บทที่ 200 สงครามที่ยังไม่จบตั้งแต่บรรพกาล

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 200 สงครามที่ยังไม่จบตั้งแต่บรรพกาล

เมื่อเรือเหาะเทพสวรรค์มาเยือน ขุมอำนาจทั้งหมดที่ฝึกฝนในสนามรบบรรพกาลครั้งนี้ก็มากันครบแล้ว

บนฟ้า ยอดหญิงแห่งยุคสองคนกับผู้สูงศักดิ์แข็งแกร่งสิบแปดคนค่อยๆ เผยร่างออกมา

พวกเขาแผ่กลิ่นอายพลังแข็งแกร่งทั้งตัว และยังมีประกายดวงตาวาววับ ทำให้คนมองเห็นใบหน้าไม่ชัด

นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงในด้านท่วงทำนองมรรคบางอย่าง แต่เป็นวิชาพิเศษ…มนตร์ประกายเทพ

เหตุผลง่ายๆ คือใช้เสริมความรู้สึกลึกลับของผู้บำเพ็ญเซียน ทำให้เสแสร้งมีชั้นเชิงมากขึ้น

วิชานี้มีการใช้งานไม่ได้แข็งแกร่งเลย แต่ยิ่งใหญ่สูงส่งมาก

ผู้สูงศักดิ์ส่วนใหญ่จะเคยฝึกควบวิชานี้กันมาแล้ว

หน้าตาไม่ดีพอ ก็ใช้วิชามาแก้ขัดไปก่อน!

ผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่มองเซียวหลิงเอ๋อร์กับเสิ่นเทียนด้วยแววตาปลื้มใจนิดๆ

นางเอ่ยเนิบๆ ว่า “ช่วงการฝึกสนามรบบรรพกาลในรอบห้าปีมาถึงอีกแล้ว ดูท่าผู้อาวุโสทุกคนคงจะพูดเรื่องที่ต้องระวังในสนามรบกับพวกเจ้าไปแล้ว ข้าก็จะไม่พูดอะไรมากแล้วกัน สรุป ทุกคนต้องจำไว้ข้อหนึ่ง ในสนามรบบรรพกาลมีอันตรายอยู่ทุกที่ ความปลอดภัยมาเป็นอันดับแรก!”

ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวพยักหน้า “ผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่พูดถูก ในตัวทุกคนจะมี ‘ยันต์หยกเคลื่อนย้าย’ ที่แต่ละสำนักผลิตขึ้น หากบาดเจ็บสาหัสฝึกฝนต่อไม่ได้แค่ส่งพลังฤทธิ์เข้าไปในยันต์หยก ก็จะถูกดึงออกมา

แต่พวกเจ้าจำเอาไว้ด้วย ข้อหนึ่ง ถ้าเปิดยันต์หยกเคลื่อนย้ายแล้วก็จะสิ้นสุดการฝึกฝนครั้งนี้ทันที เข้าไปอีกไม่ได้

ข้อสอง เมื่อใช้งานยันต์หยกเคลื่อนย้ายกลับ ต้องยืนนิ่งๆ สามลมหายใจ ดังนั้นถ้าเจออันตราย จำไว้ว่าให้หาที่ปลอดภัยก่อนแล้วค่อยกลับมาที่นี่!”

ผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่เอ่ยต่อ “ตามระเบียบแล้ว การฝึกครั้งนี้ยังมีรางวัลให้ด้วย สังหารสัตว์ประหลาดอย่างโครงกระดูก มารกระดูกหรือมารโลหิตในสนามรบบรรพกาล หาสมุนไพรวิญญาณ ของล้ำค่าในสนามรบบรรพกาล ก็จะนำมาแลกเปลี่ยนที่สำนักได้

นอกจากนี้ ศิษย์ยี่สิบคนแรกสุดที่ล่าสัตว์ประหลาดได้มากที่สุดจะได้รับรางวัลจากทุกแดนศักดิ์สิทธิ์”

เมื่อเอ่ยจบ ก็ปรากฏกล่องล้ำค่าขยับประกายแสงวิญญาณขึ้นตรงหน้าทุกคน

บนกล่องนั้นยังแกะสลักสัญลักษณ์ของทุกแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ แดนเทวาและแดนผาสุกตามลำดับ

ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวหยิบของรางวัลในกล่องขึ้นมาพูดด้วยเสียงไพเราะ “อันดับหนึ่งในการฝึกครั้งนี้จะได้รับสมบัติวิญญาณระดับสุดยอดของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ค้อนนภาม่วงสะเทือนฟ้า!

