ตอนที่ 108-2 แตกหัก

ชายาเคียงหทัย

“เหยาจี…” เมื่อเห็นสีหน้าเด็ดเดี่ยวของเหยาจีแล้ว มู่หยางจึงอดใจไม่อยู่คิดอยากเข้าไปดึงรั้งนางไว้ แต่เพียงก้าวไปได้ก้าวเดียว แขนเสื้อของตนก็ถูกดึงไว้  

 

 

“มู่ซื่อจื่อ…” ใบหน้าที่สะอาดสะอ้านของคุณหนูซุนเต็มไปด้วยความตกใจระคนหวั่นใจ ในใจมู่หยางนิ่งแข็งไป ก่อนสงบจิตสงบใจลงได้ คุณหนูซุนได้หมั้นหมายกับเขาไว้แล้ว หากการแต่งงานในครานี้เกิดมีปัญหาอันใดขึ้น ด้วยกฎที่เคร่งครัดของตระกูลซุน ต่อให้คุณหนูซุนไม่คิดไม่ตกจนฆ่าตัวตายไป ก็เกรงว่าคงต้องครองตนเป็นโสดอย่างน่าเวทนาไปตลอดชีวิต เมื่อคิดได้เช่นนี้ เท้าของมู่หยางจึงไม่สามารถก้าวออกไปได้อีก 

 

 

เยี่ยหลีที่นั่งมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่อดไม่ได้ที่จะนึกส่ายหน้าในใจ ตระกูลซุนและตระกูลมู่ไม่มีทางยอมรับเหยาจี มิใช่ด้วยเพราะเหยาจีเกิดมาท่ามกลางหญิงคณิกา แต่ด้วยเพราะความงามของนางที่โดดเด่นเกินไป ทั้งยังมีความรักใคร่ของมู่หยางเป็นทุนเดิมอีก 

 

 

ส่วนมู่หยาง เขามิใช่คนเลวร้าย และมิใช่คนที่มากรักหลายใจ เพียงแต่เขากลับมิอาจแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าได้ หากเขาเจ้าชู้เป็นนิสัย เขาสามารถแต่งงานกับคุณหนูซุนและออกเที่ยวเล่นอยู่ด้านนอกได้ ถึงแม้ไม่มีเหยาจี ด้วยฐานะของเขา ก็สามารถหาหญิงสาวที่งดงามเทียบเท่าเหยาจีได้ไม่ยาก และหากเขาใจร้ายพอ เขาสามารถยกเลิกการแต่งงานกับแม่นางเหยาจีได้ ตระกูลมู่มีเขาเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียว ต่อให้มู่หยางโหวไม่ยินดีเพียงใด สุดท้ายก็ต้องยอมถอยให้เขาอยู่ดี 

 

 

เหยาจีหลุบตาลง ปกปิดแววขมขื่นในดวงตา ก่อนผินหน้ามาพูดกับเยี่ยหลีว่า “พระชายา ขอบพระคุณพระชายาที่ได้ช่วยชีวิตข้าไว้เมื่อคืนวาน เหยาจีทูลลา” สายตาเรียบเย็นกวาดมองไปทางคนทั้งสามที่เหลือในห้อง เอ่ยเรียบๆ ว่า “เหยาจีเป็นหญิงคณิกา ไม่สมควรที่จะให้ทุกท่านมาเสียเวลาด้วย ขอให้ซื่อจื่อและทุกท่านได้โปรดอย่าได้มารบกวนกันอีก ลาก่อน” 

 

 

“แม่นางเหยาจี…” คุณหนูซุนที่ยืนอยู่หลังมู่หยางยื่นศีรษะออกมารั้งเหยาจีไว้ รอจนเหยาจีนหันหน้ากลับไปแล้ว นางจึงเหลือบมองซุนฮูหยินก่อนเอ่ยออกมาเบาๆ ว่า “แม่นางเหยาจี ซื่อจื่อ…หากซื่อจื่อถูกใจแม่นางเหยาจีจริงๆ หลังจากที่พวกเราแต่งงานกันแล้ว…ก็ขอให้ซื่อจื่อรับตัวแม่นางเหยาจีเข้ามาในจวนเถิด หวังเพียงซื่อจื่อช่วยรักษาหน้าของเหลียนเอ๋อร์และตระกูลซุนไว้เท่านั้น” 

