ตอนที่ 129 ค่ำคืนที่ตื่นตระหนก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 129 ค่ำคืนที่ตื่นตระหนก

หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลักพาตัวไปเพียงไม่นานซูม่อก็กลับมาถึงโรงเตี๊ยม

เขาเปิดประตูเข้าไปยังห้องของฟู่เสี่ยวกวน คิ้วขมวดขึ้นมาทันพลัน ตู้เสื้อผ้าข้างประตูล้มลงไปกับพื้น หน้าต่างที่อยู่ตรงกันข้ามถูกเปิดออก และคุณชายหายตัวไป

ในใจของเขามีคำว่าซวยแล้วดังขึ้นมา จากนั้นก็ไปเคาะประตูเพื่อเรียกชุนซิ่ว

“ตอนนี้เจ้าจงฟัง อย่าตื่นตระหนก คุณชายหายตัวไป ข้าต้องการให้เจ้ารีบไปทำเรื่องหนึ่ง”

ชุนซิ่วจะไม่ตื่นตระหนกได้เยี่ยงไร ดวงตาของนางเบิกกว้างอย่างตกตะลึง ซูม่อกล่าวอีกว่า “เจ้าจงไปจวนต่งบัดเดี๋ยวนี้ จะต้องเข้าพบคุณหนูต่งให้จงได้ไม่ว่าจะด้วยหนทางใดก็ตาม เจ้าบอกกับนางเรื่องที่คุณชายหายตัวไปก็พอแล้ว นางรู้ว่าจะต้องจัดการเยี่ยงไรต่อไป”

ซูม่อกล่าวจบก็กลับไปยังห้องของฟู่เสี่ยวกวน และโผบินออกไปทางหน้าต่าง

เมืองหลวงที่ใหญ่โต มองไปทางใดก็เห็นแต่แสงไฟ ควรจักไปหาจากที่ใดกัน ?

ชุนซิ่วถลกชายกระโปรงและวิ่งออกไปด้านนอกโรงเตี๊ยม ระยะห่างระหว่างโรงเตี๊ยมและจวนต่งมิไกลกันนัก นางวิ่งไปจนถึงหน้าประตูจวนต่ง สองมือคว้าที่เคาะประตูทั้งสองและตะโกนลั่น “เร็วเขา รีบมาเร็วเข้า ข้าต้องการพบคุณหนูชูหลาน ! ”

ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ประตูด้านหนึ่งของประตูบานใหญ่ก็ถูกแง้มออก เขาขยี้ตาเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยถาม “เจ้าเป็นใคร มีเรื่องเร่งด่วนอันใดถึงต้องมาพบคุณหนูกลางค่ำกลางคืนเยี่ยงนี้ ? ”

“เร็วเข้า ให้ข้ารีบเข้าไป คุณชายของข้าหายตัวไป ข้าต้องรีบไปพบคุณหนูต่งประเดี๋ยวนี้” ชุนซิ่วกล่าวอย่างตื่นตระหนก ผู้ดูแลประตูหน้านิ่วคิ้วขมวด “คุณชายคือผู้ใดกัน ? ”

“ฟู่เสี่ยวกวนเจ้าค่ะ คุณชายของข้าคือฟู่เสี่ยวกวน ! ”

“โอ้ ฟู่เสี่ยวกวน ขอประทานโทษด้วยคุณหนู ฮูหยินใหญ่มีคำสั่งว่าฟู่เสี่ยวกวนมิสามารถเข้ามาในจวนต่งได้”

ในตอนที่ผู้ดูแลประตูเรือนกำลังจะปิด ชุนซิ่วที่มิรู้ว่าไปเอากำลังมาจากที่ใด ทันใดนั้นนางก็กระแทกเข้าไป ผู้ดูแลไหนเลยจะคาดการณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์เยี่ยงนี้ขึ้น ทันทีที่ประตูเรือนถูกชุนซิ่วกระแทกจนเปิดออก และประตูเรือนก็กระแทกเข้าที่ใบหน้าผู้ดูแลอย่างจัง เลือดไหลออกจากทางหน้าผากและจมูกในทันที ชุนซิ่วเข้าไปในจวนต่งได้ ก็วิ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง

“คุณหนูต่ง ! คุณหนูต่งเจ้าคะ…!”