อันดับสองในการฝึกครั้งนี้จะได้รับสมบัติวิญญาณระดับสูงจากแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก ไข่มุกวิญญาณลับ

ศิษย์ที่ได้อันดับสาม จะได้รับสมบัติวิญญาณระดับล่างจากแดนเทวาประกายอรุณ ผ้าคาดหัวอำพันชาด

ศิษย์ที่ได้อันดับสี่จะได้เดินทางไปแดนเทวาดาวประกายพรึก เจ้ากระบี่ธารนิรันดร์จะสอนสุดยอดวิถีกระบี่ให้สามเดือน!”

……

ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวท่องรางวัลแต่ละอย่างขึ้น

ทันใดนั้น ศิษย์เบื้องล่างต่างมีสีหน้าตื่นเต้น

ควรรู้ไว้ว่าการฝึกในสนามรบบรรพกาลทุกครั้ง ปกติสองแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่จะให้แค่สมบัติวิญญาณระดับกลาง

แต่ไม่นึกเลยว่าการฝึกครั้งนี้ ไม่เพียงแค่แดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกมอบไข่มุกวิญญาณลับระดับสูงเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์เท่านั้น แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ยังมอบสมบัติวิญญาณระดับสุดยอดให้อีก!

พึงรู้ไว้ว่าสมบัติวิญญาณระดับสุดยอดคงใกล้เคียงกับของวิเศษอริยะอย่างไร้ขีดจำกัดแล้ว

กระทั่งมูลค่าของสมบัติวิญญาณระดับสุดยอดมากมายยังไม่ด้อยไปกว่าของวิเศษอริยะธรรมดา

ความต่างของมันกับของวิเศษอริยะขึ้นอยู่กับพลังระดับผู้อริยะของผู้บำเพ็ญฝ่าด่านเคราะห์ และวัสดุการหลอมสมบัติก็อยู่ที่ความสามารถของศิษย์ระดับล่าง สมบัติวิญญาณระดับสุดยอดจึงไม่ด้อยไปกว่าของวิเศษอริยะธรรมดา

กระทั่งสำหรับผู้บำเพ็ญระดับต่ำกว่าดวงจิตดรุณแล้ว อานุภาพของสมบัติวิญญาณระดับสุดยอดยังแกร่งกว่า!

แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ทำใจนำสมบัติวิญญาณระดับสุดยอดมาเป็นรางวัลในการฝึกของระดับสร้างฐานครั้งนี้ได้ จะเห็นได้ว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับการฝึกฝนสนามรบบรรพกาลครั้งนี้เพียงใด

เวลานี้ ในใจโอรสสวรรค์จากแดนเทวาแดนผาสุกต่างเร่าร้อนแล้ว

พวกเขาอยากได้ค้อนม่วงนภาสะเทือนฟ้า ถ้าได้มา กำลังรบของตนก็จะเพิ่มขึ้นแบบพลิกฟ้าดิน!

ทว่า เมื่อพวกเขามองไปที่เสิ่นเทียนกลับเหมือนโดนน้ำเย็นราดศีรษะ หมดแรงแล้ว

แย่งชิงอันดับหนึ่งกับเจ้านี่หรือ จะเป็นไปได้อย่างไร

ตอนนี้โอรสสวรรค์จากแดนเทวาแดนผาสุกพวกนั้นเหมือนเข้าใจแผนการร้ายของแดนศักดิ์สิทธิ์!

เห็นได้ชัดมากว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มั่นใจอย่างยิ่งว่าเสิ่นเทียนจะได้ที่หนึ่ง

เพราะแค่เสิ่นเทียนได้ที่หนึ่ง ค้อนม่วงนภาสะเทือนฟ้าก็จะกลับมา!

รางวัลชิ้นนี้เพียงแค่ย้ายจากมือซ้ายไปมือขวา

เป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น!

“ดูท่าศักยภาพของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์คนนี้คงไม่เบาเลย!”

“แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เด็ดขาดมาก ไม่อยากเชื่อว่าจะเอาสมบัติวิญญาณระดับสุดยอดมาเป็นรางวัล”

“เล่นใหญ่เช่นนี้ หรือแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่กลัวเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายกัน”

“เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายรึ สหายเจ้าบ้ารึ! เขาเพิ่งแสดงให้ดูเมื่อครู่นี้เอง เราจะเอาอะไรไปสู้กับเขา”

“ยอมแล้วๆ! แย่งที่หนึ่งกับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์อะไรกัน เราแย่งไข่มุกวิญญาณลับอันดับสองกันเถอะ!”