 

 

“เหลียนเอ๋อร์!” ซุนฮูหยินเอ่ยตะโกนเรียกนางเสียงต่ำ 

 

 

มู่หยางมองหญิงสาวที่ดูแบบบางตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ แววตามีประกายแห่งความยินดี เขาไม่คิดเลยว่านางจะเป็นคนที่ยอมถอยให้ก่อน 

 

 

เหยาจีส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนหมุนตัวเดินต่อไป 

 

 

ท่าทางไม่เห็นผู้ใดอยู่นายตาของนาง ทำให้ซุนฮูหยินที่เดิมก็ไม่พอใจอยู่แล้วถึงกับโกรธจัด “บังอาจ! ท่าทางเช่นนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร!” 

 

 

เหยาจีหันกลับมา ยกยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ข้าพูดไปแล้วว่าจะไม่มีวันเข้าจวนมู่หยางโหว หรือว่าซุนฮูหยินและคุณหนูซุนคิดว่าข้าแกล้งพูดเพื่อหวังผลอย่างอื่นอย่างนั้นหรือ ข้า เหยาจีเป็นนางคณิกาก็จริง แต่มิได้ด้อยค่าเช่นนั้น เหยาจีมิอาจเอื้อมปีนประตูจวนมู่หยางโหว และไม่อยากปีนแล้ว ความกรุณาของคุณหนูซุนข้าคงมิอาจรับไว้ได้ คงมิต้องขอบคุณท่านแล้ว” 

 

 

“เหยาจี เจ้า…” มู่หยางขมวดคิ้ว เขารู้ดีว่าการให้นางแต่งเข้าไปเป็นอนุนั้น ถือว่าไม่ยุติธรรมต่อนางนัก แต่นี่วิธีการบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่นที่ดีที่สุดเท่าที่เขาคิดได้แล้ว 

 

 

เหยาจีหันมองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง ประหนึ่งเป็นคนละคนกับสตรีที่เคยมองเขาด้วยความอบอุ่นและมีเสน่ห์ 

 

 

มู่หยางถอนหายใจเบาๆ “เหยาจี ยอมเพื่อข้าสักนิดไม่ได้เชียวหรือ” 

 

 

ภายในห้องนิ่งเงียบไปพักใหญ่ แล้วจู่ๆ เหยาจีก็หัวเราะออกมาเบาๆ “มู่…มู่หยาง ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าชื่ออะไร” 

 

 

มู่หยางอึ้งไป มองนางด้วยสายตาไม่เข้าใจ เหยาจีส่ายหน้า โบกมือก่อนเอ่ยอย่างเด็ดขาดว่า “นอกเสียจากท่านจะแต่งงานกับข้าอย่างเป็นทางการ มิเช่นนั้น เราอย่าได้พบกันอีกเลยในชาตินี้!” 

 

 

“แต่งงานกับเจ้าอย่างเป็นทางการหรือ” ซุนฮูหยินหันมาจ้องหน้าเหยาจี เอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างเยาะหยันว่า “เจ้าเป็นผู้ใดกันถึงกล้าให้ตระกูลมู่แต่งงานรับตัวเจ้าเข้ามาอย่างเป็นทางการ ต่อให้ยามนี้มู่ซื่อจื่อยังมิได้หมั้นหมาย คนอย่างเจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติเช่นนั้น ที่เหลียนเอ๋อร์ยอมให้เจ้าเป็นอนุถือเป็นความใจกว้างของนาง และเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว อย่าได้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจนทำให้ตัวเจ้าต้องโดนดูถูกเลย” 

 

 

เหยาจีเอ่ยอย่างเย่อหยิ่งว่า “เช่นนั้นแล้วอย่างไร ในเมื่อท่านทำไม่ได้ก็เชิญกลับไปเถิด หรือว่า…ท่านเองก็อยากเห็นข้าถูกดูถูกเช่นเดียวกับพวกเขา” 

 

 

