ตอนที่ 184 ปลิ้นปล้อนๆๆ!

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

“นายบอกราคาฉันมาก่อน” ฟางเจิ้งนับเงินในมือ รวมของก่อนหน้ากับตอนนี้แล้วมีทั้งหมดสามพันสามหยวน ดูไม่น้อย แต่ก็ไม่มาก ถึงตอนนี้จะมีคนจุดธูปเยอะ แต่ส่วนใหญ่ใช้ธูปฟรี บริจาคเงินก็แค่ร้อยสองร้อยหยวน ไม่ได้เงินอะไรมากมาย

“เมล็ดละห้าหยวน ค่าส่งเร็วหนึ่งร้อย ค่าบริการหนึ่งร้อย” ระบบตอบ

ฟางเจิ้งคำนวณดูแล้ว เอาสองพันแปดร้อยหยวนหารห้า หรือพูดได้ว่าเขาซื้อได้ห้าร้อยหกสิบเมล็ด! หนึ่งเมล็ดให้ผลเจ็ดจิน อย่างนั้นก็ได้ข้าวผลึกหลายพันจิน! จึงรู้ได้ทันทีว่าราคานี้คุ้มค่า!

ดังนั้นฟางเจิ้งเลยตอบไปว่า “ซื้อ ใช้เงินที่มีอยู่ซื้อให้หมด!” ฟางเจิ้งจ่ายเงินอย่างเด็ดขาด ถึงยังไงเงินแค่นี้ก็อย่าได้คิดยกระดับอภินิหาร เก็บไว้ซื้ออย่างอื่นไม่ได้อีก ทุกครั้งจะมีค่าบริการและส่งเร็วแพงมาก ถ้าไม่ซื้อก็ช่าง แต่ถ้าซื้อก็ต้องซื้อล๊อตใหญ่!

ต่อมาฟางเจิ้งตาลาย มีถุงผ้าตกลงตรงหน้าเขาถุงหนึ่ง ถุงไม่ใหญ่ ขนาดสองฝ่ามือ ชั่งน้ำหนักมือดูแล้วหนักอึ้ง พอเปิดดูข้างในเป็นเมล็ดข้าวผลึกจริงๆ ข้างล่างยังมีคัมภีร์ม้วนหนึ่ง หัวใจเขาเต้นเร็วขึ้นโดยพลัน

ตอนนี้เองระบบพูดขึ้น “ลืมบอกนายไป ถึงข้าวผลึกจะมีคุณภาพเหมือนกับที่นายกินก่อนหน้า แต่ปริมาณค่อนข้างต่ำ”

ฟางเจิ้งเกิดความรู้สึกไม่ดีแล้ว เหมือนจะถูกหลอกขึ้นเรือโจรอีกแล้ว! จึงถามทันที “เท่าไร?”

“หนึ่งเมล็ดให้ข้าวหนึ่งจิน” ระบบตอบ

ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นดวงตาสองข้างเหลือกบน! โดนพระพุทธองค์เล่นซะแล้ว! ระบบนี่มันปลิ้นปล้อนเกินไปแล้ว!

“ระบบ นายไม่มีร่างจริงนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะทุบนายให้พ่อแม่จำนายไม่ได้เลย” ฟางเจิ้งโมโหแทบแย่

แต่ระบบไม่สนใจเขาเลย

ฟางเจิ้งก็พูดไปอย่างนั้น ถ้าระบบออกมาจริงๆ เขาน่าจะถูกต่อยตีมากกว่า

เงินก็จ่ายไปแล้ว เมล็ดก็ได้มาแล้ว จึงเปิดถุงดู ข้างในมีกระดาษแผ่นหนึ่ง ด้านบนเขียนอักษรใหญ่แถวหนึ่ง ‘กฎและวิธีปลูกข้าวผลึกอย่างละเอียด’

ฟางเจิ้งมองแวบหนึ่ง ในความคิดมีหลายสิ่งเพิ่มมา ล้วนเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกข้าวผลึก ในนั้นมีข้อหนึ่งที่ชี้ให้เห็นเด่นชัดว่าการปลูกข้าวผลึกต้องปลูกด้วยวิธีแห่งสมาธิ ทุกวันต้องใช้น้ำบริสุทธิ์คู่กับสวดมนต์และกลิ่นอายพุทธถึงจะเติบโต ไม่อย่างนั้นจะตาย

ฟางเจิ้งมีน้ำบริสุทธิ์

มนต์ อย่างมากเขาก็ต้องสวดมนต์บทหนึ่งทุกวัน ส่วนกลิ่นอายพุทธที่ว่า ขอแค่ปลูกไม่ห่างจากวัดไปไกลเป็นอันใช้ได้ มิหนำซ้ำเขาเข้าฌานสมาธิทุกวัน ในตัวมีกลิ่นอายพุทธอยู่แล้ว ดังนั้นนี่ไม่ใช่ปัญหา

แต่ว่าการทำนาสมาธิคืออะไร? ในกฎและวิธีการปลูกข้าวผลึกอย่างละเอียดไม่ได้อธิบายไว้เลย!