“ผ้าคาดหัวอำพันชาดของอันดับสามก็ไม่เลว ได้ยินว่าควบคุมวิญญาณแห่งธาตุไฟลำดับสองได้ ถึงอานุภาพจะเทียบกับไฟศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ แต่ก็ค่อนข้างน่ากลัวเลย!”

“เหตุใดไม่มีใครอยากได้ที่สี่ล่ะ ข้าได้ยินว่าเจ้ากระบี่ธารนิรันดร์หลี่ชางหลันได้รับขนานนามว่า ‘นักกระบี่มือหนึ่งในระดับต่ำกว่าผู้อริยะ’ ไม่ใช่หรือ”

……

การฝึกฝนยังไม่เริ่ม ศิษย์แทบทุกคนก็ยอมแพ้จะชิงที่หนึ่งกันแล้ว

ช่วยไม่ได้ เมื่อครู่เสิ่นเทียนปรากฏตัวยิ่งใหญ่มากจริงๆ เลยปราบทุกคนลงได้

ทุกคนอยู่ระดับสร้างฐาน เจ้าออกโรงมาโอ้อวดยิ่งใหญ่กว่าระดับดวงจิตดรุณ แล้วจะให้คนอื่นเล่นกับเจ้าได้อย่างไร

ในเมื่อมีใบหน้าเป็นหนึ่งก็ต้องแบกรับการติดตามประจบจากทุกคน คนอยู่ที่สูงมักหนีไม่พ้นความว่าเหว่

นี่ก็คือความกดดันที่บุรุษรูปงามเป็นเลิศต้องแบกรับ!

เมื่อเห็นการฝึกฝนจะเริ่มขึ้นแล้ว เสิ่นเทียนก็ไปหาสหายร่วมฝึกฝนมาอย่างรวดเร็ว

สถานการณ์ในสนามรบบรรพกาลพิเศษ เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตวิญญาณหยินที่หลงเหลือมาจากมหาสงครามบรรพกาล ซึ่งจะไวต่อวัตถุหยางมาก

ดังนั้นหากรวมกลุ่มคนไว้มากๆ ก็จะล่อวิญญาณหยินจำนวนมากมาปิดล้อมโจมตีได้ง่าย กระทั่งปรากฏมารหยินที่แข็งแกร่งขึ้น

พึงรู้ไว้ว่ากฎสนามรบบรรพกาลไม่มีการผันผวนแปรปรวน จะจำกัดกำลังรบของผู้บำเพ็ญไว้จริงๆ

แต่ศพผู้แข็งแกร่งจากยุคบรรพกาลที่เกิดและเติบโตขึ้นจากดินกับมารประหลาดต่างๆ ที่กำเนิดมาจากพลังมารและวิญญาณร้ายผสานกันกลับไม่ได้รับผลตรงนี้

ในสนามรบบรรพกาล มีสิ่งน่าสะพรึงกลัวที่มีกำลังรบเทียบเท่าระดับแก่นพลังทอง ดวงจิตดรุณกระทั่งหลอมรวมเทพขึ้นไป

เนื่องจากได้รับผลจากกฎของสนามรบบรรพกาล ปีศาจพวกนี้จึงถูกความกระหายในการเข่นฆ่ากระหายเลือดครอบงำอย่างสมบูรณ์

ต่างฝ่ายต่างเข่นฆ่าและกินกันมาตลอด

แม้มารพวกนี้จะมีสติปัญญาต่ำมาก แต่กำลังรบของผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานกลับเทียบไม่ได้เลย

สำหรับมารพวกนี้แล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนที่มาเป็นกลุ่มคืออาหารอันโอชะของพวกมัน

ถ้าผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานรวมกันร้อยคนขึ้นไป พลังหยางพุ่งขึ้นฟ้า เกรงว่าไม่ถึงครึ่งวันก็คงถูกกินเกลี้ยงแล้ว

ทุกๆ ห้าปี สิ่งน่าสะพรึงระดับดวงจิตดรุณขึ้นไปพวกนั้นจะหายไปจากรอบนอกสนามรบ และตอนนี้เองก็จะเป็นโอกาสการเสี่ยงอันตรายที่ดีที่สุดของขุมอำนาจเซียน

ผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานจะรวมกลุ่มกันเข้าไปฝึกฝนในสนามรบได้

ต้องรู้ว่าในสงครามสะเทือนโลกเมื่อหมื่นปีก่อนนั้น แม้แต่เซียนที่ลงมาจากโลกเซียนยังตายตกกันไปไม่น้อย ส่วนผู้บำเพ็ญระดับต่ำกว่าผู้อริยะยิ่งไม่ต้องพูดถึง เป็นได้เพียงพลทหารในสนามรบ ถูกเก็บเกี่ยวชีวิตเหมือนกับผักกุยช่าย