“เหยาจี เจ้า!” มู่หยางขมวดคิ้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธจัด แต่ไหนแต่ไรมาเหยาจีเป็นคนอ่อนโยน เข้าใจอันใดง่าย นางเป็นคนไม่มีเหตุผลเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน 

 

 

เหยาจีดูเหมือนไม่สนใจความไม่พอใจของเขาแม้แต่น้อย ปรายตามองคุณหนูซุนที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยความดูแคลนว่า “ซุนฮูหยินพูดถูก ที่ข้าติดตามท่านก็เพราะอยากแต่งงานเข้าจวนมู่หยางโหวไปเป็นฮูหยินของท่าน ในเมื่อท่านมิอาจแต่งงานกับข้าได้ แล้วท่านจะมาเพื่ออันใด จะให้ข้าเป็นอนุที่ต้องคอยก้มหัวให้กับเด็กสาวที่ไม่มีทั้งความงามและความสามารถ แต่แค่เพียงเกิดมามีชาติตระกูลที่ไม่เลวคนหนึ่งน่ะหรือ ข้า เหยาจียังมิได้ด้อยค่าเช่นนั้น มีบุรุษที่อยากได้ข้ามากมายนัก คงมีสักคนที่ยอมแต่งงานและรับข้าไปเป็นภรรยาเอก…” 

 

 

“พอแล้ว!” มู่หยางหน้าซีดเผือด หันไปดึงคุณหนูซุนที่เจ็บปวดจากคำพูดของเหยาจีจนร้องไห้น้ำตานองหน้า แล้วหันไปพูดกับซุนฮูหยินว่า “ท่านแม่ยาย พวกเรากลับกันเถิด” 

 

 

ซุนฮูหยินเหลือบมองเหยาจี ก่อนหันไปผงกศีรษะพร้อมยิ้มให้เยี่ยหลี “ทำให้พระชายาได้ดูเรื่องน่าขันแล้ว ข้าทูลลาก่อน” 

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้าไม่ส่ง ฮูหยินกลับดีๆ” 

 

 

ทั้งสามคนผลักประตูเดินออกไป มู่หยางไม่ได้หันกลับมามองเหยาจีอีกเลย จึงย่อมไม่เห็นว่ามุมปากที่ขาวซีดของเหยาจีมีเลือดไหลออกมา จนเมื่อเสียงฝีเท้าด้านนอกหายไปแล้ว ร่างของเหยาจีจึงโอนเอนจนเกือบจะล้มลง ชิงซวงและชิงหลวนที่เพิ่งเข้ามาจากด้านนอกรีบร้อนเข้ามาประคองนางให้นั่งลง 

 

 

เมื่อเหยาจีเริ่มทรงตัวได้แล้ว จึงเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้เยี่ยหลี “พระชายายังดูละครไม่หนำใจหรือเพคะ” 

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าทำไปเพื่ออันใดกัน เพื่อมู่หยางแล้วจำเป็นต้องทำร้ายตนเองเช่นนี้เลยหรือ” 

 

 

เหยาจีอึ้งไป ก่อนยิ้มขื่นๆ แล้วกล่าวว่า “ความรักเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว…ยิ่งนานวันยิ่งถลำลึก หากสามารถเลือกเองได้ เหตุใดข้าถึงต้อง…” 

 

 

เยี่ยหลีโบกมือพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เข้าใจแล้ว เมื่อพานพบทะเลชางไห่ สายน้ำใดเลยจะเปรียบปาน พานพบเมฆงามบนเขาอูซาน เมฆใดปานหามิมีอย่างนั้นหรือ ช่างเป็นการคร่ำครวญของศิลปินเสียจริง ไว้เจ้าอดอยากจนไม่มีข้าวให้กิน ไม่มีเสื้อผ้าให้สวมใส่เสียก่อน เจ้าจะรู้ว่าการมีความรู้สึกต่ออันใดมากเกินไปนั้น ล้วนเป็นสิ่งหลอกลวงทั้งสิ้น ชาวบ้านทั่วไปวันๆ วุ่นแต่กับการหาเช้ากินค่ำ เพื่อให้ท้องอิ่มนอนอุ่น หากไม่มีเรื่องความรักแล้วจะไม่ใช้ชีวิตต่อแล้วหรือ” 

 

 

