บทที่ 197 ไฟและน้ำแข็งที่ผสานกันเป็นหนึ่ง ทำให้เหมือนเหาะเหินเดินอากาศได้

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

นครครึ่งหนึ่งถูกโอบล้อมไปด้วยกลิ่นสุรา มันเป็นกลิ่นหอมเข้มน่าหลงใหลที่กระจายตัวเป็นวงกว้างเหมือนคลื่นทะเล แพร่ขยายออกไปอย่างเงียบๆ

ทั้งหนี่หยันและยี่จือหลิงที่อยู่ใกล้ๆ ตรอกต่างพากันสูดหายใจเข้าลึก ใบหน้าแดงก่ำ ทั้งสองหันมามองหน้ากัน ต่างคนต่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น

“สุราอะไรจะหอมได้ถึงเพียงนี้” หนี่หยันพึมพำแล้วเร่งฝีเท้าขึ้นเพื่อเดินตรงไปยังต้นตอของกลิ่น

ณ โรงเตี๊ยมหรูแห่งหนึ่งในนครหลวง บรรดาสิบสามกองโจรแห่งเมืองโม่จั่วกำลังกินดื่มกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วโรงเตี๊ยม

ภายในโรงเตี๊ยมนั้นครื้นเครงบันเทิงใจเป็นอันมาก ทั้งกลิ่นอาหารและสุราปะปนกันอยู่ในอากาศ

ทันใดนั้นคลื่นที่มองไม่เห็นพร้อมด้วยกลิ่นหอมเกินบรรยายก็พัดผ่านโรงเตี๊ยมแห่งนั้น

เพล้ง!

เสียงแก้วแตกดังขึ้น เหล่าสิบสามกองโจรต่างตกใจนิ่งอึ้งทันที จอกสุราในมือตกลงกระทบพื้นแตกร้าว สุราที่อยู่ภายในหกกระจัดกระจายไปทั่ว

ทว่าพวกเขาเหล่านั้นกลับไม่ได้สนใจสุราที่หกเลอะพื้นแต่อย่างใด ทุกคนทำจมูกฟุดฟิดเพื่อดมกลิ่นใหม่ในอากาศ ดวงตาเล็กหรี่ ใบหน้าดูเคลิบเคลิ้มจนน้ำลายไหลออกจากมุมปาก

“นี่มัน… หอมเหลือเกิน! กลิ่นสุราหรือนี่ ข้าอดใจไม่ไหวแล้ว… พี่น้องข้า เราไปหาต้นตอของกลิ่นสุรานี้กันเถิด!”

พอบรรดาสมาชิกสิบสามกองโจรตื่นจากภวังค์ ทุกคนก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที กลิ่นสุรานี้หอมเกินห้ามใจ พวกเขาทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ์ จึงชื่นชอบการดื่มสุราเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว กลิ่นสุราที่ลอยมาเตะจมูกนี้ทำให้จิตวิญญาณความขี้เมาในตัวของพวกเขาตื่นขึ้นมา

เหล่าสิบสามกองโจรพุ่งพรวดออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมตะโกนอื้ออึง มุ่งหน้าตามกลิ่นไปยังต้นตอ

เซียวเหมิงนั่งอยู่ในห้องทำงานในตำหนักตระกูลเซียว ลมเย็นพัดโชยผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำให้เปลวเทียนสั่นไหวไปชั่วขณะ เขาวางพู่กันในมือลงแล้วขยี้ตานิ่วหน้า…

กลิ่นหอมชวนหลงใหลลอยเข้ามาในห้อง อ่อนโยนเหมือนสัมผัสของคนรัก ทำให้ร่างทั้งร่างของเซียวเหมิงสั่นสะท้านไปชั่วขณะ เขาลืมตาขึ้นพลันรู้สึกอยากดื่มสุราขึ้นมาทันที

“ช่างหอมอะไรเช่นนี้! กลิ่นนี้เหมือนไม่ได้มาจากโลกมนุษย์เลย!”

แม่ทัพใหญ่สูดลมหายใจเข้าราวกับอยากสูดกลิ่นสุราเข้าปอดไปให้หมด เขาลุกขึ้นยืนแล้วหยิบเสื้อคลุมหนาลายนกกระเรียนบนเก้าอี้มาสวม พลางเดินตามกลิ่นสุราไป

เซียวเยวี่ยนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง รอบกายมีพลังงานสีขาวของกระบี่ห้อมล้อมอยู่ เมื่อพลังแห่งกระบี่ระเบิดออกมา มันก็เข้าหมุนวนอยู่เหนือศีรษะเขา พลางเปลี่ยนรูปร่างจากกระบี่เล่มเล็กเป็นลำแสงมากมายของพลังงานกระบี่สลับไปมา

ทันใดนั้นกระแสพลังปราณกระบี่รอบกายเซียวเยวี่ยก็พลันสลายหายไปเสียงดังฟุ่บ ชายหนุ่มลืมตาขึ้น อดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปากแห้งผาก

“กลิ่นสุรานี้… หอมเสียยิ่งกว่าสุราหัวใจหยกเยือกแข็งอีก! สวรรค์ช่วย!”

