดึงหลี่ต้าเสาออกมาไกลอีกนิด
“ทำอะไรลับๆ ล่อๆ ของเจ้าเนี่ย” หลี่ต้าเสาเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“คราวนี้ พวกเขาซื้อที่นาของเรามาคืนให้” สะใภ้ซ่งเอ่ยเสียงต่ำ
ตอนที่หลี่ต้าเสาป่วย จำต้องขายที่นาทำเลดีสองแปลงของตระกูลเพื่อรวบรวมเงิน ทั้งยังเป็นการขายขาด หากอยากจะซื้อกลับมาก็คงไม่ง่ายแล้ว
หลี่ต้าเสาผงะอย่างชัดเจน
“เจ้าจะบอกว่า จะรับไว้อย่างนั้นหรือ” เขามองภรรยาพลางถาม
สะใภ้ซ่งส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
“เห็นข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ” นางเอ่ย “บุญคุณของเถ้าแก่ที่ให้พวกเรายิ่งใหญ่ดุจภูเขา อีกอย่างก็เห็นแก่หน้าของท่านชายหันผู้มีพระคุณอีก ข้าจะทรยศได้อย่างไร”
หลี่ต้าเสาพยักหน้าพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“รออีกสักพัก หากเก็บเงินได้แล้ว พวกเราไปซื้อที่ที่เยอะกว่านี้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองดีกว่า” เขาเอ่ย
“ข้ามาที่นี่ก็เพื่ออยากจะบอกท่าน ท่านว่าเรื่องนี้เราควรบอกเถ้าแก่หรือไม่” สะใภ้ซ่งกระซิบ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องของพวกเรา จะบอกเถ้าแก่ทำไมเล่า” หลี่ต้าเสาส่ายหัว
“ตระกูลโต้วสามสี่วันมาบ้านเราที ข้ากลัว หากมีคนเอาไปพูด แล้วลือมาถึงหูเถ้าแก่ จะเข้าใจผิดกันได้” สะใภ้ซ่งเอ่ยเสียงต่ำ
“เช่นนั้นหากบอกเถ้าแก่ไป จะไม่เข้าใจผิดไปกันใหญ่เลยหรือ” หลี่ต้าเสาส่ายหัว
ตอนแรกตกลงกันว่าจะให้เงินเดือนหลังจากผ่านครึ่งปีไปแล้ว ดังนั้นแม้การค้าของเรือนไท่ผิงจะรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน ทว่าหลี่ต้าเสาก็ยังไม่ได้เงินแม้แต่แดงเดียว เพียงแต่คนทั้งครอบครัวไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง อีกทั้งยังได้รับชื่อเสียงจากพิธีชงชาฌาณอีกด้วย หากเขาไปบอกกับเถ้าแก่ว่าตระกูลโต้วเชิญให้เขากลับไปทำงาน
จะไม่ดูเป็นการข่มขู่เถ้าแก่ไปหน่อยหรือ
สะใภ้ซ่งพยักหน้า
“ไปเถิด ไม่ต้องสนใจตระกูลโต้ว หากพวกเรามีความตั้งใจแน่วแน่ พวกเขาก็จะยอมพ่ายแพ้ไปเอง” หลี่ต้าเสาเอ่ย
“ท่านอาจารย์”
คนงานหนุ่มที่อยู่อีกด้านหนึ่งชะโงกหน้าออกมาตะโกนเรียกหลี่ต้าเสา
“ต้องย่างหัวปลาสองหัวขอรับ”
พ่อครัวที่มาใหม่ในวันนี้ต่างเป็นลูกมือ หลี่ต้าเสายังคงรับผิดชอบในการทำอาหารหลักของเรือนไท่ผิง
หลี่ต้าเสาขานรับ
