ตอนที่ 662 ฉินมู่ถ่ายทอดวิชา

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

“มู่เอ๋อกลับมาแล้ว?”

นักปรุงยาหันกลับมาและแย้มยิ้มเมื่อเห็นฉินมู่ “ข้าได้เลี้ยงดูกิเลนมังกรของเจ้าเป็นอย่างดี ตอนนี้เขาบึกบึนกำยำขึ้นมาก”

ฉินมู่มึนชาไปเล็กน้อย “บึกบึนกำยำ…”

ลูกบอลอ้วนโผล่หัวออกมาจากหม้อ เขานั้นลิงโลดสุดๆ เมื่อเห็นฉินมู่ เขารีบวิ่งเข้ามาด้วยขาสั้นๆ แต่ในเมื่อขาของเขาแตะไม่ถึงพื้น หัวเขาเลยทิ่มพื้น และเขาก็เริ่มกระเด้งตัวดึ๋งๆ ไปข้างหน้า เขากลิ้งเกลือกไปรอบๆ ฉินมู่พลางร่ำร้อง “จ้าวลัทธิ ข้าสบายดี ข้าสามารถลุกขึ้นมาได้หลังจากที่กลิ้งตัวสองรอบ”

ฉินมู่รีบหลบเลี่ยงเขาและกล่าวอย่างขมขื่น “ท่านปู่นักปรุงยา นี่มันไม่ใช่บึกบึนกำยำเลยสักนิด! หลิงเอ๋ออยู่ที่ไหน หลิงเอ๋อ! เจ้าปล่อยให้มังกรอ้วนกินมากมายจนอ้วนขนาดนี้ได้อย่างไร”

นักปรุงยากล่าว “หลิงเอ๋อไม่ได้อยู่ที่นี่ นางไปฝึกปรืออยู่กับเซียนจิ้งจอก ไม่ใช่ว่ามังกรอ้วนต้องกินวันละสามมื้อ และแต่ละมื้อต้องเป็นยาวิญญาณหนึ่งถังหรืออย่างไร”

ฉินมู่อ้าปากค้าง

กิเลนมังกรหยุดกลิ้ง และขาทั้งสี่ของเขาก็ชี้ฟ้า เขาตะกุยไปข้างหน้าสองสามครั้ง แต่ก็พลิกตัวกลับมาไม่ได้สักที หางสั้นป้อมของเขาเหยียดตรงออกไป เมื่อเขาพยายามดีดพื้นและพลิกตัวกลับ แต่ไม่ว่าเขาจะเกร็งหางมากขนาดไหน มันก็ไปไม่ถึงพื้น

กิเลนมังกรหอบหายใจ “จ้าวลัทธิ ช่วยข้าหน่อย จ้าวลัทธิ จ้าวลัทธิ! อย่าไปสิ…แล้วใครจะช่วยพลิกตัวข้า”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกทนดูไม่ได้ ดังนั้นจึงก้าวเข้าไปผลักหนึ่งที กิเลนมังกรพลิกตัวขึ้น และเขาก็กระดิกตัวไปรอบๆ เขาเห็นกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกในที่สุด และก็รีบกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณท่านมากผู้อาวุโส ที่ยื่นมือช่วยเหลือข้า อาหารเที่ยงของข้ายังกินไม่เสร็จ!” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็วิ่งไปยังหม้อใหญ่ด้วยความกระตือรือร้น

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกอดที่จะดุด่าไม่ได้ “เจ้ายังจะกินอีก? เจ้านายของเจ้าโมโหแล้ว ไม่นานเขาก็จะเอาเจ้าไปขึ้นโต๊ะ!”

