ตอนที่ 109-1 เจรจา

ชายาเคียงหทัย

เยี่ยหลีสั่งให้คนพาเหยาจีกลับไปพักผ่อนด้วยหัวที่ยังเต็มไปด้วยความมึนงง เมื่อกลับมาถึงจวน ซุนหมัวมัวก็เข้ามารายงานว่ามีคนส่งของมาให้ เฉพาะเจาะจงให้พระชายา เยี่ยหลีเปิดกล่องออกดู เห็นเป็นหยกที่ยังไม่ผ่านการแกะสลักก้อนหนึ่ง เพียงมองจากสีเขียวของหยกที่ใสอย่างไม่มีตำหนิ ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นหยกชั้นเลิศชิ้นหนึ่ง

 

 

นางขมวดคิ้วนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ในใจพอรู้ว่าผู้ใดเป็นคนส่งมา นางเงยหน้าถามซุนหมัวมัวว่า “คนให้ได้ทิ้งชื่อแซ่และที่อยู่ไว้หรือไม่”

 

 

ซุนหมัวมัวเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “พระชายามิต้องเป็นกังวล ท่านอ๋องได้ให้คนนำของขวัญขอบคุณไปให้แล้วเพคะ ท่านอ๋องกล่าวว่า หากพระชายาเห็นแล้วถูกใจก็ให้เก็บไว้ หากไม่ถูกใจจะจัดการอย่างไรก็สุดแท้แต่เพคะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “เก็บไว้ก่อนแล้วกัน ไว้เดี๋ยวค่อยว่ากัน ท่านอ๋องอยู่ที่ใด”

 

 

“ท่านอ๋องอยู่ในห้องหนังสือเพคะ คุณชายเฟิ่งกลับมาแล้วเพคะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า หมุนตัวออกเดินไปทางห้องหนังสือทันที

 

 

ก่อนหน้านี้เฟิ่งจือเหยาแยกกับพวกเขาที่เขตยงโจว เขานำหน่วยเฮยอวิ๋นฉีมุ่งหน้าขึ้นเหนือ จึงกลับมาถึงเมืองหลวงช้ากว่าพวกเขาเกือบครึ่งเดือน

 

 

เยี่ยหลีเดินไปถึงประตูห้องหนังสือ ก็ได้ยินเสียงม่อซิวเหยาดังลอยออกมา “อาหลีหรือ เข้ามาสิ”

 

 

เยี่ยหลีผลักประตูเดินเข้าไป เฟิ่งจือเหยายืนขึ้นเอ่ยว่า “คารวะพระชายา”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้ายิ้มน้อยๆ “คุณชายเฟิ่ง มิต้องมากพิธี”

 

 

เฟิ่งจือเหยามองเยี่ยหลีก่อนหันกลับไปมองม่อซิวเหยา รู้สึกว่าทั้งสองคนดูมีอันใดที่ต่างไปจากเดิม “พระชายาเรียกข้าว่าเฟิ่งซานก็ได้”

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มก่อนรับคำ แล้วจึงเดินไปนั่งลงข้างม่อซิวเหยา “มิได้รบกวนพวกท่านใช่หรือไม่”

 

 

ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อันใด อาหลีมีอันใดหรือ”

 

 

เยี่ยหลีเล่าเรื่องที่นางไปเจอเยียหลี่ว์เหยี่ยให้พวกเขาฟัง ก่อนเหลือบมองเฟิ่งจือเหยา แล้วเอ่ยถึงเรื่องที่ตนไปเจอเหยาจีกับมู่หยางเล็กน้อย แต่มิได้พูดเล่าเรื่องที่เหยาจีตั้งครรภ์ให้พวกเขาฟัง เรื่องเช่นนี้ให้เจ้าตัวเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเล่าให้ผู้อื่นฟังหรือไม่จะดีกว่า

 

 

