ตอนที่ 661 นี่มันไม่ใช่มังกรอ้วนของข้า

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ฉินมู่มีสีหน้าแช่มชื่นพลางพยายามช่วยพยุงเขาลุกขึ้นมา ในความเป็นจริงแล้ว เขายกพยุงอีกฝ่ายไม่ขึ้นหรอก แต่เพียงแค่แสดงสัญญาณสันติภาพเท่านั้น โอรสเทพแสงฉานรีบกล่าว “อย่าแตะตัวข้า กระดูกข้าหักอยู่!”

ฉินมู่ปล่อยเขาไปทันที และกล่าวอย่างเที่ยงธรรม “นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันระหว่างพวกเรา ข้าเข้าใจผิดว่าโอรสเทพคิดจะสังหารข้า และองค์ชายก็เข้าใจผิดว่าข้ามีเจตนาร้ายต่อโลกลอยเลื่อน ดังนั้นก็เลยเกิดความขัดแย้งนี้ขึ้น แต่สวรรค์เมตตาพวกเรา และตอนนี้ความเข้าใจผิดก็คลี่คลายไปแล้ว เป็นเรื่องดีที่ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น”

หางตาของโอรสเทพแสงฉานกระตุก ไม่มีความเสียหาย? เจ้าตาบอดหรืออย่างไร เจ้าไม่เห็นข้าคุกเข่าพังพาบข้างหน้าเจ้ารึ เจ้าไม่เห็นทหารหาญแห่งแสงฉานที่ตายไปพวกนี้หรืออย่างไร

แม้กระทั่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ก็มียอดหักหาย โถงศักดิ์สิทธิ์ก็พังพินาศไปหมด

ฉินมู่มองไปรอบๆ ขณะที่พูดจา เขาหมายที่จะให้เทพเจ้าบนท้องฟ้า ผู้ซึ่งยังคงไม่กล้าลงมา และโอรสเทพแสงฉาน ได้ยินสิ่งที่เขาจะพูด “ข้าเพิ่งได้พบกับจักรพรรดิแดงฉานเมื่อครู่นี้ และเขามองเห็นปฏิภาณอันเลิศล้ำเหนือธรรมดาของข้า เขาเวทนาพรสวรรค์ของข้า ดังนั้นจึงถ่ายทอดสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิมให้ข้า”

หลังจากได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ก็เกิดเสียงอึงคะนึงขึ้นมาในอากาศ แม้แต่โอรสเทพแสงฉานก็ตกตะลึงไป

จักรพรรดิแดงฉานได้คิดค้นสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิม แต่ตั้งแต่เมื่อเขาสิ้นชีวิตไป มันก็ได้หายสาบสูญด้วยเช่นกัน แม้แต่จักรพรรดิแสงก็ไม่ได้ฝึกปรือวิชานี้ และเขาต้องมาคิดค้นวิชาฝึกปรือใหม่ด้วยตนเอง–คัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหล

วิชาบู๊เทวะไม่รั่วไหลที่ผานกงสั่วฝึกปรือก็มาจากคัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหล

จักรพรรดิแสงพยายามที่จะสร้างสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่เขาไม่เคยทำได้สำเร็จ นี่ก็เพราะว่าจักรพรรดิแต่ละคนแห่งยุคสมัยแสงฉานล้วนแต่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของตน จักรพรรดิแดงฉานนั้นเชี่ยวชาญในวิชาเสกสรรจิตวิญญาณดั้งเดิม แต่เขาไม่มีความสำเร็จด้านกายเนื้อไม่มากนัก ในทางกลับกัน จักรพรรดิแสงเชี่ยวชาญในวิชาเสกสรรกายเนื้อ แต่เขาไม่มีความสำเร็จด้านวิชาเสกสรรจิตวิญญาณดั้งเดิมมากเท่าไร

ดังนั้น ในช่วงยุคสมัยจักรพรรดิแดงฉาน ผู้ฝึกวิชาเทวะจึงมีจิตวิญญาณดั้งเดิมสามเศียรหกกรเป็นเอกลักษณ์ ขณะที่ระหว่างยุคสมัยจักรพรรดิแสง ผู้ฝึกวิชาเทวะจึงมีกายเนื้อสามเศียรหกกรเป็นเอกลักษณ์ หนึ่งนั้นแข็งแกร่งในจิตวิญญาณดั้งเดิม และอีกหนึ่งนั้นแข็งแกร่งในกายเนื้อ พวกเขาทั้งสองล้วนแต่มีจุดเด่นเหนือธรรมดา แต่ทั้งสองก็มีจุดอ่อนที่เห็นได้ชัดด้วยเช่นกัน