กิเลนมังกรกระโดดโหยงด้วยความตกใจ และรีบหยุด เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกินต่อพลางตอบไปด้วยเสียงอู้อี้ “ถ้าจะตายก็ขอตายเป็นผีอิ่มท้อง…”

“เจ้ามันเกินเยียวยา!” บรรพชนแรกส่ายหัว และเดินตามฉินมู่

ข้างในวัด ผู้ใหญ่บ้านกำลังสนทนาอยู่กับเฒ่าหม่า เขารีบลอยขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงฉินมู่ และเมื่อเขาหันไปก็เห็นฉินมู่ ชาวบ้านคนอื่นๆ ก็เดินออกมาจากห้อง เมื่อพวกเขาเห็นฉินมู่ ก็เกิดความวุ่นวายอีกรอบ

เมื่อฉินมู่เห็นผู้ใหญ่บ้าน เขาก็อดไม่ได้ที่จะปาดน้ำตา ผู้ใหญ่บ้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่าทำตัวเป็นเด็กๆ สิ เจ้าเป็นกษัตริย์มนุษย์นะ เป็นจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ และยังเป็นอธิการบดีแห่งสถาบันนักบุญสวรรค์อีก แล้วเจ้าจะร้องไห้ง่ายๆ ได้อย่างไร ข้ากลับมาชีวิตแล้ว ตกลงไหม”

แม้ว่าเขาจะกล่าวเช่นนั้น แต่ดวงตาเขาก็แดงก่ำ ในตอนนั้น เขาก็พลันเห็นกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก และเขารีบคุกเข่าลงกับพื้น เขาหมอบจบแทบจะพังพาบลงไป “ศิษย์ซูมู่เจ๋อน้อมคารวะกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก!”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกพยุงเขาลุกขึ้น และวางเขาลงบนแคร่ “ลุกขึ้น เจ้าไม่เห็นจะมากพิธีแบบนี้ตอนที่เจอข้าครั้งแรก”

ผู้ใหญ่บ้านตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง และกล่าวกับบรรพชนแรก “”นี่คือศิษย์ของข้า! กษัตริย์มนุษย์คนปัจจุบัน! กายาจ้าวแดนดินโดยกำเนิด! มู่เอ๋อๆ มานี่สิ มาน้อมคารวะบรรพชนแรก คุกเข่าและโขกศีรษะให้กับเขา!

ฉินมู่ส่ายหัว “ทำไมข้าต้องคุกเข่า เขาต่อยตียังไม่ชนะข้า แถมยังร้องไห้โยเยหลังจากที่ถูกข้าซ้อมจนน่วมในโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์”

ผู้ใหญ่บ้านดุด่าอย่างโมโห “น่าขายหน้าอะไรอย่างนี้! เจ้าจะกระด้างกระเดื่องกับบรรพชนได้อย่างไร บรรพชนแรกมีกำลังฝีมืออันเหนือธรรมดา และวิชาฝีมือของเขาล้วนแต่มาจากยุคสมัยจักพรรดิก่อตั้ง หากว่าเขาสามารถสอนเจ้าสักท่าสองท่า เจ้าก็จะได้รับประ–”

ฉินมู่ขัดจังหวะเขา “ผู้ใหญ่บ้าน เขาได้ถ่ายทอดวิชาฝึกปรือและวิชามุทราให้แก่ข้าเรียบร้อยแล้ว”

“เขาถ่ายทอดแล้ว?”

สีหน้าของผู้ใหญ่บ้านแปรเปลี่ยน และไม่สนใจไยดีกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกอีกต่อไป เขากล่าว “บรรพชนแรก เชิญนั่ง โปรดละเว้นที่ผู้เยาว์พิการ ไม่อาจลุกขึ้นต้อนรับได้”

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกอ้าปากค้าง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เขาก็หาเก้าอี้นั่งด้วยตนเอง

ฉินมู่กล่าวอย่างกระตือรือร้น “ผู้ใหญ่บ้าน ข้าพบวิชาฝึกปรือที่ใช้สำหรับเสกสรรกายเนื้อ มันเป็นวิชาฝึกปรือระดับบัลลังก์จักรพรรดิแห่งยุคสมัยแสงฉาน และมันสามารถทำให้แขนขาของท่านงอกกลับขึ้นมาใหม่ได้! บรรพชนแรกก็แขนขาหักเช่นกัน และเป็นข้านี่แหละที่ถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่เขาเพื่อช่วยกู้ชีวิตกลับคืนมา!”