ม่อซิวเหยาเมื่อได้ฟังเรื่องที่เยียหลี่ว์เหยี่ยตั้งใจเอาตัวเข้ามาใกล้ชิดเยี่ยหลีแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว เขาหัวเราะเสียงเย็นก่อนเอ่ยว่า “ดูท่าเรื่องเยียหลี่ว์หงจะยังกดดันเขาไม่พอ ถึงได้มีเวลาว่างมาเดินเล่นในเมืองหลวงของต้าฉู่เช่นนี้ เฟิ่งซาน อีกเดี๋ยวเจ้าไปปล่อยข่าวเรื่องที่เยียหลี่ว์เหยี่ยมาถึงเมืองหลวงและเตรียมเข้าร่วมการคัดเลือกสตรีไปแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ออกไปให้ทั่วนะ”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม พร้อมพยักหน้าเงียบๆ หากข่าวนี้แพร่ออกไป บรรดาผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวงคงเห็นว่าเยียหลี่ว์เหยี่ยปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดีนักเป็นแน่ มาถึงเมืองหลวงก่อนกำหนดเวลาอย่างลับๆ ยังไม่เท่าไร แต่การเข้าร่วมการคัดเลือกสตรีไปแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์นั้นคงเห็นว่าเกินไปมาก ถูกแล้ว ที่ต้าฉู่มิได้ส่งองค์หญิงที่คู่ควรไปแต่งงาน แต่คุณหนูในต้าฉู่ก็มิใช่คนที่จะให้คนเป่ยหรงมาคัดเลือกเอาไปได้ตามใจ

 

 

“อาหลี เกรงว่าเจ้าคงจะเริ่มยุ่งเสียแล้ว รายชื่อสตรีที่ส่งให้เจ้าก่อนหน้านี้เจ้าได้ลองดูแล้วหรือยัง” ม่อซิวเหยาหันหน้ามาเอ่ยถามเยี่ยหลีเสียงเบา

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยต่อว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องระบุว่าจะส่งผู้ใดไปแต่งงาน เพียงแค่เสนอแนะชื่อที่เจ้าเห็นสมควรมาสักสองสามชื่อให้ฝ่าบาททรงเลือกก็พอ สุดท้ายจะเลือกผู้ใดให้สุดแท้แต่ฝ่าบาท”

 

 

เยี่ยหลีย่นคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ “หากทำเช่นนั้น ไม่เท่ากับจะผิดใจกับคนมากขึ้นหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้ม “ท่านในวังมอบหมายให้เจ้าจัดการเรื่องนี้ ไฉนเลยจะให้โอกาสพวกเราไม่ผิดใจกับผู้อื่น หากเรามัวแต่กังวลว่าจะผิดใจกับผู้ใดแล้วเลือกสตรีที่มีพื้นเพตระกูลไม่ดีนักไป อย่าว่าแต่เป่ยหรงจะโวยวายเลย ไม่แน่ว่าท่านในวังอาจใช้เหตุว่าเจ้าจัดการเรื่องได้ไม่เป็นที่พอใจ จนต้องล้มกระดานเลือกใหม่ก็เป็นได้ ถึงตอนนั้นคงได้ผิดใจกับคนมากกว่านี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อาหลีก็ไม่ต้องไปกังวลเรื่องที่จะผิดใจกับผู้อื่นหรอก เลือกคนที่เจ้าคิดเห็นว่าสมควรส่งขึ้นไปก็พอ ส่วนฮ่องเต้จะทรงเลือกผู้ใดนั้น ก็ให้สุดแท้แต่พระองค์ไป หากเขาไม่พอใจผู้ใดสักคนนั่นยิ่งดีใหญ่ ให้เขาเลือกคนทีเห็นควรไปเองเสียเลย”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “เข้าใจแล้ว ข้าจะไปพิจารณาเรื่องพื้นเพตระกูลและความสามารถด้านต่างๆ ของสตรีเหล่านั้นให้ละเอียดอีกที” หากตัดเรื่องความรู้สึกส่วนตัวออกไป พิจารณาเพียงฐานะและคุณสมบัติของแต่ละคนแล้ว ย่อมทำให้เลือกได้ง่ายขึ้นอีกมาก

 

 

