ตอนที่ 202 ตะล่อมชวนสำเร็จ

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“ท่านแม่ มี่เอ๋อร์มีเรื่องจะปรึกษาท่านแม่!” สองแม่สามีและลูกสะใภ้อย่างเยี่ยนมี่เอ๋อร์กับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเดินไปตามทางริมทะเลสาบ มีสาวใช้หลายคนกระจายตัวตามอยู่ห่างๆ ให้คู่แม่สามีลูกสะใภ้ที่สนิทสนมกันมาตลอดได้พูดความในใจต่อกัน

“มี่เอ๋อร์คิดอะไรก็ว่ามาเถิด” ในช่วงบ่ายหวงฝู่เยวี่ยเอ้อได้รู้จากซั่งกวนจิ่นเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาจากไป พวกเขาทั้งกลัวและโชคดีที่มี่เอ๋อร์ยังปลอดภัยอยู่อย่างสบายใจมาได้เรื่อยๆ เด็กในท้องก็อยู่เย็นเป็นสุขเช่นกัน กลัวความเสี่ยงมากมาย หากมีความผิดพลาดเล็กน้อย…แค่ครุ่นคิดเรื่องนี้ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็เหงื่อตกท่วมตัว

“มี่เอ๋อร์อยากขอให้ท่านแม่เลี้ยงดูพิงถิงในนามของท่าน ให้พิงถิงที่เป็นลูกนอกสมรสมีสถานะบุตรสาวของภรรยาเอก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวตามสัตย์มิได้พูดอ้อมค้อม ยามที่พูดคุยกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ โดยเฉพาะยามที่มีเรื่องจะขอร้องนาง ตรงไปตรงมาหน่อยจะดีที่สุด ถ้าพูดวกวนจะทำให้นางเกิดภาพลวงตา เป็นภาพลวงตาที่ลอบวางแผนไว้อย่างหนึ่ง หลังจากสู้รบตบมือกับอนุภรรยาอู๋และอนุภรรยาหนิงมาหลายปี สิ่งที่นางเกลียดที่สุดก็คือการหว่านล้อมนางให้ตกหลุมพราง

“ไม่ได้!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อสีหน้าเคร่งเครียด ปฏิเสธคำขอของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยเพียงคำเดียว ในช่วงเช้านางไปกับซั่งกวนฮ่าวเพื่อเจรจาการแต่งงานของซั่งกวนอวี่ไข่และทั่วป๋าฉินซินกับทั่วป๋าเชียนเย่า ฤกษ์แต่งงานกำหนดไว้คร่าวๆ ว่าเดือนยี่ปีหน้า ส่วนวันที่ที่เฉพาะเจาะจงจะต้องเชิญซินแสทำนายมาคำนวณอย่างรอบคอบ และตัดสินใจกำหนดวันแต่งงานของอวี่ฮ่าวกับชิงหวั่นในวันเดียวกัน เพื่อให้ทั้งสองคู่วิวาห์ในวันเดียวกัน ซั่งกวนฮ่าวคิดว่าการแต่งงานของชิงหวั่นกับอวี่ฮ่าวจะสะดุดตามากขึ้น การแต่งงานพร้อมกับพวกเขา อาจทำให้การคาดเดาที่ไม่จำเป็นบางอย่างจางหายไปได้…เมื่อซั่งกวนฮ่าวพูดอะไรบางอย่าง หวงฝู่เยวี่ยเอ้อได้เพิ่มประโยคหนึ่งที่แผ่วเบา ‘เราไม่อยากถูกใครจูงจมูกให้หัวเราะเยาะ’ ทำให้ทั่วป๋าเชียนเย่ากลั้นความคับแค้นใจไว้อย่างเต็มที่ พยักหน้าและเห็นด้วยกับเรื่องนี้

“ท่านแม่อยากจะลองฟังเหตุผลว่าทำไมมี่เอ๋อร์ถึงทำเช่นนี้หรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่แปลกใจเลยที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะแสดงออกเช่นนี้ หรือมีรอยยิ้มบนใบหน้า

“ไม่ต้องบอกเหตุผลอะไรกับข้าทั้งนั้น” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็รู้ว่าคนเช่นเยี่ยนมี่เอ๋อร์มิได้พูดออกมาเพราะเกิดฉุกคิดได้ในฉับพลันหรือความเมตตาสงสารอย่างกะทันหันเป็นแน่ นางไม่ใช่คนที่ชั่วร้าย แต่ก็ไม่ได้ดีถึงขั้นจะไม่มีหลักการเพื่อพูดถึงคนประเภทที่มักจะบ่นให้ร้าวฉานเสมอ