ผู้ใหญ่บ้านประหลาดใจแกมยินดี เขาถามด้วยเสียงสั่น “แขนและขาที่ขาดไปของข้า ก็สามารถงอกกลับมาใหม่หรือ”

“ใช่แล้ว พวกมันงอกใหม่ได้!”

นักปรุงยาถามหยั่ง “ถ้าอย่างนั้น ใบหน้าของข้าก็จะสามารถงอกกลับมาได้หรือไม่”

ฉินมู่ลังเลและกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “ข้ายังไม่ได้ทดลองแบบนั้นมาก่อน บรรพชนแรกนั้นมีเพียงแค่คางแหลกละเอียดไป และเขาก็งอกคางขึ้นมาใหม่ ข้าไม่แน่ใจนักว่าใบหน้าจะสามารถงอกเงยกลับมาได้หรือไม่”

นักปรุงยากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เดิมทีข้าเฉือนใบหน้าออกเพื่อสะบั้นสายสัมพันธ์ทั้งปวง และไม่เคยคิดเลยว่าข้าก็ยังคงออกจากแดนโบราณวินาศ ไปเก็บสายสัมพันธ์เดิมทั้งหลายกลับมาอีกครั้ง ข้าเริ่มจะคิดถึงใบหน้าของข้า ศัตรูของข้าไม่กล้าตามล่าอีกต่อไป ดังนั้นข้ามีใบหน้ากลับคืนมาจะดีที่สุด แต่ถึงอย่างไร ถ้างอกกลับมาใหม่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน ข้าชินแล้ว หูของเฒ่าหนวกและลิ้นของเฒ่าใบ้สามารถงอกกลับมาได้หรือเปล่าล่ะ”

เฒ่าหนวกแค่นเสียงและหันกายจากไป “ข้าไม่ฝึก! ข้าไม่ต้องการหู!”

นักปรุงยาหัวเราะเบาๆ “ตาเฒ่านี่…อย่าไปสนใจเขา เมื่อเขาคิดจนปรุโปร่งแล้วเดี๋ยวก็มาฝึกเอง”

ฉินมู่เริ่มต้นพูดถึงคัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหลของจักรพรรดิแสงไปทีละคำๆ แต่เฒ่าหม่าพลันหยุดเขาไว้ “ให้ข้าไล่หลวงจีนคนอื่นๆ ออกไปก่อน เพื่อว่าวิชาฝึกปรือนี้จะไม่แพร่งพรายออกไป”

ฉินมู่ส่ายหัว “ไม่จำเป็นหรอก ข้าวางแผนว่าจะเผยแพร่วิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดินี้ไปสู่โลกหล้าผ่านจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง โอรสเทพแสงฉานจะต้องถ่ายทอดวิชานี้ไปยังสหายร่วมเผ่าของเขา และหากว่าข้ามัวแต่เก็บวิชานี้ไว้กับตนเอง สันตินิรันดร์ก็จะไม่อาจต่อกรกับซากทัพที่หลงเหลือจากยุคสมัยแสงฉานได้ หากว่าเป็นเช่นนั้น ก็จะเกิดเรื่องยุ่งยากมากมาย”

ยูไลหม่าคิดอยู่ครู่หนึ่งและผงกศีรษะ “ยากยิ่งนักที่ใครจะตรึกตรองเข้าใจวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิ ต่อให้เจ้าถ่ายทอดมันไปสู่โลกหล้า ก็มีผู้ฝึกวิชาเทวะเพียงกระหยิบมือเดียวที่สามารถตรึกตรองเข้าใจมัน และผู้ที่ฝึกได้สำเร็จก็ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่”