“เจ้ากลับไปเถิด” เขาพูดกับภรรยา
สองสามีภรรยาแยกย้ายกันไป
สวีเม่าซิวและฟ่านเจียงหลินที่อยู่บนชั้นสองละสายตากลับมา
“บอกว่ามาส่งของ แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นเอาของอะไรออกมา” สวีเม่าซิวเอ่ย
“อาจจะเป็นเรื่องในบ้านที่บอกคนนอกไม่ได้ก็ได้” ฟ่านเจียงหลินพูด
สวีเม่าซิวพยักหน้า
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” เขาบอก
“ตอนนี้ที่ร้านได้กำไรดี ไม่อย่างนั้นให้เงินเดือนเขาล่วงหน้าดีไหม” ฟ่านเจียงหลินถาม
“น้องสาวบอกว่าต้องเคารพกฎระเบียบ ในสัญญาเขียนไว้ว่าอย่างไร คงไม่อาจเปลี่ยนได้” สวีเม่าซิวเอ่ย
ยามไม่ลำบาก น้องสาวเลี้ยงดูคนทั้งครอบครัวของหลี่ต้าเสาตามสัญญา ครั้นร่ำรวยแล้ว กฎเกณฑ์นี้ยังคงต้องดำเนินต่อไป
ฟ่านเจียงหลินขานรับแล้วกำลังจะพูดต่อ ทว่าก็ได้ยินเสียงโครมครามมาจากนอกหน้าต่าง
“ออกไป ออกไป คนจะมากินข้าว จะมามุงดูตัวอักษรอะไรนักหนา!”
ชายร่างใหญ่สี่ห้าคนเดินโซซัดโซเซลงมาจากหลังม้า พวกเขาไม่สนใจคำทักทายของพนักงานในร้าน ก่อนจะเดินตรงไปเข้าหน้าพลางตะโกนใส่ฝูงชนที่รออยู่หน้าประตูร้าน
เหล่าลูกค้าที่กำลังกินของว่างพลางมองดูตัวอักษรอย่างอดทนพากันตกใจ พวกเขาลุกขึ้นยืนโดนพลัน มองดูเหล่าอันธพาลที่ยืนตระหง่านอยู่ในตอนนี้
“ท่านลูกค้า ด้านในร้านโต๊ะเต็มแล้ว กรุณารอสักครู่” คนงานของร้านเอ่ยพลางพยายามยกยิ้ม
ชายผู้เป็นหัวโจกผลักเขาในทันใด
“เต็มแล้วหรือ ข้าขอเข้าไปดูหน่อย” เขาเอ่ยพร้อมกับเดินเข้าไปในร้าน
คนข้างหลังเขาก็พากันกรูตามเข้าไป
ผู้คนที่กินข้าวอยู่ภายในร้านต่างมองมาที่พวกเขา บ้างก็ขมวดคิ้ว บ้างก็ไม่สบอารมณ์ บ้างก็กูท่าทางหวาดกลัว
น้อยนักที่ร้านอาหารจะไม่ถูกนักเลงขู่กรรโชกหรือก่อกวน เดิมทีคิดว่าเรือนไท่ผิงอยู่นอกเมือง คงไม่เกิดปัญหาเช่นนี้ แต่ดูท่าทางแล้วสุราดีย่อมไม่กลัวตรอกลึก ยังมีคนมาก่อเรื่องถึงที่อยู่ดี
ยามเจอเรื่องเช่นนี้ บรรดาลูกค้าก็พลอยโดนหางเลขไปด้วย
“กินเสร็จหรือยัง นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ยังกินไม่เสร็จอีกหรือ” ชายหัวโจกพุ่งเข้ายังไปตรงโต๊ะที่อยู่ในร้าน ก่อนจะเอ่ยขึ้น
แขกร่างท้วมสองสามคนที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆ ได้ยินเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นทันที
“กินเสร็จแล้ว กินเสร็จแล้ว” สองสามคนนั้นเอ่ยขึ้น ก่อนจะรีบหนีไป
“ยังไม่ได้จ่ายเงินเลยนะ!”