เฟิ่งซานจัดการทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว ช่วงบ่ายวันนั้นข่าวเรื่ององค์ชายเจ็ดแห่งเป่ยหรงเดินทางมาถึงเมืองหลวง ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง แม้แต่ชื่อโรงเตี๊ยมที่เยียหลี่ว์เหยี่ยพักอยู่ ก็มีการระบุอย่างชัดเจน เยียหลี่ว์เหยี่ยที่เดิมทีคิดจะยืดเวลาการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ของต้าฉู่ออกไปสักสามสี่วัน จึงทำได้เพียงทิ้งงานทุกอย่างในมือเพื่อเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้โดยทันที ในใจได้แต่ลอบก่นด่าม่อซิวเหยา พร้อมทั้งโมโหตนเองที่คืนวันนั้นตัดสินใจปรากฏตัวทดสอบท่าทีของม่อซิวเหยา จนทำให้ถูกเปิดโปงฐานะของตนเองไปด้วย

 

 

เช้าวันต่อมา ก็มีจดหมายเชิญจากวังหลวงให้ไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับองค์ชายจากเป่ยหรงส่งมายังตำหนักติ้งอ๋อง ม่อซิวเหยาที่กำลังฝึกวิทยายุทธกับเยี่ยหลีอยู่ที่สนามฝึกในสวนด้านหลังเพียงเลิกคิ้วขึ้นและโบกมือให้บ่าวที่เข้ามารายงานถอยออกไป แล้วจึงหมุนตัวกลับไปสอนเพลงดาบให้เยี่ยหลีต่อ

 

 

“พระชายา คุณชายหานและคุณชายเหลิ่งขอเข้าพบเพคะ”

 

 

ม่อซิวเหยาพูดด้วยความไม่พอใจว่า “เขามาทำอันใดอีก” ยามนี้ม่อซิวเหยารู้สึกสงสัยขึ้นมาอย่างหนักหน่วงว่า การที่คราแรกตนให้หานหมิงซีและตระกูลหานอยู่ในความดูแลของอาหลีนั้นเป็นการตัดสินใจที่ยกหินทับเท้าตนเองหรือไม่ ถึงแม้จะไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องความจงรักภักดี แต่ตั้งแต่หานหมิงซีมาถึงเมืองหลวง ก็มาหาอาหลีได้ไม่เว้นแต่ละวัน แม้ยามนี้เขาจะย้ายออกจากตำหนักติ้งอ๋องไปอยู่ที่อื่นแล้ว แต่ก็ยังคงไม่ลดลาวาศอก ท่านติ้งอ๋องที่ลมเพชรหึงขึ้นหน้ามิได้สนใจฟังเลยว่ายังมีเหลิ่งเฮ่าอวี่ที่แต่งงานไปแล้วขอเข้าพบด้วยเช่นกัน

 

 

เยี่ยหลีเก็บดาบเข้าฝัก หันไปยิ้มให้เขา “หลายวันนี้หมิงซีมิได้ยุ่งอยู่กับการหารือเรื่องการทำการค้าร่วมกันกับเหลิ่งเฮ๋าอวี่อยู่หรือ เดาว่าน่าจะมีความคิดใหม่ๆ อยากมาปรึกษาข้ากระมัง”

 

 

สำหรับหานหมิงซีแล้ว เหลิ่งเฮ่าอวี่ถือว่าเป็นพ่อค้าใหญ่ น้องชายที่มีภาพลักษณ์อย่างคุณชายเจ้าสำราญเอาแต่เที่ยวเล่นไปวันวันนั้น ดูแลกิจการของตำหนักติ้งอ๋องอยู่กว่าครึ่ง หากมีเขาร่วมด้วย หานหมิงซีย่อมทำการค้าได้ใหญ่ขึ้น เมื่อคิดถึงจุดนี้ หานหมิงซีก็ประหนึ่งเห็นเงินจำนวนมหาศาลลอยไปลอยมาอยู่ตรงหน้า หลายวันนี้จึงยุ่งจนขาแทบไม่ติดพื้น ดังนั้น…อันที่จริงคนตระกูลหานต่างมีความชื่นชอบในตัวเงินด้วยกันทั้งสิ้น มิใช่มีหานหมิงเย่ว์คนเดียวที่มีนิสัยเช่นนี้

 

 