“ท่านแม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่มี่เอ๋อร์ออกจากจวนชั้นในแล้วหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อพยักหน้า และเห็นดวงตาที่ทุกข์ระทมของนาง จึงยิ้มแล้วพูดว่า “อันที่จริงเรื่องนั้นสามารถหลีกเลี่ยงได้ มี่เอ๋อร์ได้รับข่าวมาก่อนแล้ว แต่มี่เอ๋อร์มั่นใจมากเกินไป เชื่อว่าจะจัดการเองได้ นึกไม่ถึงว่าฮูหยินใหญ่จะไม่มีเหตุผลเอามากๆ ลงโทษก่อนโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมแล้วค่อยพูดจา ส่วนเหตุที่มี่เอ๋อร์รู้ล่วงหน้าได้ ก็เพราะพิงถิงสืบรู้แผนการของพวกฮูหยินใหญ่ จึงหาทางแจ้งให้ข้าทราบ”

“แต่เจ้ายังโดนกลั่นแกล้งและถูกบังคับ…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจับมือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเป็นห่วง ถ้าไม่ใช่เพราะความอยากเที่ยวเปิดหูเปิดตาของตน ตัดใจไปเซิ่งจิงกับนายท่านอย่างเด็ดเดี่ยว มี่เอ๋อร์ก็จะไม่ต้องทนทุกข์คับข้องใจมากมายขนาดนั้น

“ตอนนี้พูดได้แค่ว่ามี่เอ๋อร์รนหาที่เอง แต่กลับเพิกเฉยต่อความปรารถนาดีของพิงถิง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์โน้มตัวไปใกล้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อแล้วพูดว่า “มี่เอ๋อร์แค่ช่วยกู้หน้าให้พิงถิงเท่านั้นในระหว่างงานดอกบัว นางจดจำไว้ในใจ ครั้นถึงช่วงเวลาวิกฤตินี้ นางจึงมาบอกข้าเป็นการตอบแทน คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าเป็นคุณหนูที่มีน้ำใจมากผู้หนึ่ง ถ้านางกลายเป็นลูกสาวในชื่อของท่านแม่ ท่านแม่จะห้ามนางกับอนุภรรยาหนิงตามชอบธรรมได้ไม่มากก็น้อย จับนางมาอยู่ข้างกายจะได้สั่งสอนสะดวก ท่านแม่ไม่คิดว่าการที่อนุภรรยาหนิงเลี้ยงดูเด็กสาวจนเติบใหญ่ขนาดนี้แล้วแย่งมาได้ ทั้งยังทำให้นางสำนึกบุญคุณ ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ให้ความรู้สึกว่าเอาชนะได้สำเร็จงั้นหรือ?”

ดูเหมือนน่าจะใช่! หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็เห็นด้วยเช่นกัน นางกับซั่งกวนฮ่าวได้ตกลงกันแล้ว เมื่อลูกนอกสมรสทั้งสองคนแต่งงานแล้วจะแบ่งจวนย้ายออกไปอยู่ไกลๆ การจะอยู่เรือนหรือไม่เป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ด้วยคำพูดของนางเองเพียงคำเดียวแม้จะไม่ได้เป็นนายหญิงที่ดูแลงานบ้านแล้วก็ตาม หลังจากพวกเขาเป็นฝั่งเป็นฝา ต่อให้ลูกชายคนนี้ของอนุภรรยาหนิงจะสิ้นหวัง แต่นางก็ไม่เชื่อว่าหญิงสาวตัวแสบอย่างทั่วป๋าฉินซินนั่นยินดีจะให้อนุภรรยาหนิงอยู่ร่วมกับนางหรอก! ถ้าได้พิงถิงมาอีกล่ะก็ นางจะไม่มีแม้กระทั่งคนคุยด้วย จึงเป็นการดีที่คิดอย่างนั้น

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เฝ้าดูสีหน้าท่าทางของหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างระมัดระวัง แค่ดูก็รู้ว่านางใจคอหวั่นไหวจึงพูดเบาๆ ว่า “ท่านพ่อมีลูกเพียงไม่กี่คน ล้วนเป็นยอดดวงใจ อวี่ไข่กับอวี่ฮ่าวสามารถแต่งงานกับลูกสาวของชนชั้นสูงเป็นภรรยาได้ ท่านพ่อก็ย่อมหวังว่าลูกสาวทุกคนจะมีบ้านพักพิงที่ดี ไม่ต้องพูดถึงหลิงหลง ไม่ทันไรก็จะออกเรือน แม้จิงอิ๋งจะยังไม่พบคู่ครองที่เหมาะสม แต่นางก็เป็นลูกสาวของท่าน ท่านพ่อและท่านพี่ประคบประหงมนางที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้กันดี มีแต่พิงถิงที่สถานะจะสูงก็ไม่ใช่จะต่ำก็ไม่เชิง ถ้าท่านแม่แก้ปัญหาของพิงถิงก่อนที่ท่านพ่อจะนึกขึ้นได้ ท่านพ่อจะดีใจมากเป็นแน่ ฮูหยินของตระกูลสูงศักดิ์อื่นๆ จะบอกว่าท่านเป็นผู้สง่างามและใจกว้างแน่นอน ท่านว่าเช่นนั้นหรือไม่?”