โลหิตบริสุทธิ์ พลังมาร และจิตวิญญาณของพวกเขาแตกกระจายอยู่บนสนามรบแห่งนี้ ถูกสนามรบดูดซับไป

หลังจากผ่านการบ่มเพาะมาหมื่นปี พลังงานที่ซับซ้อนแต่ยิ่งใหญ่ต่างๆ ในสนามรบบรรพกาลจะรวมกันและถือกำเนิดเป็นมารโลหิต มารกระดูกและมารร้ายขึ้น

ขณะเดียวกันยังมีสมุนไพรวิญญาณล้ำค่ากับสุดยอดสมบัติที่หาได้ยากยิ่งในโลกข้างนอกถือกำเนิดขึ้นเช่นกัน

อย่างเช่น ‘ว่านโลหิตมังกร’ ที่ต้องใช้โลหิตบริสุทธิ์ของเผ่ามังกรบริสุทธิ์รดถึงจะเจริญเติบโต

‘ผลใจกระบี่’ ที่เกิดขึ้นจากเจตจำนงกระบี่ของผู้แข็งแกร่งวิถีกระบี่นับไม่ถ้วนที่ตายตกไป

หลังจากเซียนบนฟ้าถูกสังหาร ก็ได้ทิ้งของสะสมสุดยอดเอาไว้

รวมถึง ‘ของวิเศษอริยะ’ ‘ผลเซียน’ และ ‘มรดกสะเทือนโลก’ ที่ฝังอยู่ในธุลีดินและกลายเป็นหินแร่วิญญาณ!

กล่าวได้ว่าสนามรบบรรพกาลคือหนึ่งในแดนต้องห้ามที่อันตรายที่สุดของดินแดนบูรพา

แต่ในเวลาเดียวกันมันยังเป็นหนึ่งในแดนล้ำค่าที่มีโชควาสนามากที่สุดในดินแดนบูรพาเช่นกัน

เมล็ดน้ำเต้าเซียนเจ็ดสมบัติของเหลียนเอ๋อร์ จี้มังกรพยัคฆ์เทพสวรรค์ของจางอวิ๋นซี ความจริงแล้วขุดมาจากรอบนอกสนามรบบรรพกาล!

กระทั่งเล่าลือว่าในสนามรบบรรพกาลใกล้ๆ กับอาณาจักรต้าเหยียนยังเคยปรากฏของวิเศษเซียนสูงสุดชิ้นหนึ่งด้วย!

นั่นคือสมบัติไร้พ่ายที่ให้กำเนิดวิญญาณของวิเศษขึ้นมา แม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ยังน้ำลายไหลเพราะสุดยอดสมบัติชนิดนี้

น่าเสียดายก็แต่ไม่มีใครได้ของวิเศษเซียนชิ้นนี้ไป

มันซ่อนอยู่ในสนามรบบรรพกาลแห่งนี้ ตำแหน่งเปลี่ยนไปตลอด รอคอยผู้มีวาสนามาหา

มีเพียงได้รับการยอมรับจากวิญญาณของวิเศษเท่านั้นถึงจะควบคุมของวิเศษเซียนชิ้นนี้ได้อย่างแท้จริง

น่าเสียดาย หมื่นปีมานี้มีคนที่พบของวิเศษเซียนไม่น้อย แต่กลับไม่มีใครได้รับการยอมรับจากของวิเศษเซียนเลยสักคน

และนี่ก็คือโชคลิขิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันเป็นที่ยอมรับในสนามรบบรรพกาล!

……

เหลือแค่ผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายรอบนอกสนามรบบรรพกาลไป ทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้ว

เสิ่นเทียนเบิกตาโตมาก พยายามมองหาโอรสสวรรค์ที่มีโชคลิขิตเหนือศีรษะรอบด้าน

แต่ตอนนี้คนที่อยู่แถวนี้มีเยอะเกินไป อีกทั้งยังไปๆ มาๆ มองเห็นไม่ชัดจริงๆ

อีกทั้งตอนนี้หลี่เหลียนเอ๋อร์ เซียวหลิง ฉินอวิ๋นตี๋ กุ้ยกงกง ฉินเกาและเสิ่นเอ้าได้มาล้อมรอบเสิ่นเทียนไว้

คำนวณคร่าวๆ แล้ว สมาชิกกลุ่มเล็กของเสิ่นเทียนมีเกินกว่าสิบคนแล้ว ถือว่าตรงตามหมายเหตุสิ่งที่ต้องระวังในสนามรบแล้ว

เสิ่นเทียนมองคนหนุ่มสาวที่มีโชคลิขิตเหนือศีรษะเดินผ่านหน้าตนไปด้วยความรู้สึกปวดใจมาก

นั่นผักกุยช่ายทั้งนั้นเลย!