เสียงแหบพร่าของเซียวเยวี่ยเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ

เซียวเยวี่ยสูดกลิ่นในอากาศ ตั้งสมาธิฝึกปราณไม่ได้อีกต่อไป ชายหนุ่มกระโจนไปเปิดประตู แล้วเหาะออกจากห้องไปโดยที่เท้าเหยียบอยู่บนกระบี่

“มีสุราดีขนาดนี้อยู่ แล้วข้าเซียวเยวี่ยจะพลาดได้อย่างไร! ฮ่าๆๆ!”

ในตำหนักโอวหยาง เสียงกรนเหมือนฟ้าคำรามดังสะท้อนอยู่ในห้องนอนของสามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยาง สามพี่น้องนอนห้องเดียวกันแต่เด็กจนเคยชิน ทุกคืนพวกเขาจะประสานเสียงแข่งกันกรนเหมือนพายุเข้า จนไม่ต้องให้มีคนมาเฝ้ายามด้วยซ้ำ เนื่องจากลำพังแค่เสียงก็ทำให้หัวขโมยไม่อยากเข้าใกล้แล้ว

ทันใดนั้นเสียงกรนที่ปกติจะดังประสานกันตลอดทั้งคืนก็พลันหยุดลง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงคนสามคนจึ๊ปากพร้อมกัน สามพี่น้องตระกูลโอวหยางตาสว่างโพลง พวกเขาสูดเอากลิ่นสุราในอากาศเข้าไปอย่างตะกละตะกลาม พฤติกรรมเหมือนสุนัขที่ได้กลิ่นเนื้อของโปรดไม่มีผิด

ตึง ตึง ตึง!

สามพี่น้องลุกขึ้นจากเตียงอย่างพร้อมเพรียงกันเพื่อไปสวมเสื้อผ้า น้ำลายไหลย้อยจากริมฝีปากขณะทำจมูกฟุดฟิดอีกครั้ง จากนั้นก็พากันพุ่งพรวดออกจากห้องไปเหมือนพายุพัดหอบ วิ่งตรงไปที่ต้นตอของกลิ่นทันที

คืนนั้นเป็นคืนที่หลายต่อหลายคนนอนไม่หลับ

ด้วยความที่กลิ่นสุราแพร่กระจายกินวงกว้างไปกว่าครึ่งของนครหลวง บรรดานักดื่มทั้งหลายจึงพากันเดินตามกลิ่นหอมหวนไปเพื่อให้เจอต้นตอ

ปู้ฟางเช็ดเหงื่อพราวออกจากหน้าผาก ริมฝีปากคลี่ยิ้ม เขามองของเหลวภายในเหยือกแล้วถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ของเหลวทั้งสี่ชนิดเต็มไปด้วยพลังปราณปริมาณมาก การผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันนั้นไม่ได้ทำเพียงแค่เอามาเทรวมกันแล้วคน เขาต้องใช้พลังปราณของตนในการประสานของเหลวทั้งสี่ชนิดให้เป็นหนึ่งเดียว

มันไม่ใช่แค่การเพิ่มคุณภาพหรือปริมาณโดยรวม แต่เป็นการเปลี่ยนโครงสร้างภายในของของเหลวเลยทีเดียว

กลิ่นที่โชยออกจากเหยือกสุราหยกนั้นหอมจนเหลือเชื่อ เพียงแค่ดมปู้ฟางก็รู้สึกมึนเมาเล็กน้อยแล้ว หากได้ดื่มเข้าไปคงไม่ต้องพูดว่าจะส่งผลขนาดไหน

กลิ่นของสุราชนิดนี้เหนือชั้นกว่าสุราหัวใจหยกเยือกแข็งอย่างเทียบไม่ติด ความแตกต่างนั้นมหาศาลราวหิ่งห้อยกับดวงจันทร์เลยทีเดียว

และนี่ก็เป็นการเปรียบเทียบในแง่ของกลิ่นเท่านั้น แม้ความแตกต่างด้านรสชาติจะไม่ได้มากล้น ทว่าสุราชนิดใหม่นี้ก็มีพลังปราณมากกว่าอยู่หลายขุม

