ตอนที่ 183 หลวงจีนทำนา

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ฟางเจิ้งหยอกเจ้ากระรอกเล็กน้อย ก่อนจะตะโกนเสียงดัง “เริ่ม!”

สิ้นเสียงก็ควงแขนออกแรงปาไป!

ฟิ้ว!

เจี๊ยก! กระรอก ลิง และหมาป่าเดียวดายตะลึงค้าง!

ฟางเจิ้งมีแรงมากแค่ไหนเชียว แม้ไม้นี่จะเบาอยู่บ้าง แต่ก็ยังปาข้ามแม่น้ำได้!

ลิงสมกับเป็นสัตว์ที่มีไหวพริบ มันตั้งสติได้โดยพลันแล้วห้อวิ่งไป!

หมาป่าเดียวดายเห็นดังนั้นก็เห่าเสียงดัง พุ่งทะยานไปอย่างบ้าคลั่งพลางว่า “ไอ้ลิงบ้า เดี๋ยวแกได้รู้ว่าอะไรคือความเร็ว!”

ที่นี่ห่างจากแม่น้ำใกล้มาก ลิงก้าวสองสามก้าวก็ถึงริมฝั่ง เท้าเหยียบน้ำพลันหนาวสั่นจึงชักเท้ากลับ คิดในใจ ‘หนาวจังวะ! หนาวกว่าแม่น้ำขาวอีก!’

ชั่วขณะที่ตะลึงงัน มีเงาสีขาวพุ่งมาจากข้างๆ กระโดดขึ้นฟ้าตกลงไปในแม่น้ำ จากนั้นก็ได้ยินว่า “นี่คือความเร็วเหนือกว่าวินาที ฉะ…ฉัน…หนาวมาก โฮ่งๆ…หนาว…”

คนอื่นไม่เข้าใจ แต่ฟางเจิ้งเข้าใจจึงหัวเราะ หมาป่าโง่นี่โง่จริงๆ ส่วนลิงหยั่งเชิงน้ำก่อน แต่เจ้านี่กระโดดลงไปเลย…ไม่หนาวสิแปลก

ทว่าแม่น้ำหนึ่งสายไม่กว้าง ไม่ลึก จึงกัดฟันเดินต่อไปอีกสองก้าวก็ข้ามไป มันสู้สุดชีวิตเพื่อของกิน อึดใจเดียวพุ่งข้ามไป เมื่อคาบท่อนไม้ได้แล้วก็ยิ้มร่า กระโดดอยู่กับที่หลายที่เหมือนกำลังโอ้อวดลิง คิดในใจอย่างปลื้มอกปลื้มใจว่า ‘อ่า! ฉันเก่งจริงๆ ได้ข้าวเย็นเพิ่ม ฮ่าๆ…ฉันจะกินสองชาม! ใช่ สองชาม! กินให้เจ้าอาวาสจนไปเลย’

หมาป่าเดียวดายคิดอย่างมีความสุขพลางเดินก้าวเล็กๆ ข้ามแม่น้ำ ครู่เดียวก็กระปรี้กระเปล่าจากความหนาวไม่น้อย รีบข้ามแม่น้ำมา ภารกิจสำเร็จต่างหากถึงจะเป็นความจริง

แต่ว่า…มีเงาร่างหนึ่งตรงเข้ามา

“เจี๊ยกๆ…” ลิงยืนบนฝั่งแม่น้ำ มองมันด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย!

“ไอ้เวร จะทำอะไร? หลีกไป! อย่าเข้ามา!” หมาป่าเดียวดายรู้สึกไม่ดี นี่จะขัดขากันนี่หว่า!

หมาป่าเดียวดายรีบว่ายน้ำลงไป เป็นตายยังไงก็จะไม่ยอมให้ลิงบ้านี่ขัดขา!

แต่ลิงวิ่งตามตลอดทาง หมาป่าเดียวดายจนปัญญาจึงว่ายขึ้นมาอีกครั้ง จะหนีลิง ทว่ามันวิ่งบนบกเร็วก็จริง แต่ว่ายน้ำช้ากว่าลิง ไม่ว่ามันจะขึ้นหรือลงไปก็ถูกขวางไว้อยู่ดี

หมาป่าเดียวดายจะร้องไห้ ตะโกนเสียงดังในใจ ‘แกมันหน้าด้าน อย่าคิดแย่งไม้จากฉัน เพิ่มข้าวต้องเป็นของฉัน!’

