ตอนที่ 203 การยอมรับ

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“พี่สะใภ้…” พิงถิงกระโจนเข้ากอดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เริ่มร้องไห้งอแง คารวะน้ำชาและรับของขวัญจากหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างทำอะไรไม่ถูก แล้วก็เข้าใจอย่างมึนงงว่านางกลายเป็นคุณหนูสามของตระกูลซั่งกวน แทนที่จะเป็น ‘คุณหนูพิงถิง’ ที่ไร้ศักดินาก่อนหน้านี้นางใจลอยจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้นจำได้เพียงว่านางหลั่งน้ำตาอย่างมีความสุข คลับคล้ายคลับคลาว่าซั่งกวนฮ่าวกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะทนดูต่อไปไม่ได้ จึงให้แม่นมหลินกับสาวใช้ซีเยวี่ยและซีชุนที่อยู่ข้างกายพานางกลับมาส่งยังเรือนที่นางพักอาศัยอยู่

นางเอาแต่ร้องไห้และหัวเราะทั้งคืน ต่อมาแม่นมหลินหว่านล้อมจนหมดแรง กล่อมนางนอนเหมือนเด็กๆ เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้ายังรู้สึกวิตกกังวลเล็กน้อย คิดว่าไม่มีอะไรนอกจากนางฝันไปเอง แม่นมหลิน ซีเยวี่ยและซีชุนต่างพูดยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้กระทั่งสาบาน นางถึงเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ไม่ใช่ความฝัน และสิ่งที่นางรู้ดีกว่าคนอื่นๆ ว่ามีคนเดียวเท่านั้นที่สามารถพูดโน้มน้าวหวงฝู่เยวี่ยเอ้อได้ นั่นคือเยี่ยนมี่เอ๋อร์

หลังจากที่นางแต่งตัวเรียบร้อยจึงมาขอบคุณถึงเรือนชาน แต่เมื่อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางกลับพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว หลังจากเรียกไปคำหนึ่ง พิงถิงก็มาซบในอ้อมแขนของเยี่ยนมี่เอ๋อร์และร้องไห้…

“คุณหนูสาม โตจนป่านนี้แล้ว ทำตัวเป็นเด็กน้อยไปได้ ใครไม่รู้มาเห็นเข้า จะคิดว่าเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่ไม่รู้ความเอาได้นะเจ้าคะ” ม่านเหอรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นผู้เกลี้ยกล่อมหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ และก็รู้ด้วยว่าเพราะอะไร พิงถิงก็รู้สึกดีขึ้นเช่นกัน

เมื่อเห็นนางร่ำไห้ด้วยความปลาบปลื้มแล้ว ก็หัวเราะหยอกล้อกัน

“นั่นสิ คุณหนูโตเป็นสาวใหญ่แบบนี้ จะเป็นเหมือนเด็กได้อย่างไรเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างทำอะไรไม่ถูก ยามนี้นางคิดแค่เรื่องเดียว…นางควรเปลี่ยนอาภรณ์! นางสัมผัสได้ว่าน้ำตาของพิงถิงเปียกชุ่มเสื้อหน้าอกด้านหน้าของนางเข้าแล้ว

“พี่สะใภ้!” ในที่สุดพิงถิงก็ร้องไห้จนพอ บรรดาสาวใช้ช่วยพยุงนางขึ้น มองดวงตาของนางที่ประหนึ่งเมล็ดถั่วก็ไม่ปาน ม่านเหอที่ร้องตกใจรีบเอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้นางทันที ตอนนี้นางจึงเขินอายและเกรงใจเล็กน้อย

“ร้องไห้พอแล้วหรือยัง?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เย้าว่า “ม่านเหอ ยังไม่รีบรินชาให้คุณหนูสามอีก ดูสิ เสื้อของข้าเปียกชุ่มขนาดนี้ต้องดื่มชามากขนาดไหนถึงจะชดเชยได้กันนะ”

เหล่าแม่นมสาวใช้ล้วนหัวเราะเฮฮาอย่างเบิกบานใจ ใบหน้าของพิงถิงร้อนผ่าว ยิ่งเหนียมอายมากขึ้น แล้วพูดกระเหง้ากระงอดว่า “พี่สะใภ้…”

“เอาล่ะๆ หยุดร้องไห้และหยุดทำตัวเป็นเด็กเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยุดหัวเราะแล้วบอกว่า “ตื่นหรือยัง? ในที่สุดก็เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าเมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น?”