คนงานของร้านคนหนึ่งนึกขึ้นได้ จึงตะโกนแล้ววิ่งตามไป แต่กลับถูกชายที่ยืนขวางประตูอยู่รั้งไว้
“รีบเก็บกวาด พวกข้ากำลังรอกินข้าวอยู่” เขาพูด
ลูกค้าในร้านทำท่าอึกอักอยากจะหนีไป ลูกค้าที่รออยู่ด้านนอนในตอนแรกเห็นท่าไม่ดี ก็ขอรถขอม้า เตรียมตัวออกไปเช่นกัน
ผู้ดูแลร้านอู๋ได้ยินเสียงจึงเดินเข้ามา
“พวกท่านมากินข้าวหรือ” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ก็ใช่น่ะสิ ไม่มากินข้าวจะให้มาเข้าห้องน้ำหรือ” ชายหนุ่มตะโกน
คำพูดนี้พูดออกมาอย่างไม่น่าฟังนัก คนในร้านพากันก้มหน้าเหล่มอง
เหล่าสมุนของชายหนุ่มก็พากันนั่งลงตามอำเภอใจ ก่อนจะมองซ้ายมองขวาพลางโหวกเหวกโวยวาย
“นำอาหารมา นำอาหารมา”
“ที่นี่มีอะไรบ้าง นี่คืออะไร นี่ของคนกินหรือ”
ผู้ดูแลร้านอู๋หน้าบึ้งตึง
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป การค้าในวันนี้คงเละเทะแน่ อีกทั้งหากวันหน้าเป็นเช่นนี้อีก ก็อย่าหวังว่าจะได้เปิดร้านต่อไปเลย
“ท่านพี่ คนกันเองทั้งนั้น มีอะไรค่อยๆ พูดกันดีกว่า…” เขามองชายหนุ่มพลางเอ่ย
ยังไม่ทันพูดจบ ชายคนนั้นก็ยกมือขึ้นตบ
“ไอ้แก่ ใครเป็นคนกันเองกับเจ้า อย่ามาตีเสมอข้า!” เขาตะคอก
ผู้ใดจะไปคิดว่าชายผู้นี้จะโหดร้ายถึงขั้นลงไม้ลงมือ ร่างกายสูงวัยของผู้ดูแลอู๋จะรับแรงของแขนกำยำเช่นนั้นได้อย่างไร
ผู้ดูแลอู๋หลบไม่ทัน ได้ยินเสียงลมพัดผ่านข้างหู ทำได้เพียงกุมหัวยอมรับชะตากรรม
บาดเจ็บส่วนอื่นยังพอรักษาหาย แต่หากตีหัวจนใช้การไม่ได้ก็จบกันพอดี
เสียงลมพัดผ่านหูอย่างรุนแรง ภายในร้านเกิดเสียงกรีดร้องดังขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีเสียงของตกแตกดังเพล้ง เสียงผู้คนโวยวาย และเสียงคนชนโต๊ะล้มโครมคราม
แต่กลับไม่มีความเจ็บปวดดั่งที่คาดไว้ ผู้ดูแลอู๋วางมือลดมือลงอย่างสงสัย ก่อนจะเห็นว่าชายที่อยู่ตรงหน้าล้มลงกับพื้นแล้วชนเข้ากับโต๊ะที่อยู่ไม่ไกล จานชามที่ยังไม่ได้เก็บกวาดก็ร่วงลงพื้น อาหารและน้ำแกงหกรดทั่วร่างกายของเขา
เสียงสถบด่าดังขึ้นภายในร้าน เหล่าลูกค้าถอยกรูเข้าไปอยู่อีกมุมหนึ่ง สีหน้าของพวกเขาดูเป็นกังวลไม่น้อย แต่เพราะมีคนขวางประตูไว้จึงหนีออกไปไหนไม่ได้
“เถ้าแก่” ผู้ดูแลอู๋มองสวีเม่าซิวที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อใด