เหยาจีมองนางด้วยสายตาประหลาด “พระชายาเองก็เกิดเป็นทายาทตระกูลสวี ซ้ำยังเป็นผู้ชนะงานบุพผานานาพรรณ เหตุใดความคิดท่านถึงได้…” 

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “โบราณหรือ” 

 

 

เหยาจีไม่พูด แต่สีหน้ากลับแสดงความคิดของตนออกมาอย่างชัดเจน 

 

 

เยี่ยหลีหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “เมื่อยามที่ข้ายังมิได้แต่งงาน เคยคิดว่าตนจะได้เป็นชายาหลีอ๋อง ต่อมาถูกหลีอ๋องถอนหมั้น ข้าคิดว่ายังไม่เท่าไร อย่างมากต่อไปข้าก็เพียงหาคนจากตระกูลธรรมดาๆ แต่มีศีลธรรมดีสักคนแล้วได้ใช้ชีวิตราบเรียบธรรมดาๆ ไปตลอดชีวิต แต่ต่อมาเมื่อได้รับพระราชทานให้แต่งงานกับติ้งอ๋อง ราชโองการมิอาจขัด ข้าจะยอมเอาเกียรติยศของตระกูลเยี่ยและตระกูลสวีมาเสี่ยงหรือ” 

 

 

สถานการณ์ของเยี่ยหลีก่อนแต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องนั้นเหยาจีย่อมรู้ดี ยามนั้นนางยังทอดถอนใจแทนคุณหนูสามตระกูลเยี่ย ไม่คิดเลยว่าผ่านไปยังไม่ถึงปีดี คุณหนูสามตระกูลเยี่ยกลับกลายเป็นคนที่สตรีชนชั้นสูงทั้งเมืองหลวงต่างต้องอิจฉา ส่วนตนกลับเป็นคนที่นางจะต้องมานึกสงสารแทน 

 

 

“ยามนั้นพระชายามีความคิดเช่นไรหรือเพคะ” 

 

 

“จะคิดอันใดได้ พยายามใช้ชีวิตให้ดีเพื่อชีวิตในวันข้างหน้าประไร หรือเจ้าจะให้ข้าคิดไม่ตกจนฆ่าตัวตายหรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นมองนาง 

 

 

เหยาจีย่นคิ้วเล็กน้อย มองนางประหนึ่งไม่เชื่อในสิ่งที่นางพูด “พระชายามิเคยคาดหวังจะมีความรักมาก่อนเลยหรือ” ใช่ว่านางมิรู้ว่านางกับมู่หยางนั้นอย่างไรก็ไม่มีตอนจบที่สวยงาม เพียงแต่นางอยู่ท่ามกลางหญิงคณิกา เห็นความรักและหน่ายรักมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร จึงมักอดไม่ได้ที่คิดอยากไขว้คว้าหาความอบอุ่นและความจริงใจสักเล็กน้อย นางรู้ว่ามู่หยางรักนางด้วยใจจริง เพียงแต่ความจริงใจของเขายังมิอาจทำให้เขาละทิ้งความรับผิดชอบของตนเองได้ ดังนั้น สิ่งที่นางสามารถตอบแทนเขาได้จึงมีเพียงการทำให้เขาสามารถแต่งงานได้อย่างสบายใจและไม่มีอันใดติดค้างในใจอีกต่อไป 

 

 

เยี่ยหลีถอนหายใจเบาๆ “เอาเถิด ข้าไม่ควรหัวเราะเยาะเจ้า เพียงแต่ข้าเห็นว่า…ความรักต้องใช้ความพยายามของทั้งสองฝ่ายในการยึดเหนี่ยวกันไว้ ต่อให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทุ่มเทมากเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้ความรักยืนยาวได้” 

 

 

“มู่หยางรักข้า ข้ารู้ ข้าเองก็รักเขา” เหยาจีเอ่ยเสียงขรึม 

 

 

เยี่ยหลีนั่งเท้าคางมองนาง “ความรักเป็นเรื่องระหว่างคนสองคน แต่พวกเจ้ามีกันสามคน เจ้ารักเขาเขาก็รักเจ้า แล้วคุณหนูซุนจะทำเช่นไร นางต่างหากที่เป็นผู้บริสุทธิ์ที่แท้จริง” 