ครั้งหนึ่งจักรพรรดิแสงเคยกล่าวว่า หากว่าพวกเขาสามารถได้มาซึ่งสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิมของจักรพรรดิแดงฉาน พวกเขาก็จะสามารถผลักดันวิชาฝึกปรือแห่งยุคสมัยแสงฉานขึ้นไปอีกระดับขั้น ไปถึงความสำเร็จที่พวกเขาไม่เคยไปถึงมาก่อน แต่ทว่า จักรพรรดิแดงฉานได้หายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอย

สาเหตุที่โอรสเทพแสงฉานมักจะมาเยี่ยมเยือนโถงศักดิ์สิทธิ์บ่อยครั้ง นอกจากจะมาสักการะจักรพรรดิแดงฉานและรำลึกอนุสรณ์บรรพชนแล้ว ก็ยังเป็นเพราะว่าเขาต้องการได้สำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิมมาจากสมองของจักรพรรดิแดงฉาน

แต่ทว่า ทำไมจักรพรรดิแดงฉานถึงถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่คนนอก ทั้งที่เขาวิงวอนขอมาตลอดห้าหมื่นปี

หรือว่าจิตใจของจักรพรรดิแดงฉานจะกว้างขวางขนาดที่ว่าเขาไม่มีการเลือกปฏิบัติต่อต่างเผ่าพันธุ์แล้ว

“จักรพรรดิแดงฉานสั่งความข้ามาว่าสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิมเป็นวิชาฝึกปรือของยุคสมัยแสงฉาน และข้าจะต้องถ่ายทอดให้กับผู้คนแห่งแสงฉาน”

ฉินมู่มีใบหน้าอันเกลื่อนยิ้มและกล่าวอย่างชัดเจน “จักรพรรดิแดงฉานยังคงกล่าวกับข้าว่า เขาพบว่าลูกหลานทั้งหลายในโลกลอยเลื่อนน่าผิดหวังนัก พวกเจ้าไม่มีจิตฮึดสู้อีกต่อไปหลังจากกลายเป็นแกะเชื่องๆ ที่รู้จักแต่ร้องแบ๊ะๆ ดังนั้นจักรพรรดิแดงฉานจึงบอกให้ข้าสร้างแรงกดดันให้แก่พวกเจ้า เขากล่าวว่าให้โอรสเทพถ่ายทอดวิชาฝึกปรือของจักรพรรดิแสงให้แก่ข้า เพื่อว่าข้าจะเป็นแรงกดดันกระตุ้นพวกเจ้า เมื่อโอรสเทพสามารถเอาชนะข้าได้ที่ขั้นวรยุทธเดียวกัน และเหนือล้ำกว่าข้าไปได้ เมื่อนั้นเขาถึงจะยอมรับพวกเจ้า”

ในดวงตาที่สามของฉินมู่ ทารกยักษ์ เทพสรรพชีวิต และจักรพรรดิแดงฉานได้ยินการสนทนานี้ดังมาจากท้องฟ้า จักรพรรดิแดงฉานแค่นเสียงและพยายามที่จะโต้แย้งไป “ข้าไม่ได้พูดอย่างนั้น ใช่เลย ข้าบอกเขาชัดๆ ว่าให้ถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่สหายร่วมเผ่าข้าให้จงได้ จริงด้วย ข้าได้ยินเขาบอกว่าจะถ่ายทอดให้ แต่เขาไม่บอกว่าเขาจะกรรโชกทรัพย์…”

โอรสเทพแสงฉานรู้อยู่แก่ใจว่าฉินมู่ปั้นถ้อยคำพวกนั้นขึ้นมาเอง แต่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าถ้อยคำเหล่านี้มาจากจักรพรรดิแดงฉานจริงๆ หรือไม่

เขาชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสีย ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาจำเป็นจะต้องได้มาซึ่งวิชาฝึกปรือของจักรพรรดิแดงฉาน เขาไม่มีทางแย่งชิงมาด้วยกำลังได้เป็นอันขาด ดังนั้นวิธีที่เหลืออยู่ก็คือแลกเปลี่ยนกับวิชาฝึกปรือของจักรพรรดิแสง

แม้ว่าการกระทำเช่นนี้จะเสริมพลังอำนาจให้แก่ฉินมู่อย่างมีนัยสำคัญ แต่ผู้คนแห่งโลกลอยเลื่อนก็จะสามารถได้รับวิชาฝึกปรืออันสมบูรณ์แบบบและไร้ที่ติทำให้ทั้งจิตวิญญาณดั้งเดิมและกายเนื้อของพวกเขารุดหน้าไปพร้อมๆ กัน!

