ศิษย์พี่ใหญ่พูดว่า “วิชากระบี่งดงามแต่ไม่แท้จริง เปลืองพลังปราณ”

ศิษย์พี่ฉู่เทียนพูดต่อ “มองดูสวย แต่ประสิทธิภาพแท้จริงแย่มาก วิชากระบี่ของศิษย์น้องหานเฟิงสมบูรณ์แล้ว เธอแพ้แล้ว”

เมื่อพูดจบ ลู่ฝานเห็นมือซ้ายของศิษย์พี่หานเฟิงทำเป็นกระบี่ ต่อมามีแสงสว่างวาบขึ้นมา

ชิ้ง!

กระบี่ปักลงบนพื้น ตัวกระบี่สั่นเล็กน้อย

ทุกคนหันไปจ้อง เห็นกระบี่ฟ้าครามที่กระเด็นออกไป ลอยกลับมาอีกครั้ง และปักลงบนพื้น

เงาหายไป จ้าวหลิงรู้สึกถึงความชื้นบริเวณลำคอ จึงยื่นมือไปลูบ เห็นสีแดงเป็นแถบ

บริเวณลำคอเธอเป็นรอยเลือดสีแดง ผิวหนังแยกออกจากกัน แต่ไม่ได้ลึกเข้าไปในเนื้อ

จ้าวหลิงมองหานเฟิงอย่างตกตะลึง จากนั้นสีหน้าโหดเหี้ยมขึ้นทันที

หานเฟิงยืนอยู่หน้ากระบี่ฟ้าคราม มองจ้าวหลิงอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “ตัดสินแพ้ชนะแล้ว เธอไสหัวไปได้แล้ว ฉันกะจะให้กระบี่ไปทางซ้ายสักหนึ่งนิ้ว แต่เธอยืนนิ่งไม่ขยับ เฮ้อ ใครใช้ให้ฉันเป็นบุรุษที่ทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสตรีกันล่ะ”

อาจารย์หลางเจี้ยนอึ้งเช่นกัน จ้าวหลิงเป็นนักเรียนที่ไม่เลว ในคณะบังเหิน เดิมทีเขาจะแนะนำให้จ้าวหลิง ได้ลำดับรายชื่อในการสู้จัดอันดับของสถาบัน

แต่ตอนนี้……

จ้าวหลิงแผดเสียงแทบขาดใจออกมา

“นายมันคนต่ำตม ฉันไม่ได้แพ้ นายลอบโจมตี นักเรียนของคณะขยะ อย่างคณะหนึ่งเดียว ไม่มีทางเอาชนะฉันได้ ฉันจะฆ่านาย!”

ความคลุ้มคลั่งของจ้าวหลิง ทำให้อาจารย์อี้ชิงกับอาจารย์เต้ากวง ถึงกับขมวดคิ้ว

อาจารย์หลางเจี้ยนรีบพูดว่า “จ้าวหลิง อย่านะ!”

เขายังไม่ทันพูดจบ จ้าวหลิงพุ่งเข้าไปฆ่าหานเฟิงพร้อมแสงกระบี่

หานเฟิงคิดไม่ถึงว่าตอนนี้ จ้าวหลิงจะกล้าลงมือกับตัวเองอย่างไม่คิดชีวิต

ลู่ฝานลุกขึ้นทันที แต่ขณะนั้น เงาหนึ่งเข้ามาขวางหน้าหานเฟิง

ร่างคนขนาดใหญ่ ไขมันบนร่างกายเหมือนกำแพงเมือง ไม่ใช่ศิษย์พี่ใหญ่อู๋เหวย จะเป็นใครได้อีก

จ้าวหลิงกับแสงกระบี่ ชนกับพุงของศิษย์พี่ใหญ่ ต่อมา จ้าวหลิงกระเด็นออกไป กระแทกลงกับพื้นก่อน จากนั้นกลิ้งหลุนๆ เหมือนน้ำเต้า ไปไกลสิบกว่าฟุต

หลางเจี้ยนรีบเข้าไปจับจ้าวหลิงเอาไว้ แต่พลังบนตัวจ้าวหลิงทำให้หลางเจี้ยนสั่นไปทั้งตัว จนบาดเจ็บเล็กน้อย กดตัวของจ้าวหลิงเอาไว้ เธอถึงหยุดลงได้