 

 

เหยาจีกัดริมฝีปากพร้อมจ้องหน้านาง “ท่านคิดว่าคุณหนูซุนท่านนั้นอ่อนแอและบริสุทธิ์เช่นนั้นจริงหรือ” 

 

 

เยี่ยหลีโบกมือเอ่ยว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวว่านางอ่อนแอหรือไม่ นางเป็นคู่หมั้นของมู่หยาง ในใต้หล้านี้ ใช่ว่าหญิงสาวที่ถูกถอนหมั้นทุกคนจะไม่ใส่ใจเช่นข้า ข้าได้ยินว่าตระกูลซุนยึดถือในกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด หากมู่หยางถอนหมั้นนางจริง นางคงได้อยู่เป็นสาวเทื้อคาเรือน ไม่มีทางเลือกอื่น ดังนั้นต่อให้นางเล่นละคร ก็เพียงเพื่อรักษาฐานะที่ถูกต้องของนางเท่านั้น อีกทั้ง นางก็มิได้ฆ่าคน วางเพลิงหรือทำอันใดที่ผิดกฎบ้านเมือง พวกเราไม่ชอบนางได้ แต่มิอาจบอกว่านางผิดได้ หากไม่มีเรื่องระหว่างเจ้ากับมู่หยาง นางก็สามารถเป็นคุณหนูชนชั้นสูงที่อ่อนแอและสง่างามที่แท้จริงและแต่งงานไปกับคนดีอย่างราบรื่น เป็นภรรยาธรรมดาๆ และนายหญิงของจวนมู่หยางคนหนึ่ง เจ้าคิดว่าการที่จู่ๆ คู่หมั้นมาบอกให้รู้ว่าตนเองมีใจให้กับหญิงอื่นก่อนแต่งงานนั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดีหรือ ที่คุณหนูซุนไม่โกรธแค้นจนทำร้ายเจ้าก็ถือว่าจิตใจนางไม่เลวแล้ว” 

 

 

เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ เหยาจีจึงพูดด้วยความมึนงงว่า “เช่นนั้น…เป็นข้าที่ผิดหรือ” 

 

 

เยี่ยหลียกมือขึ้นลูบจมูกอย่างทำตัวไม่ถูก จะให้บอกว่าเป็นความผิดของเหยาจีนั้น นางก็พูดไม่ออกจริงๆ เหยาจีกับมู่หยางรู้จักกันมาอย่างน้อยก็เจ็ดแปดปีแล้ว แต่มู่หยางหมั้นหมายยังไม่ถึงสองเดือนดี หากว่ากันที่ผู้ใดมาก่อนมาหลัง ย่อมมิใช่ความผิดของเหยาจี เพียงแต่ยามนี้ ผู้ที่สามารถแบกรับความผิดนั้นได้คงมีแต่นางเท่านั้น  

 

 

“เรื่องนี้…น่าจะถือว่าชะตาฟ้าแกล้งคนกระมัง เจ้าก็อย่าได้เก็บมาใส่ใจจนเกินไป เจ้าคือแม่นางเหยาจีที่มีทั้งความสามารถและความงาม อีกทั้งฐานะก็ร่ำรวย หากคิดได้ก็ไม่ต้องกลัวว่าชีวิตจะลำบาก ผู้ใดบ้างที่ไม่เคยพบเจอคนเลว 

 

 

เมื่อได้ยินนางใช้คำว่าคนเลว เหยาจีจึงหันมาถลึงตาใส่นางด้วยความไม่พอใจ 

 

 

เยี่ยหลียิ้มเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเขามิใช่คนเลว ก็แค่คนเขาพูดกันอย่างนั้นมิใช่หรือ” 

 

 

เหยาจีอดไม่ได้จึงยิ้มแยกเขี้ยวใส่นางเสียทีหนึ่ง “ถึงแม้พระชายาจะพูดจาไม่น่าฟังสักเท่าไร แต่ข้ารู้ว่าที่ท่านพูดเพราะต้องการให้ข้าคิดได้ เหยาจีขอขอบคุณ เพียงแต่ ด้วยฐานะของพระชายาเหตุใดถึงได้ตั้งใจมาพูดปลอบคนอย่างข้าเล่า” 