โดยรวมแล้ว ข้อดีมีมากกว่าข้อเสีย

“ตกลง!” โอรสเทพแสงฉานตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม

หลังจากนั้นสิบกว่าวัน เรือเหาะสิบกว่าลำแห่งโลกลอยเลื่อนแสงฉานก็ออกจากท่าในที่สุด ก่อขึ้นมาเป็นกองเรืออันยิ่งใหญ่ที่แล่นใบออกจากโลกลอยเลื่อน

โลกลอยเลื่อนได้อพยพประชากรออกไปครึ่งหนึ่งในรวดเดียว ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งนั้นยังคงอยู่ในโลกลอยเลื่อน โอรสเทพแสงฉานกล่าวว่า เพราะไม่อาจเอาไข่ไว้ในตะกร้าเดียวกัน

ฉินมู่อาศัยอยู่ด้วยกันบนเรือลำเดียวกับหลิงอวี้จิวและคณะ เรือเหาะแต่ละลำเหมือนกับแผ่นดินเล็กๆ ที่มีภูเขา แม่น้ำ และดินอันอุดมอันรองรับผู้คนได้นับสิบหมื่น

ด้วยเรือเหาะมากกว่าสิบลำ ก็มีผู้คนหลายร้อยหมื่น และก็เป็นประชากรครึ่งหนึ่งของโลกลอยเลื่อน!

ในโลกลอยเลื่อนมีประชากรไม่มากนัก ไม่เหมือนกับสันตินิรันดร์ซึ่งมีผู้คนหลายหมื่นหมื่น

ฉินมู่เดินไปรอบๆ เรือเหาะ พลางสำรวจตรวจตราดูการประดับประดาและโครงสร้างของมัน เขาวัดความสูงของภูเขา หยั่งประมาณปริมาณน้ำที่ไหลในแม่น้ำ และคำนวณจำนวนรังสีที่สาดส่องออกมาจากดวงตะวันประดิษฐ์ แล้วเขาก็นำพู่กันกับกระดาษออกมา และวาดแผนผังของดินอันอุดมนี้ พร้อมทั้งคำนวณมัน

แผนผังของเรือนั้นสมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง และสามารถรับประกันการอยู่รอดของผู้คนหลายสิบหมื่น ดูเหมือนว่ายุคสมัยแสงฉานก็มีความสำเร็จอันสูงล้ำในเชิงพีชคณิต ไปพร้อมๆ กับมีช่างฝีมือที่เก่งกาจด้านการหลอมสร้าง

“หรือยุคสมัยนั้นจะมีสำนักเต๋า” ฉินมู่ตกตะลึง

เขาวัดทุกซอกมุมของเรือ และวาดพิมพ์เขียวออกมาในที่สุด จากนั้นเขาก็กลับไปและเห็นหลิงอวี้จิวกำลังดูแลกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก ข้างๆ พวกเขา ลูกตายักษ์สองดวงกำลังชงชาและเคี่ยวยาสมุนไพรอยู่

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกำลังนอนอาบแดด พลางฝึกปรือคัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหลที่ฉินมู่ถ่ายทอดให้แก่เขา พยายามที่จะงอกเงยกระดูกหักให้กลับมาดี เมื่อเขาเห็นฉินมู่ เขาก็มีสีหน้ามืดดำและแค่นเสียงเฮอะ

ฉินมู่รีบกล่าวขอโทษด้วยรอยยิ้ม “บรรพชนแรก คนที่อัดเจ้าจนปางตายนั้นไม่ใช่ข้าจริงๆ นะ แต่เป็นพี่ชายของข้า ข้าได้อธิบายเจ้าไปหลายครั้งแล้ว ข้าไม่ได้คิดแค้นเคืองเจ้าอีกต่อไป ดังนั้นข้าไม่ได้จงใจฟาดตบเจ้ากระเด็นสักหน่อย”