เมื่อมองดูดีๆ จ้าวหลิงเลือดออกตรงมุมปาก ยังคงสลบอยู่ กระบี่ในมือหักเป็นท่อนๆ ร่วงลงบนพื้น

จางเยว่หานอ้าปาก พูดอะไรไม่ออก นี่คณะหนึ่งเดียวเหรอ

นี่เป็นคณะลำดับที่เก้าในสถาบันสอนวิชาบู๊อย่างนั้นเหรอ ทำไมนักเรียนแต่ละคนที่นี่ ถึงแข็งแกร่งขนาดนี้

ศิษย์พี่ที่ยืนข้างจางเยว่หาน ประกายในแววตาวูบไหว สายตาที่หันไปมองศิษย์พี่ใหญ่อู๋เหวย เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ดูสิ โกรธแล้วไม่ดีนะ เอาตัวเองมาชนจนสลบไปเลย ทุกคนเห็นอย่างชัดเจนแล้ว ฉันไม่ได้ลงมืออะไรเลย เธอมาชนเอง ยังดีที่ผิวหนังพุงฉันทนทาน ไม่งั้นคงทะลุไปแล้ว

หานเฟิงยื่นหน้ามาจากข้างหลังศิษย์พี่ใหญ่ ลูบผิวหนังของพุงศิษย์พี่ใหญ่ แล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ไขมันในพุงของพี่ถึงจะทะลุ ก็แค่เนื้อบาดเจ็บเท่านั้น ฮ่าๆ ดูเหมือนผมต้องสร้างไขมันแล้วเหมือนกัน”

ศิษย์พี่ใหญ่จ้องหานเฟิง แล้วเดินกลับไป

อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “ชนะก็คือชนะ แพ้ก็คือแพ้ นักเรียนคณะบังเหิน แพ้ไม่เป็นหรือไง ดูเหมือนฉันต้องคุยกับอาจารย์เมิ่งอวิ๋นของพวกนายหน่อยแล้ว”

สีหน้าหลางเจี้ยนเปลี่ยนไป แพ้ติดกันสองรอบ แถมยังเกิดเรื่องนี้ด้วย เขารู้สึกว่าคณะบังเหินของเขา ขายหน้าไปหมดแล้ว

เขากัดฟันกรอด กฎการแข่งคือชนะสามในห้า ตอนนี้แพ้สองครั้ง จะแพ้อีกไม่ได้แล้ว

หลางเจี้ยนหันไปมองศิษย์พี่ข้างจางเยว่หาน

“หลินฉี นายมารอบสาม แพ้อีกไม่ได้แล้ว”

หลินฉีพยักหน้า ค่อยๆ เดินเข้ามา ยืนตรงกลาง ฉู่เทียนเห็นหลินฉี จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ไอ้หมอนี่มาแล้ว รอบนี้ให้ฉันละกัน”

พูดพลาง ฉู่เทียนเดินขึ้นมาข้างหน้า แต่เพิ่งเดินได้สองก้าว หลินฉีมองทุกคนของคณะหนึ่งเดียว แล้วพูดออกมาว่า “ฉันไม่อยากแข่งกับคนอื่น ฉู่เทียน เราเคยต่อกรกันเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว วันนี้ไม่อยากสู้ด้วยอีก อยากประลองกับลู่ฝานของคณะหนึ่งเดียวสักหน่อย ลู่ฝาน นายกล้ารับคำท้าไหม”

ลู่ฝานมองหลินฉี แล้วมองจางเยว่หาน เขาไม่ตกใจเลยสักนิด

ลู่ฝานเงยหน้ามองจางเยว่หานแล้วพูดว่า “จางเยว่หาน นี่คือคนที่มาพัวพันใหม่ของเธอเหรอ สายตาเธอยังแย่เหมือนเดิมเลยนะ”

จางเยว่หานยิ้มเย็นชา “จะแย่หรือไม่ นายลองดูก็รู้เอง”

“มีเหตุผลนะ”

ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ แล้วลุกขึ้น

ลู่ฝานมองหลินฉี แล้วพูดอย่างเฉยเมย “สู้ก็สู้สิ มีอะไรต้องกลัว”