“ข้าจะไปฟังด้วย อาหลีต้อนรับข้าหรือไม่” ม่อซิวเหยาเอ่ยถาม

 

 

เยี่ยหลีก้มหน้าลงกลั้นหัวเราะไว้ ทำเป็นไม่เห็นสีหน้าหึงหวงของใครบางคน เพียงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อเหลิ่งเฮ่าอวี่ก็เข้ามาร่วมด้วยแล้ว ยังจะมีความลับอันใดกับท่านอ๋องอีกหรือ”

 

 

อันที่จริง บางครั้งเยี่ยหลีก็รู้สึกว่าการที่แบ่งคนของตนและของม่อซิวเหยาออกจากกันอย่างชัดเจนเช่นนี้ บางครั้งก็ทำให้ใช้งานได้ไม่สะดวกนัก แต่ในขณะเดียวกันนางก็รู้ดีว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะอนาคตของตำหนักติ้งอ๋องยังไม่แน่ไม่นอน ม่อซิวเหยาจึงต้องการให้นางมีอำนาจเป็นของตนเอง เพื่อที่หากเกิดอันใดขึ้นในอนาคต จะได้ยังพอมีที่พึ่งพิงได้บ้าง ดังนั้นด้วยด้วยน้ำใจของม่อซิวเหยาในเรื่องนี้ ทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง

 

 

ภายในห้องหนังสือ เมื่อเห็นม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีเดินจูงมือกันเข้ามา เหลิ่งเฮ่าอวี่และหานหมิงซีต่างลุกยืนขึ้นต้อนรับ

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มเรียบๆ พยักหน้า “ไม่ต้องมากพิธี นั่งลงเถิด”

 

 

เยี่ยหลียิ้ม หันมองหานหมิงซีที่สีหน้าดีขึ้นไม่น้อยแล้วกล่าวว่า “หมิงซี มาแต่เช้าเช่นนี้ด้วยเพราะมีเรื่องอันใดหรือ”

 

 

หานหมิงซีพยักหน้า เลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “มีเรื่องนิดหน่อยจริงๆ หลายวันนี้ข้าปรึกษากับเหลิ่งเอ้อร์ไปพอสมควรแล้ว ทางฝั่งต้าฉู่นี้เหลิ่งเอ้อร์จะเป็นคนรับผิดชอบดูแล ไว้อีกสักสามสี่วัน ข้าวางแผนว่าจะไปที่หนานจ้าวและซีหลิงสักหน่อย ส่วนทางเป่ยหรงคงชะลอไว้ก่อน”

 

 

หากว่ากันที่เรื่องการค้าแล้ว เป่ยหรงเป็นแคว้นที่การค้าพัฒนาไปน้อยที่สุดในบรรดาสี่แคว้น การค้าจากจงหยวนหลายอย่างที่เมื่อไอยู่ที่เป่ยหรงแล้ว กลับขยายไม่ได้และทำเงินไม่ได้เอาเสียเลย

 

 

เยี่ยหลีเอียงคอคิดเล็กน้อย “ได้ยินว่าที่เป่ยหรงมีเหมืองเงินและเหมืองทองอยู่ไม่น้อย”

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่พยักหน้า “ใช่แล้ว ถึงแม้เป่ยหรงจะตั้งอยู่ค่อนข้างไกลทั้งยังหนาวเหน็บ แต่กลับมีเหมืองเงินและเหมืองทองอยู่มาก ดูจากเพียงชนเผ่าชั้นสูงของเป่ยหรงก็พอจะดูออกแล้ว”

 

 

ชนเผ่าที่พอมีหน้ามีตาหน่อยของทางเป่ยหรง ไม่ว่าหญิงหรือชายต่างชื่นชอบการใช้เครื่องประดับทองชิ้นใหญ่ๆ ประดับตกต่างประหนึ่งเป็นตู้ทองเคลื่อนที่ได้ จริงอยู่ที่คนจงหยวนนึกดูถูกคนทางเหนือที่ป่าเถื่อนและไร้อารยะ แต่ผู้ใดเลยจะพูดได้ว่าตนไม่นึกอิจฉาพวกเขาที่สามารถนำทองมาใช้อย่างเงินไปได้

 

 