ที่เขากล่าวนั้นเป็นความจริง ยิ่งวิชาฝึกปรือมีคุณภาพเลิศล้ำมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องอาศัยปฏิภาณ พรสวรรค์ และปัญญาญาณมากขึ้นเท่านั้น ทั้งการฝึกปรือให้สำเร็จก็ยิ่งยากเย็น

ยกตัวอย่างเช่น ลิงยักษ์อสูรจ้านคงและหลวงจีนหมิงซิ่นได้ติดตามพุทธเจ้าพรหมเพื่อศึกษาคัมภีร์เที่ยงแท้บัลลังก์จักรพรรดิ แต่พุทธเจ้าพรหมมิได้สอนสิ่งใดเลยแก่ฉินมู่ เขาเพียงแต่แปลงร่างตนเองเป็นพุทธเจ้าใหญ่ที่สะกดข่มท้องฟ้าเหนือแผ่นปฐพีรูปตัวฉิน เขากล่าวว่าวิชาฝึกปรืออยู่ในพุทธเจ้านั้น และเขาให้ฉินมู่ตรึกตรองทำความเข้าใจด้วยตนเอง

ฉินมู่ก็ยังคงตรึกตรองทำความเข้าใจอะไรออกมาไม่ได้สักอย่าง

ลิงยักษ์อสูรและหมิงซิ่นนั้นเป็นผู้คนที่ครอบครองสันดานพุทธ และมีปัญญาญาณอันสูงส่งในเชิงพุทธ ทั้งสองคนจึงสามารถเรียนรู้วิชาฝึกปรือของพุทธเจ้าพรหมได้ ส่วนหลวงจีนคนอื่นๆ ผู้ที่เรียนรู้ได้นับว่าหายากยิ่ง และส่วนใหญ่นั้นก็มองเห็นแค่รางๆ เผินๆ

ยกตัวอย่างเช่น วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของสำนักเต๋า วางอยู่บนรากฐานของพีชคณิต ดังนั้นพวกมันจึงต้องการความสำเร็จอันสูงส่งอย่างสุดขีดขั้วในพีชคณิต

สิ่งที่เกี่ยวข้องกับคัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหลนั้นก็กว้างใหญ่ไพศาล มีทั้งเงื่อนไขด้านพีชคณิต ความรู้อักษรรูน ความรู้วิชาเสกสรร ความรู้โครงสร้างกายเนื้อ และยังมีอีกหลายแง่สาขาที่เกี่ยวข้อง

เพราะว่ากษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกและฉินมู่ได้ศึกษาในทุกแง่สาขาที่จำเป็น ทั้งคู่จึงสามารถสำเร็จวิชาฝึกปรือนี้ได้

หากว่าเป็นคนอื่น เพียงแค่ศึกษาเรื่องเหล่านี้ให้ประสบความสำเร็จได้ในระดับหนึ่ง ก็ต้องอาศัยเวลาหลายสิบหรือหลายร้อยปี ในตอนนั้น วิชาของพวกเขาอาจจะเพิ่งนับได้ว่าสำเร็จขั้นพื้นฐานเท่านั้น

และนี่ยังนับแค่เงื่อนไขเดียว เงื่อนไขปัญญาญาณ!

ยิ่งไปกว่านั้น วิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิยังมีเงื่อนไขที่เข้มงวดของพรสวรรค์และปฏิภาณ ดังนั้นต่อให้ฉินมู่ถ่ายทอดวิชานี้ไปสู่โลกหล้า ก็คงมีผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนไม่มากที่สามารถฝึกปรือคัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหล พวกที่สามารถสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ก็ยิ่งมีน้อยลงไปอีก