สวีเม่าซิวเก็บหมัดลง สะบัดข้อมือเล็กน้อย ก่อนจะมองเหล่าชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
“ที่พวกเจ้ามาก่อเรื่องในวันนี้ ต้องการอะไร” เขาเอ่ย
ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้นถูกต่อยจนหน้ายับเลือดไหลออกจมูก เขากุมหน้าพลางร้องโหยหวนอยู่ในตอนนี้
แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขามักเป็นฝ่ายลงมือก่อน แล้วค่อยถามอีกฝ่ายว่าจะเอาอย่างไร คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะกลับกลายเป็นตนเองที่ถูกถาม
“จัดการมัน จัดการไอ้คนบ้านนอกที่ทำร้ายข้าผู้นี้ซะ!” เขาตะโกนจนเสียงแหบแห้ง
เหล่าพี่น้องทั้งสามข้างกายกระเด้งตัวขึ้นมาก่อนจะพุ่งเข้าหาสวีเม่าซิว
แขกในร้านพากันกุมศีรษะและปิดใบหน้าไว้เพราะไม่อาจทนดูได้ ได้ยินเพียงเสียงแลกหมัดและเสียงปะทะกันของร่างกาย พร้อมกับเสียงกรีดร้องโหยหวน จากนั้นไม่นานเสียงก็เงียบลง
เดิมทีสามรุมหนึ่งก็คงใช้เวลาไม่มากอยู่แล้ว
เมื่อเสียงตุบตับหยุดลง ทุกคนก็ปล่อยมือลงพลางมองออกไป กลับเห็นเพียงคนคนเดียวที่ยืนอยู่ พร้อมกับอีกสี่คนนอนกุมท้องอยู่บนพื้น ร้องโอดโอยไม่หยุด
ชายหนุ่มเลือดกำเดาไหลเบิกตาโพลง สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ชายผู้นี้ฝีมือดีนัก! ฝีมือเก่งกาจเหลือเกิน! อันธพาลอย่างพวกเขาก็ถือว่าชกต่อยเก่งพอสมควร
ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าชายผู้นี้จะเป็นหนึ่งในยอดฝีมือ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนเรียบง่ายทว่าดุเดือด ทุกครั้งที่ลงมือต่างทุ่มสุดแรง ไม่เจ้าก็ข้าที่ต้องตาย
แค่ชกต่อยกัน ไม่เห็นต้องออกแรงถึงเพียงนี้เลยนี่นา
ยังไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มอีกสามสี่คนเดินเข้ามา เมื่อเห็นเช่นนั้นเบิกตาโพลง ก่อนจะกระจายกำลังในทันใด
“อยากตายหรืออย่างไร!” พวกเขาตะโกน
สวีเม่าซิวยกมือปรามพวกเขา
“โยนออกไป” เขาเอ่ย
เหล่าชายอันธพาลถูกโยนออกจากเรือนไท่ผิงเกิดเป็นเสียงดังโครมคราม จนเหล่าผู้เห็นเหตุการณ์พากันถอยหนีและก่นด่า
ชายหัวโจกยืนขึ้น ก่อนจะพ่นน้ำลายปนเลือดออกมา เขามองดูชายหนุ่มอีกห้าคนยืนอยู่หน้าประตู
คราวนี้ถือว่าประมาทไปหน่อย ร้านเล็กๆ โกโรโกโสแบบนี้กลับมีนักเลงอยู่ตั้งหลายคน!