 

 

“ข้ามิใช่คนที่ชอบพูดปลอบผู้ใด หากพูดไม่เข้าหูไปบ้างเจ้าอย่าถือสาก็แล้วกัน” เยี่ยหลียิ้มให้นางอย่างขอลุแก่โทษ “ส่วนเรื่องฐานะนั้น…ในเมื่อเจ้าเป็นสหายกับเฟิ่งซาน ข้าจะยอมรับก็ได้ว่าเป็นสหายกับเฟิ่งซานเช่นกัน ต่อให้ด้วยเพราะเห็นแก่หน้าเฟิ่งซาน ข้าก็คงมิอาจนิ่งเฉยอยู่ได้กระมัง” 

 

 

เหยาจียิ้มแล้วลุกยืนขึ้น “เช่นนั้นก็ขอขอบคุณพระชายามาก ทูลลา” 

 

 

เยี่ยหลีหันมองหน้านางก่อนย่นคิ้วแล้วกล่าวว่า “สีหน้าเจ้าดูไม่ดีเอาเสียเลย พักสักหน่อยก่อนค่อยไปไม่ดีหรือ” 

 

 

เหยาจียิ้มพร้อมส่ายหน้า “ไม่เป็นไร หลายวันนี้ข้าเหนื่อยไปหน่อย ข้าคิดว่าจะหลบไปพักนอกเมืองหลวงสัก…” พูดไปได้เพียงครึ่งประโยค ร่างของเหยาจีก็อ่อนลงจะฟุบลงกับพื้นทันที ชิงหลวนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ มือไวรีบคว้าตัวนางกลับมาได้ทัน  

 

 

เยี่ยหลีเองก็ตกใจรีบบอกชิงซวงให้ตามชิงอวี้ที่อยู่ด้านนอกเข้ามาโดยไว ไม่นานชิงอวี้ก็รีบร้อนเข้ามาจับชีพจรให้เหยาจี ก่อนหันมองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าประหลาด 

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยอย่างร้อนใจว่า “มีอันใด พูดมาตรงๆ เร็วเข้า” 

 

 

ชิงอวี้เหลือบมองหญิงสาวในชุดสีแดงที่เอนตัวหมดสติอยู่บนเก้าอี้ ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นมองเยี่ยหลี “ชีพจรลื่นเพคะ นางตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว อาจเป็นได้ว่ามีอันใดกระทบกระเทือนเด็กในครรภ์ จึงทำให้…” 

 

 

กระทบกระเทือนเด็กในครรภ์…คำคำนี้ทำให้เยี่ยหลีมึนงงจนตาพร่าไปหมด รับรู้เพียงในหัวเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงมาไม่หยุด ดังนั้น…เมื่อครู่นางตั้งใจตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับมารดาของเด็กหรือ ยุ่งไม่เข้าเรื่องนี่อย่างไรก็ต้องได้รับผลกรรมสินะ… 

 

 

ถึงแม้ชิงอวี้จะมิใช่หมอ แต่ก็มีจิตใจแห่งความเป็นหมออยู่เต็มเปี่ยม จึงตรวจอาการให้เหยาจีอย่างตั้งใจ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่น เอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “นางนี่…ไม่ระวังเอาเสียเลย ตั้งครรภ์ได้ตั้งสามเดือนแล้วยังทรมานตนเองเช่นนี้อีก ที่ยังรักษาเด็กคนนี้ไว้ได้ก็ถือว่าฟ้าดินเมตตาแล้วเพคะ” 

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “บางทีตัวนางเองอาจยังไม่รู้กระมัง” 

 

 

ชิงอวี้กลอกตาอย่างไม่เห็นด้วย “ตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้วยังไม่รู้ ต้องเป็นคนโง่เพียงใดกัน อีกไม่เท่าไรก็คงพอดูออกแล้ว ต่อให้ปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิดเพคะ!” 

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างเข้าใจ ท้องโตน่ะหรือ นางมองหญิงสาวที่ยังสลบไสลอยู่ด้วยความลำบากใจ ยามนี้ควรทำเช่นไรดี 

 

 

ยุ่งไม่เข้าเรื่อง…