“เจ้าช่างเจรจานัก” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อใจอ่อนแล้ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์เองก็พูดว่า เพื่อพิงถิงจึง ‘ตอบแทนน้ำใจซึ่งกันและกัน’ ต้องขอบคุณนาง หลังจากไตร่ตรองแบบนี้ครู่หนึ่ง จึงรู้ว่ามีข้อดีไม่น้อย ถ้าไม่หวั่นไหวก็ต้องเสแสร้งทำไปก่อน ในขณะนี้จึงหยิกใบ หน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเบามือ ซึ่งถือได้ว่านางให้คำตอบ

“ข้ารู้ว่าท่านแม่จะเห็นด้วย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มบางๆ แม้พิงถิงจะไม่น่าเอ็นดูเท่าไร ยกเว้นท่าทีและแววตาของนางในช่วง แรกๆ ก็ทำให้ตนไม่ชอบ นอกนั้นก็พอใช้ได้ หลังจากรู้ถึงความใจดีของตนแล้ว จึงเริ่มโน้มเอียงเข้าข้างตน ซึ่งแสดงให้เห็นว่านางไม่ใช่คนที่ไร้ทางเยียวยาอย่างสิ้นเชิง บวกกับตอนที่ตนอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด ก็ได้ความช่วยเหลือจากนางที่หาได้ยากยิ่ง หากตนไม่ช่วยนางเพื่อแก้ปัญหาที่ยุ่งยากและน่ากังวลที่สุดให้นาง นั่นคือตนปราศจากมโนธรรมนั่นเอง

“ข้าจะเสนอเรื่องนี้กับนายท่านโดยเร็วที่สุด ได้เลือกวันที่ส่งญาติพี่น้องออกไปเตรียมงานแล้ว เพียงสิบหกวันต่อมาจะให้พิงถิงกับจิงอิ๋งเป็นเพื่อนเจ้าสาวในเวลานั้นแล้วกัน” ทันทีที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อใจอ่อนจะยอมรับคนอื่นได้ง่ายมาก เมื่อนางพูดอย่างนั้นก็จะปฏิบัติต่อพิงถิงเหมือนลูกสาว ควรรู้ไว้ว่าการส่งญาติไปร่วมงานโดยทั่วไปจะประกอบด้วยบิดา พี่ชายคนโตและ น้องสาวที่สนิทที่สุด ถ้าไม่มีน้องสาวโดยตรง ก็จะใช้น้องสาวในตระกูลมาทดแทนได้ โดยทั่วไปสถานะของน้องสาวจะสูงกว่าลูกสาวนอกสมรส

“ขอบคุณท่านแม่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มหวาน เมื่อหวงฝู่เยวี่ยเอ้อกลับมาก็จะจบเรื่องนี้ได้ พิงถิงจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ!

“มี่เอ๋อร์ เจ้าบอกว่าถ้าข้าพาพิงถิงมาก่อนที่อนุภรรยาหนิงจะกลับจวนล่ะก็ เมื่ออนุภรรยาหนิงกลับมาจะไม่โกรธจนเป็นลมหรือ?” จู่ๆ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็นึกขึ้นมาได้ หากอนุภรรยาหนิงกลับมาแล้วพบว่าลูกชายเป็นลูกเขยของตระกูลทั่วป๋าไปแล้ว แต่งงานกับทั่วป๋าฉินซินที่ลบหลู่นาง แล้วอยากจะพูดคุยบ่นระบายความในใจกับลูกสาว แต่พบว่าลูกสาวก็ไม่ใช่ของนางอีกต่อไป จะไม่โมโหจนตายหรอกหรือ?

เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดหัวเราะไม่ได้ นางพบว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออาจใช้เวลานานช้าสักครึ่งจังหวะในการทำอะไร แต่สิ่งที่น่ารำคาญคือมักจะตอบโต้ได้ทันเวลาและรวดเร็ว

“แม่นมสี เจ้าพาสาวใช้ม่านฉีไปหาพิงถิงแล้วตรงไปที่เรือนนภา ข้าจะไปกับมี่เอ๋อร์ก่อน” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อคิดได้ก็ทำได้เดี๋ยวนั้น พามี่เอ๋อร์ไปที่เรือนหลัก ขณะเดินก็พูดไปพลางว่า “มี่เอ๋อร์ เราต้องคิดถึงสิ่งที่สมเหตุสมผล เพื่อที่นายท่านไม่เพียงจะคัดค้านไม่ได้ แต่ยังยกย่องข้าว่ามีเหตุผลดีอีกด้วย!”

“เจ้าค่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขานตอบพร้อมกับหัวเราะ จึงให้แนวคิดและหลักการเป็นชุดแก่นางในทันที ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเองฟังแล้วรู้สึกเคลิ้มว่านางเป็นแม่ใหญ่ที่ประเสริฐ มีจิตใจงดงามและดีที่สุด…

———————–

พิงถิงเดินเข้ามาในเรือนนภาด้วยความวิตกกังวล นางไม่ค่อยมาที่นี่ นางไม่รู้ว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อมีธุระอะไรต้องเรียกหานาง ถึงให้แม่นมสีมาหานาง แม้แม่นมสีจะใบหน้ายิ้มแย้มก็ตาม ทั้งน้ำเสียงและท่าทางพูดจาก็ให้ความเคารพเช่นกัน แต่ด้วยเหตุนี้ นางจึงไม่เพียงรู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น แต่ยังรู้สึกแปลกๆ อีกด้วย

นางพลอยทำให้พวกเขาเดือดร้อนหรือไม่? ฮูหยินอาจอยากจะใช้โอกาสนี้หาคนอื่นมาเล่นงานนางแล้วไล่ออกไปเสียด้วยซ้ำ? เหนื่อยครั้งเดียวแต่สบายไปตลอด พิงถิงคิดด้วยความหวาดกลัว ฝีเท้าหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

“คุณหนู ท่านเร็วเข้าหน่อย!” แม่นมสีกระตุ้นด้วยรอยยิ้มเผล่ แม้จะไม่ได้ยินชัดเจนว่าสองแม่สามีลูกสะใภ้พูดถึงอะไรอยู่กันแน่ แต่ตัดสินจากสีหน้าและน้ำเสียงของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ต้องเป็นเรื่องดีแน่ กระนั้นนางกลับคิดไปอีกทางหนึ่งกับพิงถิง…สะใภ้ใหญ่ต้องเสนอให้ผู้หญิงคนนี้แต่งงานกับใครสักคนแบบขอไปที เพื่อไม่ให้มาทำร้ายคนในเรือน

“พิงถิงน้อมทักทายนายท่านกับฮูหยินเจ้าค่ะ!” พิงถิงเดินเข้าไปในโถงบุปผาของเรือนนภา เห็นเจ้านายใหญ่ทั้งหมดของตระกูลซั่งกวนนั่งอยู่ในโถงบุปผาไม่ขาดแม้แต่คนเดียวยกเว้นทั่วป๋าซู่เยวี่ยซึ่งป่วยนอนซมอยู่บนเตียง จึงยิ่งกระอักกระอ่วนใจมากขึ้น น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยก็สั่นเครืออย่างช่วยไม่ได้

“ดี! ดี!” ซั่งกวนฮ่าวยิ้มพลางพยักหน้า เขาไม่รู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เกลี้ยกล่อมหวงฝู่เยวี่ยเอ้อได้อย่างไรกันแน่ แต่นางยินดีจะรับพิงถิงมาเลี้ยงดูในนาม ให้ฐานะที่ดีกว่า มันทำให้ความกังวลของเขาเบาบางลง ไม่ว่าในกรณีใดนางก็เป็นลูกสาวเช่นกัน และหวังว่านางจะมีบ้านพักพิงที่ดีได้

“นั่งลงเถิดคุณหนู” แม้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะยังไม่สามารถชอบพิงถิงได้ในทันที แต่ดูท่าจะไม่ขัดนัยน์ตาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว จึงยิ้มระรื่นพูดว่า “เราเรียกเจ้ามาเพราะมีเรื่องพิเศษอยากจะบอกเจ้า และอยากฟังความคิดเห็นของเจ้าด้วย!”