“อื้ม…” พิงถิงพยักหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “เมื่อเช้านี้ตอนตื่นขึ้นมายังคิดมาตลอดว่าเป็นแค่ความฝันที่หลอกให้ดีใจเก้อ แต่พวกแม่นมหลินย้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าถึงค่อยกล้าเชื่อ พี่สะใภ้ ขอบคุณท่านมาก!”

“ไม่ควรขอบคุณข้า ควรจะขอบคุณท่านแม่ต่างหาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองดวงตาแดงก่ำ จมูกบวมแดงและคราบน้ำตาแห้งติดบนใบหน้า พิงถิงยังแก้มแดงระเรื่อ นางดูเหมือนจะไม่เคยเขินอายขนาดนี้มาก่อน และก็ไม่เคยน่ารักขนาดนี้มาก่อนเช่นกัน จึงพูดว่า “ท่านแม่คิดว่าเจ้าอายุไม่น้อยแล้ว อวี่ไข่และฉินซินได้ทำสัญญาหมั้นหมายกันแล้ว จึงคิดจะหาคู่ครองที่ดีให้เจ้า เมื่อคิดทบทวนหลายครั้งก่อนจะตัดสินใจเช่นนี้ พี่สะใภ้แค่ทำตามความปรารถนาของท่านแม่ พูดสองสามคำเท่านั้นเอง ไม่ได้ช่วยสักเท่าใดหรอก!”

“อื้ม…” พิงถิงยังสะอึกสะอื้นไม่หยุด นางรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์กำลังเตือนสตินาง ไม่ให้เอาเรื่องที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบแทนเพราะนางเคยช่วยเยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดออกไป หากพวกฮูหยินใหญ่รู้เข้า อาจจะไม่ดี หรือถึงกระทั่ง…และมีอะไรมากกว่านั้น…

นางคุ้นเคยกับอารมณ์ของฮูหยินใหญ่เป็นอย่างดี ถ้านางรู้เรื่องเข้าคงจะหาวิธีเล่นงานตัวเองแน่นอน และนางก็หนีมาได้ครั้งหนึ่ง แต่ไม่สามารถหลีกหนีการทรมานที่ไม่มีที่สิ้นสุดของนางได้ นอกจากนี้ยังมีทั่วป๋าฉินซินอีกด้วย!

“ข้าทราบดีเจ้าค่ะ!” พิงถิงพูดตามคำของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ว่า “ข้าขอบคุณท่านเป็นอย่างยิ่งที่ช่วยพูดเกลี้ยกล่อมเรื่องเมื่อวานครั้งแล้วครั้งเล่า แม่นมหลินบอกว่าข้าอึ้งไปแล้ว ไม่รู้อะไรเลย ดีที่ได้ท่านเตือนข้า มิเช่นนั้นข้าอาจจะทำอะไรโง่ๆ ลงไป!”

แบบนี้สิถึงถูกต้อง! เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย พิงถิงกับหลิงหลงเด็กสาวสองคนนั้นเขลาเล็กน้อย แตกต่างจากจิงอิ๋งที่มีแผนการมากกว่า นางจึงพูดกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าดูตัวเองสิ ร้องไห้จนหน้าตามอมแมมเหมือนแมว รีบไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นขึ้น หลิงหลงและคนอื่นๆ จะมาในอีกไม่ช้า วันนี้เราจะจัดการเสื้อผ้าทั้งหมดของหลิงหลงให้เป็นระเบียบ เดี๋ยวเจ้าก็อยู่ช่วยเป็นลูกมือได้”

“เจ้าค่ะ!” พิงถิงผงกหัว นางรู้ว่าอะไรควรไม่ควร จื่อหลัวรีบมาพานางไปล้างหน้าหวีผมทันที แม่นมหลินไม่ได้ตามไป แต่รอให้พวกนางออกไปและคุกเข่าลงโขกศีรษะขอบคุณเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างซาบซึ้งใจ

“ลุกขึ้นเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองแม่นมหลิน นางอาจเป็นคนที่ดีที่สุดสำหรับพิงถิง เพราะอนุภรรยาหนิงให้ความสำคัญกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมากที่สุด ส่วนทั่วป๋าซู่เยวี่ยทั้งรักทั้งเอือมระอาหลานชายหลานสาวสองคนนี้ ความรู้สึกนั้นช่างน่าสับสน ในขณะที่แม่นมหลินเฝ้าดูพิงถิงเติบโตขึ้น กลับเข้าใจและรักนางจากใจจริงมากที่สุด

“ขอบคุณสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ! ถ้าไม่ได้สะใภ้ใหญ่ คุณหนูของบ่าวยังไม่รู้ว่าจะมีวันข้างหน้าไหมนะเจ้าคะ” แม่นมหลินรู้แจ่มชัดถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง แต่ไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเห็นพิงถิงอยู่ในสายตาจริงๆ พิงถิงประจบเอาใจทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างระมัดระวังมาตลอด กระนั้นก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของนางเลย

“พิงถิงเป็นเด็กดี ไม่ช้าก็เร็วนางจะก้าวหน้า ข้าแค่คอยช่วยอยู่ข้างๆ เท่านั้นเอง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มจางๆ กล่าวว่า “ในวันสองวันนี้ นายท่านกับฮูหยินจะปรับเปลี่ยนฐานะของพิงถิง บัดนี้เป็นคุณหนูสามของตระกูลซั่งกวนแล้ว เป็นคุณหนูในภรรยาเอก สถานะจะแตกต่างกัน กฎเกณฑ์ในการติดต่อกับผู้คนก็ต่างออกไปด้วย แม่นมหลินอยู่ข้างกายก็ต้องเตือนนางให้ดี ให้นางปรับตัวให้ได้ชินแต่เนิ่นๆ จะดีทีเดียว”

“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมหลินผงกศีรษะ นางรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ตักเตือนอยู่บ้าง คุณหนูจำเป็นจะต้องรักษาระยะ ห่างจากฮูหยินใหญ่ นายน้อยอวี่ไข่และอนุภรรยาหนิงให้มากๆ พวกเขาล้วนเป็นคนที่ตระกูลซั่งกวนรังเกียจ ไม่แน่ว่าพวกเขาจะมีความคิดแผลงๆ อันใด เนื่องจากพิงถิงถือว่าโชคดีกว่ามาก พวกเขาอาจหลอกใช้พิงถิงให้ทำอะไรก็ได้จึงควรอยู่ห่างๆ ไว้

“อีกอย่าง ขบวนส่งญาติไปร่วมงานแต่งจะออกเดินทางในอีกครึ่งเดือน ท่านแม่มีแนวโน้มจะให้พิงถิงกับจิงอิ๋งเป็นเพื่อนเจ้าสาวส่งหลิงหลงไปงานแต่งด้วยกัน เจ้าควรเตรียมการก่อน อย่าชักช้าเกินไป หากขาดเหลือสิ่งใด เจ้ามาพูดคุยกับแม่นมจ้าวที่อยู่ข้างกายข้าได้ หรือไปหาพ่อบ้านจิ่นได้โดยตรง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้ม แม่นมหลินผู้นี้ก็เป็นคนฉลาดเช่นกัน

“บ่าวทราบแล้ว ขอบคุณสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ” แม่นมหลินดีอกดีใจมาก คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้นางเข้าใจว่าอีกไม่นานพิงถิงจะปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนในฐานะลูกสาวจากภรรยาเอกของตระกูลชนชั้นสูง นางไม่ใช่คนที่จะซ่อนตัวอยู่ด้านหลังผู้คนอีกต่อไป เมื่อเห็นหลิงหลงและจิงอิ๋งมีอนาคตสดใสแพรวพราว นางได้แต่กัดฟันด้วยความเกลียดชัง แต่ก็ต้องยอมรับชะตากรรมของลูกสาวนอกสมรสให้ได้เท่านั้น!

“พี่สะใภ้ พวกเรามาแล้ว!” เสียงดังขึ้นก่อนที่คนจะมาถึงเสียอีก ดูท่าน่าจะเป็นจิงอิ๋งเพราะดูแล้วเหมือนจะไม่มีใครเป็นเช่นนี้ ก่อนที่เสียงนั้นจะหายไป นางก็รีบวิ่งผลุนผลันเข้ามาพร้อมกับใบหน้ายิ้มแป้น

“ทำไมนางถึงมาที่นี่ด้วย?” เมื่อเห็นแม่นมหลิน รอยยิ้มบนใบหน้าของจิงอิ๋งก็ลดลงเล็กน้อย แล้วซักถามด้วยความไม่พอใจอยู่บ้าง