“ความหมายของพระชายาคืออันใดหรือ” เหลิ่งเฮ่าอวี่ถามด้วยความสงสัย คงมิมีผู้ใดนึกรังเกียจว่าหากมีทองมากไปจะกัดมือเอากระมัง “เพียงแต่เหมืองที่ใหญ่หน่อยของเป่ยหรงล้วนอยู่ในการควบคุมดูแลของราชนิกุล อีกทั้งคนเป่ยหรงไม่ต้อนรับคนนอกอย่างมาก หากพวกเราคิดจะยื่นมือเข้าไปในการค้าส่วนนี้คงเป็นไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่สิ ข้ามิได้คิดจะยื่นมือเข้าไปในเหมืองทองของพวกเขา ของมีค่าของเป่ยหรงมิได้มีเพียงเหมืองทอง แต่ยังมีม้าศึกของพวกเขาด้วย”

 

 

หานหมิงซีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ม้าศึกของเป่ยหรงมีการควบคุมอย่างเข้มงวดเสียยิ่งกว่าเหมืองทองอีกนะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม้าศึกของเป่ยหรงมีชื่อเสียงสั่นสะเทือนไปทั่วใต้หล้า ในแผ่นดินต้าฉู่ก็มิอาจผลิตม้าพันธุ์ดีออกมาได้ ม้าที่ใช้ในกองทัพทหารม้าของต้าฉู่ โดยมากเป็นม้าต้าฉู่กับม้าเป่ยหรง และมีกระทั่งม้าที่ผสมข้ามสายพันธุ์ แต่เมื่อเทียบกับม้าสายพันธุ์เป่ยหรงแท้แล้ว ก็ยังต่างกันอยู่เล็กน้อย ยังโชคดีที่ภูมิประเทศของต้าฉู่มิใช่พื้นราบที่เป็นทุ่งหญ้า ประโยชน์ของทหารม้าจึงห่างไกลกับเป่ยหรงมาก มิเช่นนั้นเรื่องม้าศึกนี้คงกลายเป็นปัญหาใหญ่

 

 

หานหมิงซีรู้ว่าที่เยี่ยหลีถามถึงเรื่องนี้ย่อมเป็นเพราะคิดถึงกองทัพตระกูลม่อและหน่วยเฮยอวิ๋นฉี รู้ทั้งรู้ว่าตนไม่มีสิทธิ์พูดในเรื่องนี้ แต่ยังอดปวดใจขึ้นมาไม่ได้ เขาปรายตามองม่อซิวเหยาที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ก่อนเอ่ยว่า “ไม่ว่าพวกเราจะทุ่มเงินลงไปเท่าไร เป่ยหรงก็ไม่มีทางขายม้าให้พวกเราอย่างแน่นอน ต่อให้ซื้อมาได้ก็คงเป็นเพียงม้าชั้นเลวเท่านั้น อีกอย่าง…เรื่องม้าศึกนี้ มิใช่ปัญหาของราชสำนักหรือผู้บัญชาการกองทัพจะต้องเป็นคนแก้ไขหรือ หากจวินเหวยยื่นมือเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ แล้วไปเกิดทำให้ราชสำนักนึกสงสัยเข้าจะยิ่งไม่เป็นการดีนะ”

 

 

เยี่ยหลียิ้มตาหยีพร้อมเอ่ยว่า “หากซื้อขายอย่างเปิดเผย ย่อมมิมีผู้ใดยอมขาย แต่ว่ามีการค้าอีกประเภทที่เรียกว่า…ใต้ดินมิใช่หรือ”

 

 

“ใต้ดินหรือ”

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “การค้าใต้ดิน ไม่ผ่านด่านและไม่ต้องเสียภาษี ทุนน้อยแต่ได้กำไรมาก”

 

 

เหลิ่งเฮ่าอวี่ยกมือนวดหน้าผากหัวเราะ “ความหมายของพระชายาคือให้พวกเราลักลอบส่งคนไปซื้อม้าอย่างนั้นหรือ ที่เป่ยหรงการขายม้าชั้นดีให้แคว้นอื่นมีโทษถึงประหารนะพ่ะย่ะค่ะ”