ฟางเจิ้งเบนสายตาไปยังคัมภีร์ม้วนหนึ่งใต้ข้าวผลึกโดยจิตใต้สำนึก คัมภีร์นี้มีกลิ่นอายโบราณและเรียบง่าย ปกคัมภีร์เป็นสีเหลือง มองแวบแรกเป็นของโบราณ พอถือขึ้นมาดู ด้านบนเขียนอักษรใหญ่ไว้ว่าคำสวดนาสมาธิอย่างละเอียด ข้างล่างเป็นอักษรเล็กแนวตั้งว่า ฮุ่ยเหนิง[1]เขียน

“บูรพาจารณ์ลำดับหกนิกายเซนฮุ่ยเหนิงเป็นคนเขียน?” ฟางเจิ้งมองชื่อผู้เขียนแวบหนึ่ง กัดลิ้นด้วยความตกใจทั้งยังตื่นเต้น ฮุ่ยเหนิงคือใคร? ถ้าบอกว่าพระโพธิธรรมคือผู้บุกเบิกนิกายเซน ถ้าอย่างนั้นคนที่ให้นิกายเซนรุ่งเรืองถึงขีดสุดก็คือบูรพาจารย์ลำดับหกฮุ่ยเหนิง! ฟางเจิ้งรู้เรื่องนี้ ตามบันทึกประวัติศาสตร์ ฮุ่ยเหนิงถ่ายทอดสู่ภายนอก ไม่ยึดติดกับอักขระภาษา หนุนเสริมจิตเดิม ดำรงพุทธจิต ชี้ตรงไปสู่จิตมนุษย์ พบสัจธรรมสำเร็จเป็นอรหันต์

ประโยคนั้นจากหลักพุทธศาสนาคัมภีร์ที่สืบสานกันมาพันปีว่า โพธิ์นั้นไม่มีต้น กระจกเงาก็ไม่มี สรรพสิ่งแต่แรกมาคือความว่างเปล่า ฝุ่นละอองจะลงจับบนสิ่งใด นี่คือคำที่ออกจากปากฮุ่ยเหนิงเอง

ดังนั้นพอฟางเจิ้งเห็นว่าฮุ่ยเหนิงเป็นผู้เขียนจึงดีใจมาก ถึงเร็วๆ นี้เขาจะอ่านคัมภีร์ในอินเทอร์เน็ตมาไม่น้อย แต่พวกนั้นเป็นเพียงตัวหนังสือ จับต้องจริงๆ ไม่ได้ มีความจริงแท้ที่แฝงมากับคัมภีร์จริงๆ ที่มีกลิ่นหมึกไหม? ฟางเจิ้งเหมือนได้รับสมบัติล้ำค่า หลังไปอาบน้ำเข้าสุขาแล้วก็มาที่อุโบสถ เปิดคัมภีร์ เคาะมู่อวี๋ ค่อยๆ บรรจงอ่าน

อ่านแวบแรกฟางเจิ้งอึ้งไป ด้านบนมีอักษรแค่แถวเดียว!

“ภูเขาคือภูเขา น้ำคือน้ำ ขยับคือขยับ เงียบคือเงียบ หมายความว่าไง?”

ฟางเจิ้งงงงวย นี่คือคำสวดนาสมาธิอย่างละเอียดเหรอ? คำสวดหยาบๆ รึเปล่า? แค่ประโยคสั้นๆ ไม่เข้าใจเลย!

พลิกไปหน้าหลังก็ว่างเปล่า ทั้งเล่มมีเพียงประโยคเดียว

ฟางเจิ้งยิ้มเจื่อน “สมกับเป็นบูรพาจารย์ลำดับหก ไม่ยึดติดกับอักขระภาษา นี่ก็ถือว่าเขียนแล้วล่ะนะ แค่ประโยคเดียว เฮ้อ…แต่มันหมายความว่ายังไง?”

ฟางเจิ้งส่ายหน้า ยืนขึ้นเดินไปข้างนอก มองเทือกเขาไกลๆ พลางงึมงำ “ภูเขาคือภูเขา น้ำคือน้ำ? ภูเขาก็ต้องเป็นภูเขาไม่ใช่รึไง น้ำก็ต้องเป็นน้ำนี่…”

ฟางเจิ้งคิดไม่ออก เดินวนบนเขาหนึ่งรอบก็ยังไม่เข้าใจ สุดท้ายกลับเข้าไปในวัด เคาะมู่อวี๋ต่อ อ่านวัชรสูตร ในใจยังคงตรึกตรองอยู่ตลอดถึงความหมายของคำสวดนาสมาธิอย่างละเอียด นั่งครั้งนี้ใช้เวลาไปหนึ่งเดือน ในหนึ่งเดือนเขาใช้ชีวิตปกติ เวลาที่เหลือจะนั่งเคาะมู่อวี๋ อ่านคัมภีร์ ตรึกตรองถึงปัญหา

ในหนึ่งเดือนมีญาติโยมมาไม่ต่ำกว่าสิบกลุ่ม พวกเขาได้ยินเสียงมู่อวี๋กับเสียงอ่านคัมภีร์ของฟางเจิ้งแล้วสบายใจขึ้นเป็นพิเศษ ขณะเดียวกันก็ไม่อยากรบกวนการสวดมนต์ ดังนั้นฟางเจิ้งเลยอยู่อย่างสงบ…

จนกระทั่งวันหนึ่ง…

“ผู้กำกับ ที่นี่แหละครับ” ชายคนหนึ่งชี้ยอดเขา

ด้านข้างเป็นชายร่างท้วมมีหนวดเคราและจอนผม ไว้ผมเปียหางม้าเงยหน้ามองยอดเขา “นายมั่นใจนะว่าวิวข้างบนนี่ตรงกับฉากที่เราต้องการ?”