บรรพชนแรกร้องเฮอะอีกครั้ง และสะบัดหน้าอีกข้าง ไม่ยอมมองหน้าเขา

ฉินมู่จนปัญญา เขาตรวจดูอาการบาดเจ็บบนร่างเนื้อ และตระหนักว่าอีกฝ่ายได้ขับกระดูกแตกหักออกจากร่างกายแล้ว ตอนนั้นมีกระดูกใหม่ที่กำลังงอกขึ้นมาอยู่ แต่ความเร็วนั้นช้ากว่ามาก

เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดี “ในที่สุดท่านปู่ผู้ใหญ่บ้านก็จะงอกเงยแขนขาได้สำเร็จ!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าวด้วยความเดือดดาล “เจ้าฟาดข้าจนกระดูกหักเพื่อใช้ข้าเป็นหนูลองยาอย่างงั้นรึ เพื่อไปใช้รักษาปู่ผู้ใหญ่บ้านของเจ้า? อย่าลืมว่าเจ้าน่ะแซ่ฉิน และปู่ผู้ใหญ่บ้านของเจ้าน่ะแซ่ซู พวกเราอยู่แซ่ตระกูลเดียวกัน แต่เจ้าก็ยังไปรักใคร่คนนอกมากกว่าคนในตระกูล”

“มันไม่ใช่ข้าจริงๆ! เป็นพี่ชายของข้าที่ทำ!” ฉินมู่รีบกล่าว

บรรพชนแรกถาม “บนปูมบันทึกสาแหรกตระกูล ชื่อของเจ้าคือฉินเฟิงชิงใช่หรือไม่”

ฉินมู่ผงกหัว

บรรพชนแรกถามหยั่งต่อ “แล้วพี่ชายของเจ้าล่ะ? เขาก็ชื่อฉินเฟิงชิงเหมือนกันรึ”

ฉินมู่ลังเล บรรพชนแรกเห็นสีหน้าของเขาและกล่าวอย่างขมขื่น “และเจ้าก็ยังมาพูดว่าไม่ใช่เจ้า! มันคือเจ้าชัดๆ!”

ฉินมู่กำลังเขียนใบสั่งยาและกล่าวด้วยเสียงอ่อย “เจ้าว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น”

“องค์หญิงจิว เจ้าได้ยินไหม เขายอมรับแล้ว! เขายอมรับแล้ว!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกโลดเต้นขึ้นมาและประท้วงแก่หลิงอวี้จิว “องค์หญิงสันตินิรันดร์ เขาเป็นญาติเชื้อสายของข้าชัดๆ แต่เขาก็ยังทุบกระดูกข้าจนหมดเพื่อใช้ข้าเป็นหนูลองยาให้ปู่นอกตระกูลของเขา…”

ฉินมู่ทำหูทวนลม และเตรียมยาต่อไป หลังจากป้อนยาให้เขา เขาก็ปล่อยให้บรรพชนแรกฝึกปรือคัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหลต่อ ด้วยการรักษาทั้งสองทาง การฟื้นฟูของเขาก็จะรวดเร็วอย่างยิ่ง

หลังจากที่บรรพชนแรกดื่มยาเข้าไป เขาก็มีกำลังวังชามากขึ้น แต่กระนั้นเขาก็ยังคร่ำครวญกับหลิงอวี้จิว ทันใดนั้น บางคนก็ตะโกนมา “พวกเรามาถึงแดนปริศนาแล้ว!”

“แดนปริศนา?”

ฉินมู่รีบเงยศีรษะและเห็นแสงสว่างมาจากทุกหนแห่ง ทุกซอกมุมอาบย้อมไปด้วยแสงสว่างแห่งแดนปริศนา และไม่มีเงาเลยสักนิด

แดนปริศนาเป็นเขตแดนของเทพสรรพชีวิต ร่างแยกเทพสรรพชีวิตบอกข้าว่า เขาจะมอบผนึกอีกชั้นหนึ่งให้แก่ข้าเพื่อป้องกันไม่ให้พี่ชายข้าโผล่ออกมา ข้าสงสัยว่าร่างเดิมของเทพสรรพชีวิตจะรู้เรื่องนี้หรือไม่

เมื่อเรือเหาะมหึมาแล่นเข้าไปในแสงสว่างแห่งแดนปริศนา พวกมันก็กระจายขบวนออกห่างจากกัน เมื่อแยกกันเช่นนี้ พวกเขาก็สามารถหลีกเลี่ยงการไล่ล่าของสภาสวรรค์ได้

แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของเทพครองดาวมหาตะวันจะหนักหนาสักแค่ไหน แต่พวกเขาก็ยังคงระวังป้องกันอย่างหนัก เผื่อว่าอีกฝ่ายจะมาดักสกัดระหว่างทาง เพราะหากว่าเทพครองดาวมหาตะวันเจ้าโจมตี ผู้คนแห่งโลกลอยเลื่อนก็จะประสบความสูญเสียล้มตายอย่างหนัก ดังนั้นในตอนนี้พวกเขาจึงตื่นตัวเป็นอย่างยิ่ง

ผ่านไปครู่หนึ่ง เรือเหาะก็ล่องลอยออกจากเส้นทาง และหายวับเข้าไปในแสงเจิดจ้า เรือที่ฉินมู่และคณะอยู่นั้นยังคงแล่นใบไปอย่างเงียบเชียบ และหลังจากสิบวัน พวกเขาก็เห็นดวงตาเทพสรรพชีวิตอีกครั้ง

หลังจากนั้นอีกหลายวัน พวกเขาก็มองไม่เห็นดวงตาของเทพสรรพชีวิตอีกต่อไป มองเห็นก็แต่แสงเข้มข้นที่แทบจะก่อรูปขึ้นมาเป็นสสาร

ฉินมู่นั้นรอมาตลอดให้เทพสรรพชีวิตมาปิดผนึกเขา แต่หลังจากแล่นเรือไปได้เกือบเดือนในแดนปริศนา ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงในตัวเขา ใบท้ายที่สุด เรือเหาะก็แล่นออกจากอาณาเขตแดนปริศนา และเดินทางต่อไปในนภาประดับดาวอันมืดมิด ตลอดทางไปจนถึงสวรรค์หลัวฝู

แปลกจริง ทำไมเทพสรรพชีวิตไม่เห็นเพิ่มผนึกอีกชั้นหนึ่ง และรับเอาร่างแยกของเขากลับไป

เขาคิดไปก็ค่อนข้างฉงนใจ เขาตรวจดูอาการบาดเจ็บบนกายเนื้อของบรรพชนแรก พลางครุ่นคิดสงสัย กระดูกแตกหักในร่างของเขาถูกขับออกมาหมดแล้ว และกระดูกใหม่ก็ได้งอกออกมา เพียงแต่ว่ากระดูกใหม่นั้นยังค่อนข้างเปราะและไม่อาจรับน้ำหนักร่างกายได้

เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นเทพเจ้าขั้นแท่นประหารเทพ น้ำหนักของเขาน่าตื่นตระหนก ขนาดที่ว่ากระดูกของเทพเจ้าธรรมดาก็ไม่อาจค้ำยันร่างกายของเขาได้เหมือนกัน

ฉินมู่ให้สัตว์ประหลาดลูกตาเข้าไปในปราสาทสวรรค์ของบรรพชนแรกเพื่อส่งยาอีกครั้ง เขายังยืมทัศนวิสัยของสัตว์ประหลาดลูกตาเพื่อชมดูปราสาทสวรรค์และจิตวิญญาณดั้งเดิม “ตอนนี้ไม่ค่อยมีปัญหาแล้ว เจ้าเพียงแต่ต้องฝึกปรืออยู่สักพัก และความแข็งแกร่งกระดูกใหม่ของเจ้าก็จะเพิ่มพูนจนเท่ากับชุดเดิม ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อเจ้าได้ฝึกปรือคัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหล กายเนื้อของเจ้าก็จะแข็งแกร่งกว่าเดิมเสียอีก”

บรรพชนแรกลุกขึ้นนั่งด้วยความยากลำบาก และโพล่งถาม “มู่เอ๋อ เกิดอะไรขึ้นที่หว่างคิ้วของเจ้า”

ฉินมู่สับสนและถาม “มันมีอะไรหรือ”

“ใบหลิวทองคำที่หว่างคิ้วของเจ้าเปลี่ยนแปลงไป”