ในตอนนี้เอง ฉินมู่กำลังสอนคัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหลให้กับทุกคน วิชาฝึกปรือนี้ครบรอบครอบคลุม และเขาพยายามที่จะอธิบายความหมายอันลึกล้ำด้วยถ้อยคำสามัญธรรมดาเพื่อให้ทุกๆ คนสามารถเข้าใจได้ แต่ทว่าด้วยผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านพิการชราต่างก็มีความถนัดเฉพาะด้านแตกต่างกันออกไป ยายเฒ่าซีจึงเป็นคนแรกที่สามารถตรึกตรองเข้าใจกลเม็ดในการฝึกปรือวิชาปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหลได้

ยายเฒ่าซีได้ฝึกปรือคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต และนางก็ฝึกเจ็ดนิพนธ์เสกสรรแห่งคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตเป็นหลัก ดังนั้นความสำเร็จของนางในด้านนี้จึงเหนือล้ำกว่าคนอื่น

ฉินมู่ก็อดทนเป็นอย่างยิ่ง และอธิบายให้พวกเขาฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก ตอบทุกข้อสงสัยที่มี

คัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหลนั้นเกี่ยวข้องกับความรู้ต่างๆ มากเกินไป และเขาก็เริ่มรู้สึกว่าการตอบคำถามของพวกเขากลายเป็นเรื่องยากขึ้นทุกที โชคยังดีว่า จักรพรรดิแดงฉานได้ถ่ายทอดสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิมให้แก่เขา มันเป็นวิชาฝึกปรือที่เกี่ยวกับการเสกสรรจิตวิญญาณดั้งเดิม ดังนั้นจึงสามารถเอามาวางเทียบกับคัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหลได้

กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็อยู่ข้างๆ ฉินมู่ และในเมื่อเขาได้ฝึกปรือวิชานี้ไปแล้ว เขาก็ย่อมมีความเข้าใจเป็นของตนเอง เขานั้นกำลังตอบคำถามพวกที่ฉินมู่ตอบไม่ได้

ไม่นานนัก เฒ่าหนวกก็กลับมา และเขานั่งลงรับฟัง

ฉินมู่สาธยายอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนจนกระทั่งคอแห้งผาก คนที่สองที่ตรึกตรองเข้าใจวิชากลับเป็นเฒ่าหนวกไปได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ส่วนผู้ใหญ่บ้าน นักปรุงยา เฒ่าหม่า เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ และเฒ่าบอดนั้น ไม่มีใครที่สำเร็จมัน

ฉินมู่มีความปวดหัวตุบๆ แต่ทันใดนั้นเขาก็เกิดมีแรงบันดาลใจอย่างฉับพลัน เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ายังมีวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิอีกวิชาหนึ่ง และมันเรียกว่าสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิม นี่ก็เป็นวิชาฝึกปรือแห่งยุคสมัยแสงฉานเช่นกัน ให้ข้าสอนพวกท่านถึงวิชานี้ และพวกท่านจะได้ใช้เปรียบเทียบกัน”

ผู้ใหญ่บ้านขมวดคิ้ว “วิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิเพียงหนึ่งก็ยากที่พวกเราจะซึมซับแล้ว และหากว่ายังมีอีกหนึ่งวิชา พวกเราจะต้องใช้ทั้งชั่วชีวิตเพื่อตรึกตรองเข้าใจมัน มู่เอ๋อ อย่าให้พวกเรากินเกินจะเคี้ยวไหวดีกว่า”

ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นเป็นสิ่งที่พวกเราจะต้องทำอยู่แล้ว คัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหลนั้นสำหรับการบ่มเพาะกายเนื้อ ขณะที่วิชานี้ใช้สำหรับบ่มเพาะจิตวิญญาณดั้งเดิม ทั้งสองวิชาสามารถปิดจุดบกพร่องซึ่งกันและกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ และพวกมันก็มีมโนทัศน์มากมายหลายประการที่คล้ายคลึงกัน หากว่าพวกท่านเรียนสองวิชานี้ไปด้วยกัน ก็อาจจะยิ่งทำให้เรียนรู้สำเร็จได้ง่ายขึ้นไปอีก!”