หมาป่าเดียวดายพยายามอยู่หลายครั้งก็ยังขึ้นฝั่งไม่ได้ เจ้าลิงจะคอยตามอยู่ตลอด

มันเห็นว่าขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ไหวแน่ จึงคิดในใจ ‘แค่ลิงตัวเดียวเอง จะหยุดฝีเท้าหมาป่าของเราได้ยังไง? เอาวะ ลุย!’

หมาป่าเดียวดายกัดฟันพุ่งไปยังเขตน้ำลึก เหยียบเข้าไปในเขตน้ำตื้น แล้วส่งแรงวิ่งสุดชีวิต! ‘พุ่งไป ขึ้นฝั่งก็ไม่ต้องกลัวแล้ว! ไอ้ห่า…ทำไมถึงมีหลุมวะ?!’

หมาป่าเดียวดายเหยียบอากาศ ท่าทางองอาจห้าวหาญพลันหายวับไป เหลือเพียงความเศร้าใจ…

มันตกลงไปในหลุม คลายปากออก ท่อนไม้ลอยขึ้นไป ลิงตรงเข้ามาคว้าไว้ก่อนยืนรออยู่ข้างแม่น้ำ

รอจนหมาป่าเดียวดายโผล่หัวออกมา ลิงถึงหมุนตัวกลับอย่างเป็นธรรมชาติมาก ส่งไม้ให้ฟางเจิ้งต่อหน้าหมาป่าเดียวดาย จากนั้นใช้สายตาไม่แยแสสุดๆ มองหมาป่าเดียวดายอย่างเหยียดหยาม!

หมาป่าเดียวดายอยากจะร้องไห้โฮ มองฟางเจิ้งอย่างน่าสงสาร มันเป็นคนเก็บไม้นั่นมานะ! ลิงบ้านั่นไม่ได้ทำอะไรเลย!

ฟางเจิ้งมองลิงที่ทำหน้าลำพองใจกับหมาป่าเดียวดายที่ทำหน้าขมขื่นพลางหัวเราะเสียงดัง “การแข่งขันครั้งนี้ลิงเป็นฝ่ายชนะ”

หมาป่าเดียวดายทำหน้าเศร้า

ลิงยิ้มยั่วเย้า แต่เมื่อฟางเจิ้งพูดจบก็ใช้มือตบลิงจนมันนอนหมอบลงกับพื้น แทบจะอ้วกออกมา

ลิงไม่เข้าใจ หมาป่าเดียวดายก็ไม่เข้าใจ

ฟางเจิ้งยิ้ม “อาตมาไม่ถือสาที่หาทางลัด แต่การทำให้ผู้อื่นเสียหายแต่ตนได้รับประโยชน์จากในนั้นอันนี้ไม่ได้ เย็นวันนี้เพิ่มข้ามให้หมาป่าเดียวดาย เพิ่มจากข้าวของลิง”

ลิงตะลึงค้าง รอยยิ้มพลันเปลี่ยนเป็นขมฝาด มันเข้าใจแล้วว่าคนที่ถูกทำให้เสียหายแต่อีกฝ่ายได้ประโยชน์จากในนั้นมันแย่มากจริงๆ!

เงาแผ่นหลังฟางเจิ้งเดินไกลออกไป แต่เสียงกลับดังแว่วมา “สิ่งที่ตนไม่ปรารถนาก็จงอย่ายัดเยียดให้คนอื่น หลักการนี้เหมาะกับทุกชีวิต ลิง นายมีความบ้าระห่ำไม่น้อย ถ้าจะร่วมพุทธศาสนาหนทางยังอีกยาวไกลนัก”

ลิงงงงัน ฟังคำพูดฟางเจิ้งพลางเกาก้น เหมือนจะตระหนัก ความไม่พอใจหายไปไม่น้อย และยังรีบตามไป

หมาป่าเดียวดายตามไปอย่างร่าเริง สำหรับมันแล้ว มีข้าวกิน ได้เพิ่มข้าวก็พอ

ฟางเจิ้งเห็นไอ้บ้านี่ที่ไม่มีความมุมานะแล้วรู้สึกเสียใจที่เพิ่มข้าวให้มัน! แต่เขาแอบพยักหน้าให้ลิงที่มีการตอบสนอง การทำความเข้าใจของลิงสูงจริงๆ เพียงแต่เขาไม่เข้าใจเล็กน้อยว่าลิงป่าตัวหนึ่งกินข้าวผลึกไปนิดเดียวจะฉลาดได้ขนาดนี้เลยเหรอ?