แต่เมื่อหมุนตัวกลับมาเห็นภาพเหนือศีรษะของจ้าวเฮ่าแล้ว เสิ่นเทียนก็รู้สึกดีขึ้นมาก

เจ้าโชคลิขิตนี้วิเศษแต่มีไม่มาก คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณเสมอ

เสิ่นเทียนปลื้มใจมาก จ้าวเฮ่าไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง!

โชคลิขิตนั้นที่ปรากฏเหนือหัวอีกฝ่ายค่อนข้างยอดเยี่ยมเลย

สมกับเป็นคนที่เซ่นไหว้อาจารย์กับสวรรค์!

…….

ทุกคนเคียงบ่าเคียงไหล่กันเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย

เมื่อค่ายกลเปิด ทุกคนรู้สึกว่ามีสีสันหลากสีตรงหน้า จนเมื่อสายตากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง พวกเขาพบว่าตนมาอยู่กลางสนามรบกว้างใหญ่ไพศาล

นี่คือดินแดนรกร้างที่เงียบสงัดอย่างยิ่ง ฟ้าเป็นสีแดงเข้ม แผ่นดินเป็นสีแดงเข้ม แม้แต่ดวงตะวันยังเป็นสีแดงเข้ม เหมือนว่าทุกอย่างบนสนามรบถูกย้อมด้วยสีโลหิต

สนามรบแห่งนี้ไม่มีดอกไม้สดหรือวัชพืช ไม่เห็นสีเขียวในพันลี้เลย

ราวกับว่าพืชธรรมดาไม่อาจรับพลังมารและพลังโลหิตน่าสะพรึงได้

ในฟ้าดินอัดแน่นไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจางๆ

ได้ยินเสียงตะโกนเข่นฆ่าเบาๆ เหมือนดังมาจากก่อนยุคบรรพกาล ทั้งยิ่งใหญ่และน่าตื่นตกใจ

ตอนนี้พวกเสิ่นเทียนมาปรากฏบนภูเขารกร้างแห่งหนึ่ง

มองจากบนเขารกร้างลงไปจะเห็นร่างเงาคนเป็นเศษๆ กำลังสู้กันอยู่ตรงตีนเขา

บางทีนั่นอาจจะไม่เรียกว่าคน เพราะเมื่อทุกคนเห็นชัดแล้วถึงพบว่าพวกนั้นไม่ใช่คนปกติเลย

นั่นคือโครงกระดูก ในตัวไม่มีเลือดเนื้อมานานแล้ว เปลือยกระดูกข้างนอก ตะวันโลหิตส่องสะท้อนออกมาเป็นประกายแสงเย็นเยียบ

พวกเขาสวมชุดเกราะสมัยโบราณ เกราะพวกนี้ในอดีตอาจจะแข็งแกร่ง ไม่ธรรมดา มั่นคงแข็งแรง

แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป พลังวิญญาณในนั้นสลายไป ความไม่ธรรมดาไปตามกาลเวลา จึงกลายเป็นผุๆ พังๆ ไปนานแล้ว

ตอนนี้พวกโครงกระดูกสวมชุดเกราะพวกนี้ มือถืออาวุธแตกหักสู้กันอยู่

การต่อสู้ของพวกมันง่ายๆ และป่าเถื่อนมาก ไม่มีคลื่นพลังฤทธิ์ เพียงแค่กวัดแกว่งอาวุธโจมตีกันง่ายๆ

แต่ฟังจากเสียงทะลวงสายลมรุนแรงนั่นแล้ว กำลังรบของโครงกระดูกพวกนี้ไม่ธรรมดาเลย

กำลังรบของโครงกระดูกทุกตัวเทียบได้กับผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานธรรมดา

เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาคือวีรชนในสมัยโบราณ!

เพราะด้วยสาเหตุไม่ทราบแน่บางอย่างจึงฟื้นขึ้นจากหลุม ความมุ่งมั่นในการต่อสู้ยังไม่มอดดับ จึงต้องทำสงครามที่ยังไม่จบลงต่อ!

เสิ่นเทียนมองโครงกระดูกพวกนั้นพลางรู้สึกสะเทือนใจแปลกๆ เหมือนโลหิตกำลังเดือดพล่าน

นี่คือสนามรบบรรพกาลหรือ ผ่านไปหมื่นปีก็ยังมีเหตุการณ์เช่นนี้

ยากจะจินตนาการได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่เมื่อหมื่นปีก่อน!

………………….