“พิงถิงมาตั้งนานแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมเอ็นดูจิงอิ๋งมากที่สุดอยู่แล้ว จึงเอ่ยพลางยิ้มว่า “วันนี้เจ้าไม่ใช่คนแรก พี่สะใภ้สั่งให้เซียงชุ่ยเตรียมโจ๊กผลไม้ให้เจ้าแล้ว เดี๋ยวมาลองชิมกัน”

“นางมาทำอะไรที่นี่?” จิงอิ๋งพูดอย่างไม่พึงพอใจ แต่ก่อนนางยังมีความรู้สึกดีๆ กับพิงถิง เพราะทั้งสองคนห่างจากกันเพียงไม่กี่เดือน เดิมทีก็เป็นพี่น้องกันได้ แต่เหตุการณ์เมื่อปีกลายยังทำร้ายนางมาก จะให้นางอภัยพิงถิงในทันทีทันใดก็ยากอยู่ไม่น้อย

“นางมาขอบคุณพี่สะใภ้ที่ชี้แนะนางไม่ให้เกิดเรื่องเกิดราวเมื่อวานนี้เท่านั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่ยินดีรับพิงถิงในฐานะลูกสาวแล้ว ทีแรกเจ้าก็มีศักดิ์เป็นพี่สาวสายเลือดเดียวกันกับนางยังจะไม่เต็มใจยอมรับอีกหรือ?”

“ข้าไม่มีสายเลือดเดียวกับนางสักหน่อย!” จิงอิ๋งกระซิบกระซาบอย่างขุ่นเคือง

“ไม่กระมัง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ มองจิงอิ๋งด้วยใบหน้าแปลกใจ จากนั้นมองหลิงหลงที่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม แล้วกล่าวอย่างเหลือเชื่อว่า “ไฉนข้าไม่ยักกะรู้ว่าจิงอิ๋งถูกเก็บมาเลี้ยงนะ?”

“พี่สะใภ้!” ท่ามกลางเสียงหัวเราะครืนของทุกคน จิงอิ๋งจับมือของนางขึ้นมาเขย่าอย่างไม่ยอม แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เจ้าเข้าข้างนางได้อย่างไร? เจ้าควรจะปกป้องข้าถึงจะถูก!”

“พวกเจ้าทะเลาะกันหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามกลับด้วยรอยยิ้ม

“เปล่า! ข้าไม่อยากทะเลาะกับนางหรอก!” จิงอิ๋งอุทานด้วยความโมโห

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะเข้าข้างเจ้าได้อย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แสร้งทำหน้าสีหน้าทุกข์ตรมแล้วแนะนำว่า “ไม่อย่างนั้นเอาแบบนี้สิ…เมื่อพิงถิงมาได้สักพักพวกเจ้าก็ทะเลาะกัน ตีกันนิดหน่อยได้ พี่สะใภ้สัญญาว่าจะปกป้องเจ้า เช่นนี้ดีหรือไม่?”

“พี่สะใภ้ เจ้ายังล้อเล่นข้าอีก!” จิงอิ๋งถูกเยี่ยนมี่เอ๋อร์แกล้งยั่ว เดิมทีก็ไม่สนใจจะต่อล้อต่อเถียงอะไรกับพิงถิง จึงพูดด้วยอารมณ์ขี้เล่นเล็กน้อยว่า “หึ ข้าเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ไม่คิดหยุมหยิมเหมือนเจ้า”

หลิงหลงขำท้องคัดท้องแข็งจนเซไปทับร่างของม่านอิง (ไม่กี่วันก่อนที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเข้าจวน ซั่งกวนฮ่าวให้นางเปลี่ยนมาเป็นสาวใช้) นางจึงกุมท้องร้องอย่างเจ็บปวดอยู่บ้าง หลังจากพิงถิงเช็ดหน้าเช็ดตาเรียบร้อย นางก็เห็นฉากที่สนุกสนานของคู่นี้ ทั้งอิจฉาและตกประหม่าเล็กน้อย

“พิงถิง เจ้ามาหาพี่สะใภ้ให้น้อยลงหน่อยจะดีกว่า” หลิงหลงเข้าใจดีว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เต็มใจยอมรับพิงถิง ส่วนนางก็ไม่ได้ตะขิดตะขวงใจอันใด กลับกันนางใกล้จะออกเรือนอยู่รอมร่อ สำหรับนางแล้วพิงถิงจะมีตัวตนอยู่หรือไม่ก็ได้ แต่นางยินดีจะร่วม มือกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์หยอกเย้าจิงอิ๋ง

พิงถิงรู้สึกขมขื่นเล็กน้อย นางหมายความว่าอย่างไร ไม่ต้อนรับตัวเองหรือ?