“ผู้กำกับอวี๋ ผมมั่นใจมาก คุณดูภาพนี้ นี่เป็นภาพถ่ายจากนักข่าวอำเภอซงอู่ ผมถามเขามาแล้วว่าถ่ายที่นี่จริงๆ เมื่อกี้ชาวบ้านก็บอกไม่ใช่เหรอครับว่าข้างบนเป็นแบบนี้? มีป่าเขา มีวัด มีที่ราบและก็ฟ้าคราม มองไกลๆ ยังมีเทือกเขาเสริมให้เด่นอีก นี่ไม่ใช่ที่นี่พวกเราตามหารึไงครับ?” ผู้ชายกล่าว

ผู้กำกับอวี๋ว่า “ฉันก็ถามดู เอาเถอะ ขึ้นไปดูด้วยกัน ถ้าได้ก็ติดต่อคนดูแลท้องถิ่นขอเช่าสถานที่ รีบถ่ายให้จบสักช่วงหนึ่ง อ้อ อย่าเพิ่งแจ้งเสวี่ยอิงนะ ทุกอย่างกำหนดไว้แล้ว ถ้าแจ้งเดี๋ยวเธอก็มาอีก”

“วางใจครับผู้กำกับ เสวี่ยอิงยุ่งขนาดนั้น เรื่องนี้ไม่ถึงเธอแน่ๆ” ผู้ชายยิ้ม

“ไป ขึ้นเขากัน” ผู้กำกับอวี๋พูดจบก็พากลุ่มคนเดินขึ้นเขาไป

“ผู้กำกับ ภูเขานี่ชันน่าดูเลยนะครับ แถมเส้นทางภูเขายังไม่ได้ซ่อมมานานด้วย ที่แบบนี้จะไหวเหรอครับ?” ตอนนี้เองผู้ชายผอมใบหน้ายาวรีบเดินเข้ามาถาม

“ไม่มีของสมัยนี้สิดี ไม่ต้องกลัวว่าจะมีอะไรขัดแย้งกันในฉาก ฉันว่าที่นี่ก็ไม่เลว มีกลิ่นอายโบราณมาก ถ่ายมาแล้วจะต้องดีแน่ๆ ไม่รู้ว่าบนเขาจะปลอดภัยไหม คงไม่มีสัตว์ป่าหรอกมั้ง?”

ผู้กำกับอวี๋เอ่ย

“สัตว์ป่า? ถ้ามีสัตว์ป่าจริงๆ พวกเรายังมีหลัวอู๋จื่ออยู่นะครับ แค่เอาไม้ตีมัน ไม่ว่าตัวไหนก็หนีกระเจิง” ชายผอมหน้ายาวหัวเราะ

“หลินตงสือ ช่างเถอะน่า นายอย่าชมฉันนักเลย ฉันไม่ใช่อู่ซงสักหน่อย…” ชายร่างกำยำเดินมาข้างหน้า ยิ้มพูดขึ้น คนนี้มีใบหน้าเป็นรูป国 มีรอยแผลเป็นมีดตรงคิ้ว มีกลิ่นอายดุร้าย คำพูดคำจาเด็ดเดี่ยวมาก มีความมั่นใจเต็บสิบ แม้จะเบี่ยงประเด็น แต่พลันตบหน้าอกตัวเองว่า “แต่ว่าถ้าลูกหมาป่าธรรมดาๆ ผมรับมือไหวนะ”

“เอาล่ะ ลูกหมาป่าจะมาจากไหน ภูเขานี่เป็นยอดเขาเดี่ยวนอกภูเขาฉางไป๋ ต่อให้มีหมาป่าก็อยู่ในป่าเขาลึกๆ นู่น” ผู้กำกับอวี๋ยิ้ม แต่เพิ่งสิ้นเสียง

“หมาป่า! หมาป่า! หมาป่า!” ชายหนุ่มสองคนที่เดินนำหน้าพลันร้องด้วยความตกใจและวิ่งกลับมา

………………………………..

[1] พระเถระฮุ่ยเหนิง หรือท่านพุทธทาสภิกษุ ออกเสียงว่า ‘เว่ยหลาง’ เป็นภิกษุที่มีชีวิตสมัยราชวงศ์ถัง เป็นสังฆปรินายกองค์ที่ 6 ในนิกายเซนนับจากพระโพธิธรรม