มาแล้ว! พิงถิงใจสั่นสะท้าน พวกเขาจะกำจัดตัวเองจริงๆ นางควรจะทำอย่างไร? นางมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว พบว่าทุกคนมีรอยยิ้มจางๆ แต่รอยยิ้มของจิงอิ๋งนั้นค่อนข้างไม่เต็มใจ ซั่งกวนฮ่าวยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาบ้าง นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพียงแต่คุกเข่าลงดัง ‘ตุ้บ’ ต่อหน้าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อและซั่งกวนฮ่าว

“ดูเหมือนพิงถิงกับท่านแม่จะใจตรงกันนะเจ้าคะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองออกได้จากสีหน้าซีดเผือดและดวงตาตื่นตระหนกของนาง พิงถิงต้องคิดไปในทางเลวร้ายแน่ จึงยิ้มทันทีและกล่าวคลี่คลายสถานการณ์ว่า “อันดับแรกโขกศีรษะคำนับท่านแม่เสียก่อน แม่นมหยาง ยกชามาให้คุณหนูคารวะน้ำชาท่านแม่!”

คารวะน้ำชา? ในหัวของพิงถิงว่างเปล่าขาวโพลน! เหตุใดถึงต้องคารวะน้ำชา? แต่ยังยกถ้วยชาจากในถาดน้ำชาที่อยู่ตรงหน้าแม่นมหยางอย่างเชื่อฟัง แล้วยกถ้วยชาขึ้นคารวะมอบให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อ

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ชอบท่าทางตกตะลึงพรึงเพริดและตื่นตระหนกของพิงถิง แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้ลงเอยด้วยดีไปแล้ว ความเอื้ออาทรของนางก็ได้รับการยกย่องจากทุกคนยกเว้นจิงอิ๋ง จึงไม่ได้คิดหยุมหยิม รับชามาจิบอย่างสบายใจคำหนึ่ง วางไว้ข้างๆ ถอดสร้อยข้อมือหยกที่เพิ่งสวมใส่จากมือออกวางไว้บนถาดน้ำชาแล้วพูดว่า “ลุกขึ้นเถิด! วันนี้ค่อนข้างฉุกละหุก ไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรที่เหมาะสมให้เจ้า ก็คิดเสียว่าสร้อยข้อมือเส้นนี้เป็นของขวัญจากแม่มอบให้เจ้า”

ท่านแม่? พิงถิงยืนมึนงง ยังไม่เข้าใจเหตุการณ์ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างเจื่อนๆ ดูท่านางจะตกใจกลัวเสียเอง จึงพูดติดตลกทันทีว่า “ท่านแม่พูดอะไรอย่างนั้น ไม่ว่าท่านมอบอะไร พิงถิงจะต้องชอบเป็นแน่ ท่านพ่อ ถึงเวลาบอกให้เปลี่ยนการเรียกขานชื่อได้แล้วกระมัง?”

“ได้เวลาเปลี่ยนชื่อแล้ว! เจวี๋ยเอ๋อร์ เจ้าแจ้งออกไปให้ทราบว่าต่อจากนี้ พิงถิงคือคุณหนูสามของตระกูลซั่งกวน!”

ซั่งกวนฮ่าวทำไมจะดูไม่ออกว่าพิงถิงตกใจกลัวจนเสียขวัญ ไม่มีปฏิกิริยาไปชั่วขณะหนึ่ง เรื่องนี้ค่อนข้างเร่งรีบไปหน่อย แต่อุปนิสัยของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเป็นแบบนี้ ส่วนเขาก็พะวักพะวนว่านางจะเพียงแค่ฉุกคิดได้ในฉับพลัน พอถึงวันพรุ่งนี้ก็เสียใจ จึงฉวยจังหวะตีเหล็กยังร้อน ทำเรื่องนี้ให้สำเร็จเรียบร้อย ไม่ให้นางมีโอกาสได้เสียใจ

“ขอรับ!” ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้า เดิมทีมี่เอ๋อร์ควรจะทำสิ่งนี้ แต่มี่เอ๋อร์เหนื่อยมากไม่ได้

คุณหนูสาม? ทันใดนั้นพิงถิงมองทุกคนราวกับอยู่ในความฝัน เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มพยักหน้าให้นาง เช่นเดียวกับซั่งกวนฮ่าวและคนอื่นๆ จิงอิ๋งยู่ปากและผินหน้าไปอีกด้านหนึ่ง เพิกเฉยต่อสายตาของนาง และหวงฝู่เยวี่ยเอ้อมองนางด้วยสายตาที่ใจดีมากขึ้น น้ำตาก็พลัน ‘ไหล’ อาบแก้ม นี่คือสิ่งที่นางรอคอยมาตั้งแต่จำความได้ แต่ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ จะกลายเป็นความจริงในสักวัน

นางคุกเข่าลงอีกครั้งด้วยความเคารพพลางกล่าวอย่างนบนอบว่า “ลูกน้อมทักทายท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ!”