ครั้นพอเห็นท่าทางของพิงถิง หลิงหลงรู้ว่านางคิดเป็นอื่นแล้ว ก็ไม่ได้อธิบายจึงยิ้มพูดว่า “ดูเจ้าสิ แค่มาก่อนจิงอิ๋งสักพัก คุยกับพี่สะใภ้อีกสองสามคำ จิงอิ๋งก็มาด้วยอารมณ์เพชรหึงแล้ว ถ้าเจ้ามาทุกวันล่ะก็ คุณหนูรองของเรามิวายกลายเป็นคุณหนูเจ้าอารมณ์ไปเสียเล่า”

“ข้าจะฉีกปากของเจ้า!” จิงอิ๋งไม่กล้าจะทะเลาะกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เพราะกังวลว่าตนจะไม่รู้หนักเบา อาจไปกระทบท้องของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้า จึงไม่ได้ทะเลาะกับหลิงหลงมากนัก และอาจเพราะสองพี่น้องอยู่ในเซิ่งจิงมองไปทางไหนก็ถือว่าไร้ญาติขาดมิตร ในช่วงนี้จึงพึ่งพาอาศัยสนิทสนมกัน หัวเราะครื้นเครงเป็นประจำ ยามนี้ก็รีบมาสร้างความสนุกสนานด้วย

“ข้าพูดผิดไปหรือเปล่า?” หลิงหลงหัวเราะเยาะพิงถิง ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังพิงถิงแล้วพูดแหย่เล่นต่อไปว่า “กลิ่นเปรี้ยวๆ ในห้องนี้ มาจากตัวเจ้า…พิงถิง เจ้าโง่ชะมัด หยุดนางเร็วเข้าสิ!”

พิงถิงรู้สึกขอบตาร้อนผะผ่าว อยากจะร้องไห้อีกครั้ง แม้พวกนางจะไม่ค่อยมองนางด้วยสายตาเหยียดหยามเหมือนอย่างทั่วป๋าฉินซิน และไม่ค่อยพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่ดูแคลนเช่นนั้น แต่ก็ไม่เคยสนิทสนมกันขนาดนี้มาก่อนจนเรียกชื่อนางอย่างขำขัน

ในขณะนี้ นางรู้แล้วว่าหลิงหลงยอมรับนางแต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใด…

“พิงถิง!” จิงอิ๋งร้องขึ้น เพราะนางจับหลิงหลงไม่ได้ จึงมีน้ำโหแล้วกระโดดขึ้นตะโกนว่า “ต่อให้เจ้าจะไม่ช่วยข้าเล่นงานนาง ก็อย่ามาขัดขวางข้าที่นี่เชียวนะ!”

“พิงถิง ไม่ต้องสนใจพวกนาง มากับข้าเถอะ!” ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่บรรดาสาวใช้ย้ายโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่งเข้ามาแล้ว พร้อมวางอาหารจานเล็กสองสามอย่างและโจ๊กหม้อใหญ่ เยี่ยนมี่เอ๋อร์นั่งยิ้มอยู่ที่โต๊ะกวักมือเรียก “วันนี้เซียงชุ่ยทำโจ๊กมะม่วง เจ้าก็มาทานด้วยกัน รสชาติอร่อยเลยทีเดียว!”

“นั่นมันของข้า!” จิงอิ๋งหยุดเล่น รีบถลาไปหาเยี่ยนมี่เอ๋อร์ หลิงหลงก็หยุดเล่น วิ่งไปอีกด้านหนึ่งของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ พิงถิงกะพริบตาปริบๆ อย่างปรับตัวไม่ทัน แต่เห็นสายตาที่อบอุ่นของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางยิ้มทันทีแล้วนั่งตรงข้ามเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ยกโจ๊กมะม่วงสีทองอร่ามขึ้นมาชิมคำหนึ่ง รสชาติที่หอมหวานนุ่มลิ้นซึมเข้าสู่หัวใจของนางตลอดเวลา…