เมื่อเขาเริ่มต้นอธิบายสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิม สีหน้าตื่นตะลึงก็ยิ่งฉายชัดบนใบหน้าของทุกๆ คน เมื่อพวกเขายิ่งรับฟังไป

เมื่อฉินมู่อธิบายวิชาปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหล มีหลายแห่งที่พวกเขายังไม่รู้ และเห็นได้ชัดว่าแม้แต่ฉินมู่เองก็ไม่สามารถตรึกตรองมันได้อย่างสมบูรณ์เช่นเดียวกัน แต่ทว่า เมื่อเขาอธิบายสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิม ก็ราวกับว่าเขาเป็นผู้คิดค้นวิชานี้ ปฏิภาณความเข้าใจของเขานั้นไม่ได้แค่ผ่านๆ แบบวิชาปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหล

เขานั้นราวกับว่าเป็นจักรพรรดิแดงฉานตัวจริงที่มาถ่ายทอดสิ่งที่เขาเรียนรู้ให้กับทุกๆ คน!

อันที่จริงแล้ว แม้ว่าฉินมู่จะเป็นผู้ที่อธิบายวิชาฝึกปรือให้กับพวกเขา แต่เขาได้อธิบายผ่านความเข้าใจของจักรพรรดิแดงฉาน จักรพรรดิแดงฉานได้มอบสำนึกรู้ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับวิชาฝึกปรือนี้ให้แก่เขา!

จักรพรรดิแดงฉานถ่ายทอดความรู้ด้วยตนเอง ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ!

เป็นดังที่ฉินมู่พูด สองวิชาฝึกปรือนี้เสริมส่งซึ่งกันและกัน หลายแห่งที่ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ ไม่สามารถเข้าใจได้ ก็พลันเข้าใจในคราวเดียวเมื่อฉินมู่อธิบาย นี่ทำให้ทุกคนพยักหน้าหงึกๆ ราวไก่จิก

“ไม่คิดเลยว่าหลังจากที่เป็นผู้สอนความรู้ให้แก่มู่เอ๋อมาเป็นเวลาหลายปี พวกเราก็จะต้องมาเป็นนักเรียนของเขาแทนในวันนี้” นักปรุงยาถอนหายใจด้วยความสะทกสะท้อนและกล่าว

ขณะที่ฉินมู่สอนและอธิบาย ความเข้าใจของเขาเองที่มีต่อคัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหลก็เพิ่มพูนขึ้นด้วยเช่นกัน ตอนนี้เขาสามารถเข้าใจหลายๆ วิชาได้โดยไม่ต้องตรึกตรอง เชี่ยวชาญในทักษะเทวะทั้งหมดโดยไม่ต้องฝึกฝน

หัวใจของเขาดุจกระจกกระจ่างที่สำเร็จเชี่ยวชาญทุกแง่อัศจรรย์ในคัมภีร์เสกสรร

เมื่อเขาสิ้นสุดการอธิบายสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิมแล้ว ร่างของเขาก็พลันสั่นเทิ้ม เขาร้องออกมา “ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าทำไมจักรพรรดิแสงถึงพ่ายแพ้ และทำไมยุคสมัยแสงฉานถึงถูกทำลายล้าง! เมื่อคัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหลขาดสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิมไป มันก็มีจุดอ่อนใหญ่หลวง!”

พรสวรรค์และปฏิภาณของผู้ใหญ่บ้านนั้นสูงลิ่ว ดังนั้นเขาจึงตระหนักความข้อนี้ด้วยเช่นกัน “จิตวิญญาณดั้งเดิมของจักรพรรดิแสงไม่อาจบ่มเพาะให้แก่หัวอีกสองข้างและแขนอีกสี่ข้างได้ ดังนั้นผู้ที่สังหารเขาจะต้องตัดหัวอื่นสองข้างของเขาออก และเฉือนแขนสี่ข้างอื่นของเขาก่อน! จักรพรรดิแสงผู้นี้คงจะตายไปอย่างน่าอนาถ!”