ฉินมู่รีบนำกระจกออกมา และมองไปยังเงาของเขา เขาพบว่าสีสันของใบหลิวทองคำที่หว่างคิ้วของเขาได้เปลี่ยนแปลงไป เดิมทีเฒ่าใบ้ได้หลอมสร้างใบหลิวนี้ และผู้เฒ่าคนอื่นๆ ก็ได้ร่วมมือกันเพื่อสร้างเวทปิดผนึก ก่อนที่พุทธเจ้าพรหมจะคืนใบหลิวให้กับเขา เขาก็ได้ทำบางอย่าง และเพิ่มเวทปิดผนึกของตนเองอันเสริมส่งกับผนึกจี้หยกของภูติบดี

ในชั่ววินาทีนี้ ใบหลิวนั้นมิได้เป็นสีทองอีกต่อไป มันถึงกับเปลี่ยนแปลงไปเป็นสีสันต่างๆ มากมายอันเหมือนกับก่อรูปขึ้นมาจากแสง ดูลี้ลับเป็นอย่างยิ่ง

ฉินมู่ตกตะลึง ขณะที่เขากำลังจะปลดใบหลิวลงมาดูให้ถี่ถ้วนนั่นเอง บรรพชนแรกก็ถล่าวอย่างกระวนกระวาย “อย่าปลดมันลงมา! เจ้ายังอยากจะก่อเรื่องวุ่นวายอีกหรือ แล้วถ้าพี่ชายของเจ้าเพ่นพ่านออกมาอีกครั้งล่ะ? เรือนี้มันไม่ทนมือทนตีนเจ้าหรอกนะ! อย่าอยากรู้อยากเห็นให้มากนัก ตกลงไหม”

ฉินมู่ดูจะขบขัน “บรรพชนแรก ข้าคิดว่าเจ้าพูดไปไม่ใช่หรือว่าไม่เชื่อว่าข้ามีพี่ชาย”

บรรพชนแรกหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย

หรือว่าเทพสรรพชีวิตจะวางเวทปิดผนึกอย่างลับๆ เขาทำแบบนั้นตอนไหนกัน ทำไมข้าถึงสัมผัสไม่ได้เลยสักนิด

ฉินมู่อยากจะถอดมันออกมาและดูใกล้ๆ แต่เขาเองก็เกรงว่าเขาจะปล่อยพี่ชายหลุดออกมา ดังนั้น จึงได้แต่ข่มระงับความคันในหัวใจ

หลายเดือนให้หลัง บรรพชนแรกก็หายดี และวรยุทธของเขาก็เหนือล้ำกว่าที่เคยเป็นเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังไปถึงสวรรค์หลัวฝูแล้ว ที่ทำให้ฉินมู่ฉงนฉงายก็คือ ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ ไม่มีผู้ไล่ล่าเลยสักคนเดียว แม้แต่เงาของสภาสวรรค์ก็ไม่ได้เห็น

“สภาสวรรค์คงจะรอโอกาสที่รวบแหจับพวกเขาในคราวเดียว”

บรรพชนแรกกล่าวอย่างมีลางร้าย “พวกเขาจะรวบกวาดซากทัพทั้งหมดของแสงฉานและสันตินิรันดร์!”

ฉินมู่หวาดกลัวในหัวใจ

เมื่อพวกเขามาถึง เทพชื่อซีก็ขับเรือตรงไปยังดวงดาว “อธิการบดีฉิน พวกเจ้าโปรดกลับไปรอที่สันตินิรันดร์ก่อน ข้าจะรอให้สหายร่วมเผ่ามาถึง พวกเขาจะมาถึงที่นี่ภายในอีกไม่กี่เดือน”

ฉินมู่ผงกหัวและออกไปจากดาวดวงนั้นพร้อมกับบรรพชนแรกและหลิงอวี้จิว เมื่อพวกเขาเข้าไปในสวรรค์หลัวฝูและจอดเรือในที่สุด เขาก็เงยศีรษะขึ้นและพบว่าเส้นทางโคจรของดวงดาวกำลังค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป เห็นได้ชัดว่าชื่อซีหรือเทพเจ้าตนอื่นๆ กำลังใช้พลังวัตรหรือไม่ก็พยุหะของพวกเขาเพื่อเคลื่อนย้ายดวงดาวไปยังสันตินิรันดร์

หากว่าพวกเขาทำสำเร็จ สันตินิรันดร์ก็จะมีดวงดาวจริงๆ บนท้องฟ้า!