“การเทศน์ตอนลิ้นบัวเบ่งบานเปิดสติปัญญาให้มันได้อย่างประจวบเหมาะมาก มันเลยฉลาดแบบนี้ไง เมื่อไรที่ตระหนักในสัจธรรมก็จะบรรลุอรหันต์ ถึงลิงนี่จะไม่บรรลุอรหันต์ แต่ก็ได้ประโยชน์ครั้งใหญ่” ระบบอธิบาย

ฟางเจิ้งเลยเข้าใจถึงเหตุผล

เขาพาหมาป่า ลิงและกระรอกกลับมาถึงหน้าประตูวัด มองวัดไม่ใหญ่ ตอนที่หันไปมองโอ่งข้าวตัวเอง เขาถอนหายใจเบา “ใจไม่แข็งพอจริงๆ มีปากกินข้าวมาเพิ่มอีกแล้ว จะผ่านช่วงนี้ไปได้ไหมเนี่ย”

พูดจบฟางเจิ้งเดินกลับอุโบสถ เปิดกล่องบริจาคดูข้างใน มีเศษเงินกระจายอยู่เล็กน้อย มีธนบัตรร้อยหยวนหลายใบ นั่นคือเงินค่าจุดธูปชั้นดี รวมกันแล้วฟางเจิ้งได้แต่ยิ้มแห้ง “ไม่ถึงพันหยวน ได้เมล็ดข้าวผลึกไม่กี่เมล็ดเอง ฉันคงต้องคิดถึงปัญญาเรื่องปากท้องแล้วล่ะ…”

“ระบบ มีข้าวผลึกที่ถูกกว่านี้หน่อยไหม? พวกเราสนิทกันแล้วลดราคาหน่อยสิ?” ฟางเจิ้งถาม

“มี แต่กว่าจะออกผลผลิตนานมาก” ระบบตอบ

“นานแค่ไหน?” ฟางเจิ้งตาเป็นประกาย การผลิตข้าวผลึกใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน นั่นไม่ใช่ปัญหา!

“ระยะเติบโตหกเดือน แต่ว่าข้าวผลึกจะมีปัญหาเยอะต่อสภาพแวดล้อม บนยอดเขาแบบนี้ ถ้านายดูแลดีๆ แปดเดือนกว่าๆ ก็จะเก็บเกี่ยวได้ แต่ถ้านายขี้เกียจ เดาว่าพอเข้าหน้าหนาวก็จะหนาวตาย ไม่ได้เก็บเกี่ยวสักเม็ด…” ระบบว่า

ฟางเจิ้งอึ้งไป แปดเดือน? นั่นหมายความว่านอกจากหน้าหนาวแล้ว เจ้านี่เติบโตได้?

“เอ่อ แล้วที่ว่าดูแลดีๆ หมายความว่ายังไง?” ฟางเจิ้งถาม

“ข้าวผลึกต้องค่อยๆ กล่อมเกลาด้วยกลิ่นอายพุทธ ต้องเลี้ยงด้วยการสวดมนต์ ต้องบูชาด้วยธูป ไม่ชอบหญ้าและหนอนแมลงต่างๆ เดิมทีข้าวผลึกไม่มีสิ่งปนเปื้อนอยู่แล้ว ฉะนั้นนายจะใช้ยาฆ่าแมลงต่างๆ ไม่ได้ อย่างมากสุดก็รดด้วยน้ำบริสุทธิ์ ที่เหลือก็ไม่มีอะไรแล้ว ส่วนการควบคุมดูแลโดยละเอียด ถ้านายซื้อเมล็ดไปฉันจะแนบคู่มือปลูกให้ด้วย” ระบบกล่าว

“เอ่อ…ยุ่งยากขนาดนั้นเลย? นี่มันข้าวที่พระพุทธองค์ฉันไม่ใช่เหรอ? หรือว่าพระพุทธองค์ก็ปลูกข้าวเอง ทำนาอย่างนั้นเหรอ?” ฟางเจิ้งถาม

ระบบตอบอย่างเฉยเมย “การทำนาก็เป็นการฝึกสมาธิตระหนักธรรมะเหมือนกัน ต่อให้เป็นพระพุทธองค์ทุกปีจะทำนาช่วงหนึ่งด้วยตัวเอง แน่นอน ส่วนใหญ่เหล่าสาวกตรงตีนเขาจะเป็นคนปลูก เอาล่ะ อย่าพูดมาก นายจะซื้อไม่ซื้อ?”

………………………