ชุนซิ่ววิ่งไปพลางตะโกนร้อง ทำเอาผู้คนมากมายต่างแตกตื่น

ไฟสว่างขึ้นทันพลัน มีทหารยามวิ่งเข้ามา เสียงเอ่ยถามเซ็งแซ่ และเสียงตวาดลั่น

“มีมือสังหาร ! ”

“คุณหนูต่งเจ้าคะ ! ”

เสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดชุนซิ่วก็ถูกทหารยามกลุ่มหนึ่งล้อมรอบเอาไว้ “อย่าขวางข้า ข้ามีเรื่องเร่งด่วนต้องไปพบกับคุณหนูของเจ้า ! ”

“ก็แค่คนบ้าเท่านั้น ควบคุมตัวแล้วเอาไปขังเสีย อย่าให้ไปรบกวนการพักผ่อนของนายท่านได้”

ต่งชูหลานที่อาบน้ำเสร็จแล้วแต่ยังมิได้นอน ในยามนี้กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะอักษรและใคร่ครวญถึงแผนการตลาดที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวไว้ ทันใดนั้นนางเหมือนได้ยินเสียงโวยวายดังขึ้นทางด้านนอกอย่างเลือนราง ราวกับมีเสียงของเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังเรียกนางอยู่

นางวางพู่กันและเดินออกไป เมื่อมาถึงชานเรือน เสียงก็ยิ่งดังฟังชัดขึ้น หลังจากนั้นนางจึงได้เห็นชุนซิ่วที่กำลังดิ้นรน

“หยุดประเดี๋ยวนี้ ! ” ต่งชูหลานตะโกนลั่น ปรี่เข้าไปและเอ่ยถาม “ชุนซิ่ว เกิดเรื่องอันใดขึ้น ? ”

“คุณชายเจ้าค่ะ คุณชาย ท่าน ท่านหายตัวไปเจ้าค่ะ”

“อะไรนะ ! ” ต่งชูหลานตกใจอย่างยิ่ง

“ซูม่อให้ข้ามาหาท่าน เขาได้ออกไปตามหาคุณชายแล้วเจ้าค่ะ”

“ปล่อยนาง…” ต่งชูหลานครุ่นคิดเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น แล้วจึงหันไปกล่าวกับทหารยามผู้หนึ่ง “เตรียมรถ”

“ดึกดื่นเยี่ยงนี้คุณหนูต้องการ…”

“ข้าสั่งให้เจ้าไปเตรียมรถ ! ” ต่งชูหลานตวาดลั่น ทหารยามผู้นั้นจึงรีบวิ่งออกไปทันที

“ไป เจ้าไปด้วยกันกับข้า”

ห้องโถงเรือนใหญ่ของจวนต่ง ฮูหยินต่งเตรียมจะปรี่ออกไปด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยว แต่เสนาบดีต่งกลับขวางทางนางเอาไว้ “ปล่อยนางไป”

“เหตุอันใดเจ้าคะ ? ”

“มิมีเหตุใดทั้งนั้น ! ”

รถม้าหนึ่งคันทะยานออกไปในค่ำคืนที่เงียบสงบ และตรงไปทางจวนฉินท่ามกลางแสงไฟสลัว

นี่มิใช่จวนฉินที่ฉินปิ่งจงอาศัยอยู่ แต่เป็นจวนฉินที่เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ทั้งหก

คนที่ต่งชูหลานต้องการพบก็คือฉินโม่เหวิน ผู้ว่าการเมืองจินหลิงคนปัจจุบัน มีเพียงเขาที่จะระดมกำลังพลของศาลาว่าการของเมืองหลวงทั้งทางเหนือและใต้ได้

เพียงหนังสือเยี่ยมเยือนของต่งชูหลานเข้าไปได้ไม่นาน ฉินโม่เหวินก็เดินออกมา เขาทราบดีว่าที่ต่งชูหลานมาหาเขาในยามนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ใหญ่คับฟ้าเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงมิได้ให้ผู้ดูแลเชิญต่งชูหลานเข้ามา

“ฟู่เสี่ยวกวนหายตัวไปเจ้าค่ะ ! ” ต่งชูหลานมิมีความคิดจะเข้าไปเช่นกัน เพียงกล่าวประโยคนั้นออกไปตรง ๆ

ฉินโม่เหวินเองก็คิ้วขมวดเช่นกัน “นานเท่าใดแล้ว ? ”

“เกือบจะหนึ่งชั่วยามแล้วเจ้าค่ะ”

“ไป ไปจวนผู้ว่ากับข้า”

เป็นเวลากลางคืน ทหารลาดตระเวนนับพันนายของศาลาว่าการเหนือและใต้ของจินหลิงออกตัวไป เพื่อตามหาทุกซอกมุมภายในเมืองหลวง

ในบรรดาเหล่านั้นมีทหารลาดตระเวน 100 นายที่ควบม้าเร็วออกไปทางสี่เส้นทางออกนอกเมืองหลวง ออกไปตามหาด้านนอกตัวเมืองหลวง

……

…..

ในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนหลบอยู่ด้านหลังก้อนหินยักษ์ก้อนหนึ่ง เขาใช้ดาบตัดแขนเสื้อออกหนึ่งข้าง ใช้ไม้ขนาดสั้นสองชิ้นมารองรับไว้ และมัดเข้ากับสะบักซ้าย

ตามประสบการณ์ในชาติก่อนของเขา บาดแผลนี้มินับว่าเป็นบาดแผลที่ร้ายแรงนัก แต่ระยะเวลาในการฟื้นตัวให้หายดีกลับต้องใช้เวลานานเป็นอย่างยิ่ง

สุดท้ายเมื่อมัดสะบักซ้ายไว้อย่างดีแล้ว เขาก็เช็ดเหงื่อบนใบหน้า หย่อนก้นลงนั่งกับพื้น แต่กลับต้องร้องซี้ดขึ้นมา สูดลมหายใจเข้าก็และยืนขึ้นอีกครา

ลืมไปสิ้นว่ายังมีอีกหนึ่งรูอยู่ที่ก้น ใช้มือสัมผัส ก็สัมผัสได้ถึงความเหนียวหนืดไปทั้งมือ เลือดยังคงไหลอยู่

สถานที่มืดมิดของภูเขาที่แห้งแล้งนี้ เขาไร้หนทางจะตามหาสมุนไพรที่ใช้ห้ามเลือดได้ ทำได้เพียงตัดเสื้อปั้นเป็นลูกกลม ๆ และอุดไว้ที่ปากแผลตรงก้น

เขาไม่รู้ว่านอกจากโจรสองคนนี้แล้วยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดอีกเท่าใด ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเคลื่อนไหวจนเกินความจำเป็น และไม่กล้าแม้แต่จะก่อกองไฟ จนถึงตอนนี้เขาก็ได้ย้ายสถานที่ เปลี่ยนไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ทางด้านหลัง

ที่เอวของเขาคาดดาบไว้หนึ่งเล่ม แบกคันศรไว้ที่ไหล่ ภายในถุงธนูนั้นมีลูกธนูสองดอกที่ปักอยู่บนศพพี่สี่

นี่คือปัจจัยพื้นฐานในการอยู่รอดของเขา ในตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือรอจนฟ้าสว่างอย่างสงบ เขาเชื่อว่าซูม่อจะคิดหาหนทางในยามที่เขาไม่อยู่ได้

เมื่อวิเคราะห์ตามดวงจันทร์และดวงดาว ที่ตั้งของเขาในตอนนี้อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองจินหลิง เขาย่อมมิรู้จักนามของเขาลูกนี้ แต่เมื่อคำนวณจากเวลาแล้ว ระยะทางคงไม่ไกลจากจินหลิงเท่าใด

โจรทั้งสองคนได้ถูกเขาสังหารไปแล้ว เขาคงไปไต่ถามผู้ที่สั่งการอยู่เบื้องหลังมิได้ เบาะแสเพียงหนึ่งเดียวคือหญิงสาวนามหลินหงจากหอเยียนจือที่เจ้าเจ็ดได้เอ่ยถึง

แน่นอนว่าเขานั้นมิได้ค้นตัวโจรทั้งสอง หวังว่าจะหาเบาะแสจากร่างของพวกเขาได้มากขึ้น

นึกถึงช่วงเวลาที่มาถึงจินหลิงมากว่าหนึ่งเดือนนี้ จากภายนอกผู้ที่ผิดใจกับเขาก็เหมือนจะมีชือเฉาหยวนเพียงผู้เดียว สำหรับเยี่ยนซีเหวิน… ฟู่เสี่ยวกวนนึกคิดใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน แม้เวลาที่ได้คลุกคลีกับเยี่ยนซีเหวินจะมีมิมาก คนผู้นี้ถึงแม้บางเวลาจะหลุดความไม่พอใจที่มีต่อตัวเขาออกมาบ้าง แต่ท้ายที่สุดก็ค่อนข้างจะนับถือกัน แต่ก็ไม่แน่เสมอไป อย่างไรก็เป็นลูกหลานของตระกูลเยี่ยน หากเมืองนี้ลึกลับอีกสักเล็กน้อย ตนเองก็คงยากที่จะมองออกเช่นกัน

ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ชอบต่งชูหลานอย่างแท้จริง หากตนเองตายไป โอกาสของเขาก็จะมากยิ่งขึ้น

โจรทั้งสองย่อมรู้ว่าคืนนี้ตนเองจะต้องไปหงซิ่วจาว หากซูม่อไม่ไปส่งหยูเวิ่นหวิน โจรสองคนนั้นก็จะมิมีโอกาสลงมือเช่นกัน นี่คือเรื่องบังเอิญ เพราะซูม่อมิได้อยู่ในแผนการของฝ่ายตรงข้าม

ในยามที่กำลังครุ่นคิดนั้น ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ สว่างขึ้น

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกหนาวเล็กน้อย ร่างกายสั่นสะท้าน นั่นเป็นอาการจากการเสียเลือดมากเกินไป เขาต้องกลับให้ถึงจินหลิงโดยเร็ว

ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากในป่า นั่นคือเสียงฝีเท้า เสียงดังอย่างมาก เมื่อลองตั้งใจฟังอย่างน้อยก็มีกันประมาณ 10 คน

เขามิทราบว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นมิตรหรือศัตรู ดังนั้นจึงได้ออกห่างจากต้นไม้นั้นอย่างช้า ๆ ไปยังที่ห่างไกลออกไป และปีนขึ้นไปบนยอดต้นไม้