“พวกเราทำหน้าที่สำเร็จแล้วในคราวนี้ ไปพบกับนักบุญคนตัดไม้ก่อนเถอะ”

พวกเขาไปยังแท่นสังเวยที่นักบุญคนตัดไม้น่าจะอยู่ แต่กลับหาตัวเขาไม่เจอ เพราะอย่างนั้น ฉินมู่และคณะจึงได้แต่กลับไปยังสวรรค์ไท่หวง เมื่อพวกเขาไปถึงเมืองหลี ฉินมู่ถึงคลายใจลงได้ในที่สุด เขายิ้มกล่าว “หลังจากกลับไปที่สันตินิรันดร์ พวกเราสามารถส่งข่าวดีนี้ให้กับจักรพรรดิ พวกเรายังสามารถเผยแพร่วิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิสองวิชา และผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์ก็จะเพิ่มพูนกำลังฝีมือเข้าไปอีกเป็นอย่างมาก! บรรพชนแรก น้องสาวจิว ข้ายังมีคัมภีร์แห่งพุทธเจ้าท้าวสักกะอยู่นี่ด้วย ดังนั้นพวกเราไปที่วัดกันก่อนเถอะ ข้าจะต้องไปถ่ายทอดให้กับผู้เฒ่าหม่า”

ในเมืองหลี ฉินมู่และคณะเดินเข้าไปในวัดของเฒ่าหม่า และหลวงจีนปฏิคมก็นำพวกเขาเข้าไปในลานวัดด้วยรอยยิ้ม “ประสก ประสกนักปรุงยาและคนอื่นๆ ก็อยู่ที่นี่ พวกเขากำลังสนทนากับยูไล”

ฉินมู่ประหลาดใจและยินดี “ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ ก็อยู่ที่นี่หรือ”

ในตอนนั้นเอง นักปรุงยาก็เดินออกมาจากห้องปรุงยาพร้อมกับอุ้มหม้อใหญ่ เขาตะโกน “เจ้าอ้วน ออกมาทานอาหารได้!”

ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าอ้วน? ต้องเป็นมังกรอ้วนแน่นอน! ข้าไม่ได้เห็นหน้ามังกรอ้วนมาตั้งนานแล้ว! ข้าสงสัยว่าเขาขจัดไขมันส่วนเกินไปได้หรือยัง”

ขณะที่เขากำลังกล่าวอยู่นั่นเอง ก้อนเนื้อกลมๆ ก็กลิ้งมาจากที่ไกลๆ กีบเท้าของก้อนเนื้อนั้นแทบจะแตะไม่โดนพื้น ทำให้มันก็กระเถิบไปข้างหน้าทีละนิด หางมังกรหนาใหญ่ แต่เพราะว่าเขาอ้วนจนเกินไป มันจึงดูกลมกระจุกเมื่อส่ายกระดิกไปมา

คอของเขาหายไปแล้ว และแม้แต่ศีรษะก็เหมือนกับลูกชิ้นยักษ์ที่มีเกล็ดและขนห่อหุ้ม ส่วนเขามังกรนั้น ก็แทบจะมองไม่เห็นบนศีรษะ

ก้อนลูกบอลเนื้อนี้ตื่นเต้นดีใจ “นี่ข้าวเที่ยงหรือ ท่านปู่นักปรุงยา ท่านให้อาหารพอแน่หรือ ตอนเช้าท่านให้ข้าไม่พอนะ มันขาดนั่นนิดนี่หน่อย”

นักปรุงยากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าดูเองสิ!” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็หันขวับและเดินจากไป

ลูกบอลก้อนเนื้อ เอาจมูกเขี่ยชนที่ข้างหม้อด้วยความพยายามอย่างหนักหน่วง เขาพยายามที่จะนับจำนวนเม็ดยา แต่เขายืนได้ไม่มั่นคง ก็เลยล้มคะมำหน้าทิ่มเข้าไปในหม้อ

เสียงทึบอู้อี้ดังมาจากในหม้อ “ข้าว่า ข้าไม่นับดีกว่า ข้ากำลังหิว กินก่อนล่ะกัน…”

เสียงกร้วมๆ ดังมาจากในหม้อ

ฉินมู่ตัวแข็งทื่อกว่าเขาจะกลับมาได้สติก็นานโข และเขาพึมพำ “ไม่ นี่ต้องไม่ใช่มังกรอ้วนของข้าแน่ๆ นี่ต้องไม่ใช่แน่นอน…ท่านปู่นักปรุงยา ท่านเห็นกิเลนมังกรของข้าไหม”