“ฝากไว้ก่อนเถอะ! ฝากไว้ก่อน! ยังไม่จบแค่นี้แน่!” ลูกผู้ชายย่อมรู้จักถอย ชายหนุ่มตะโกน ยกมือไปชี้สวีเม่าซิว ก่อนจะหันกลับไปขึ้นม้า
เมื่อเห็นเขาจากไปแล้ว เรือนไท่ผิงก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ทว่าบรรยากาศแสนครึกครื้นรื่นเริงนั้นได้หายไปแล้ว
คนทั้งนอกและในต่างมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าควรอยู่ต่อหรือออกไปดี แต่ไม่ว่าจะอยู่หรือจะไป อาหารมื้อนี้ก็กร่อยไปเสียแล้ว
“ทุกท่าน ทุกท่าน เรื่องเล็กขอรับ เรื่องเล็กขอรับ” ผู้ดูแลอู๋หัวเราะออกมา เขาเดินไปทั่วทั้งในและนอกร้านพร้อมยกมือขึ้นคำนับ
“เปิดร้านมานานขนาดนี้ แต่ยังไม่มีเคยมีผู้ใดมาก่อเรื่องเลย ตอนแรกข้าก็คิดว่าคงเปิดได้อีกไม่นาน
แต่ตอนนี้วางใจแล้วละ”
ทุกคนหัวเราะครืน
นั่นสินะ ร้านดังแห่งใดบ้างจะไม่เคยถูกคุกคาม ร้านเล็กๆ ก็มักจะมีอันธพาลคอยคุมและเก็บค่าคุ้มครอง
ส่วนร้านใหญ่ก็มีคนของทางการมาคอยตรวจตรา ร้านที่ไร้อุปสรรคเข้ามาข้องแวะก็ใช่ว่าจะไม่มี แต่เป็นร้านที่กิจการไม่รุ่งเรืองต่างหาก
“ต้องขอบคุณพวกเขาเหล่านั้นที่มาช่วยไว้” ผู้ดูแลเอ่ยยิ้ม พร้อมกับยกมือคำนับไปทางนอกร้าน
เสียงหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิม บรรยากาศกระอักกระอ่วนก่อนหน้าหายไปโดยพลัน
“วันนี้ทำให้ทุกท่านตกใจกลัวแล้ว” ผู้ดูแลอู๋เอ่ยด้วยยิ้ม “เพื่อเป็นการปลอบขวัญทุกท่าน อาหารและเหล้าของเรือนไท่ผิงในวันนี้ไม่เก็บเงิน”
เมื่อได้ยินดังนั้น คนที่ยืนอยู่ด้านนอกต่างก็ยิ้มก่อนจะพากันทะลักเข้ามาในทันใด บรรดาคนงานในร้านก็รีบเร่งเก็บกวาดร้านที่ยุ่งเหยิง ไม่นานก็เช็ดโต๊ะจนเสร็จเรียบร้อย
“ท่านผู้ดูแลร้าน พวกอันธพาลนั่นถึงอย่างไรก็เป็นคนต่ำทราม ถือคติแค้นนี้สิบปียังไม่สาย คนต่ำช้าพวกนั้นมักจะหาเรื่องทุกวันอยู่แล้ว พวกท่านก็ระวังด้วยนะ” คนเตือนด้วยความหวังดี
ผู้ดูแลอู๋หัวเราะอีกครั้ง
“พวกอันธพาลเหล่านี้ จงใจหาเรื่องเอง ทางการจะไม่สนใจเลยหรือ หากกล้ามารังแกคนอื่นอีกละก็ จะต้องให้กฎหมายจัดการพวกเขา” เขาเอ่ยอย่างสบายสบาย โดยไม่แยแส
หากทางการสนใจจริงๆ จะมีพวกอันธพาลเหล่านี้ได้อย่างไร แต่เห็นท่าทีไร้กังวลของผู้ดูแลอู๋แล้ว เหล่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็พยักหน้า เชื่อตามเขาอย่างปฏิเสธไม่ได้
เรือนไท่ผิงแห่งนี้เป็นร้านเดียวที่ได้ถวายเต้าหู้ให้แก่วัดผู่ซิว อีกทั้งหน้าร้านยังแขวนตัวอักษรงามจากบุคคลนิราม เช่นนี้แล้วจะเป็นคนจากตระกูลธรรมดาได้อย่างไร
“มา มา เชิญ เชิญ” ผู้ดูแลอู๋เอ่ยพลางยิ้ม
ทุกคนต่างลืมความคิดนั้นไป แล้วเข้ามานั่งดื่มกิน แม้จะบรรยายได้ไม่ดีเท่าก่อนหน้า แต่ร้านอาหารก็ยังคงเปิดต่อไปด้วยความราบรื่น
หลังจากจัดแจงแขกและคนงานในร้านจนเข้าที่เข้าทาง เมื่อสวีเม่าซิวและผู้ดูแลอู๋เดินเข้าไปในสวนหลังร้าน รอยยิ้มบนใบหน้าของทั้งสองก็หายไปโดยพลัน พวกเขาสบตากัน จ้องมองความตึงเครียดในแววตาของอีกฝ่าย
……………………………………………………..