ชายหนุ่มรินสุราลงจอกหยกสีเขียวจนปริ่ม หลังจากรวมของเหลวทั้งสี่ชนิดเข้าด้วยกัน สีของสุราที่ผสมออกมานั้นเป็นสีเขียวอ่อน ควันที่ลอยอยู่บนผิวหน้าทำให้สุราจอกนี้ดูเหมือนมาจากสรวงสวรรค์ ราวกับเป็นน้ำทิพย์ที่ผู้เป็นอมตะดื่มกันในวังวิจิตร

ปู้ฟางหยิบจอกขึ้นมา อดเลียริมฝีปากไม่ได้ขณะมองไปยังของเหลวที่อยู่ภายใน เขาต้องสะกดความอยากกระดกสุราหมดจอกลงไปก่อน

สุราชั้นเลิศนั้นต้องค่อยๆ จิบถึงจะถูก ชายหนุ่มรู้ดีว่าช้าๆ ได้พร้าเล่มงามเป็นอย่างไร

เขาค่อยๆ ยกจอกขึ้นแตะปากแล้วจิบเข้าไปน้อยๆ

ทันทีที่สุราผ่านริมฝีปากเข้าไป ความรู้สึกเย็นซาบซ่านสดชื่นก็กระจายตัวไปทั่วปาก ของเหลวนั้นไหลผ่านลำคอ ลงไประเบิดเหมือนภูเขาไฟส่งความร้อนวูบวาบให้ก่อตัวขึ้นภายในร่างกาย

ดวงตาของปู้ฟางเบิกกว้าง รู้สึกราวกับรูขุมขนทุกรูในร่างพลันขยายตัว

ทันทีที่น้ำเมาตกถึงท้อง ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนมหาสมุทรไหลบ่าเข้าท่วมร่างกายจนมิด พลังปราณที่ไหลเวียนอย่างโกรธเกรี้ยวอยู่ในท้องนั้นรุนแรงเหมือนระเบิด จนเขาต้องเรอออกมาถึงสามครั้งติด

ความรู้สึกสดชื่นซัดเข้าใส่ร่าง ทำให้ปู้ฟางต้องหยีตาและแยกเขี้ยวยิงฟัน

“สดชื่นเหลือเกิน! ช่างเป็นสุราชั้นยอดอะไรเช่นนี้!”

นี่เป็นสุราชั้นยอดจริงๆ ไม่ต้องหาคำอะไรมาอธิบายให้เสียเวลา สุราหัวใจหยกเยือกแข็งนั้นเทียบไม่ติดฝุ่น ไม่ว่าจะในแง่รสชาติหรือกลิ่น

หลังจากจิบเข้าไปอีกรอบ ความเย็นสดชื่นที่ผสานกับความร้อนระอุก็ทำให้ชายหนุ่มอยากพ่นลมร้อนออกจากโพรงจมูก

“ไฟและน้ำแข็งที่ผสานกันเป็นหนึ่ง ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนเหาะเหินเดินอากาศได้!” ปู้ฟางเอ่ยปากชมอีกครั้งก่อนจิบอีกจิบ รวมเป็นสามจิบก็หมดจอกพอดี

ชายหนุ่มส่ายศีรษะเบาๆ รู้สึกมึนเมาเล็กน้อย เขาดื่มเข้าไปเพียงจอกเดียวก็เมาแล้ว… ความแรงของมันจัดว่าใช้ได้เลยทีเดียว

ปู้ฟางใช้พลังปราณขับไล่ฤทธิ์เหล้าในร่างกาย พลันก็รู้สึกได้สติขึ้นมาเล็กน้อย เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก แล้วจ้องไปที่เหยือกหยกด้วยสายตากระหาย

คำนวณคร่าวๆ แล้วดูเหมือนว่าเขาจะกลั่นสุราออกมาได้เพียงสามเหยือกในครั้งนี้ หากจะนำไปขาย คงขายเป็นเหยือกไม่ได้อย่างแน่นอน

สุราชนิดนี้แรงมาก แม้แต่ตัวเขาเองดื่มไปจอกเดียวยังเมามายใกล้หมดสติ

ชายหนุ่มผสมของเหลวที่เหลืออยู่แล้วกลั่นออกมาได้เพิ่มอีกสองเหยือก

ของเหลวที่เหลือซึ่งใช้ไม่ได้เขานำไปเททิ้งลงท้องของเจ้าขาว หุ่นยนต์ตัวอ้วนทำเพียงเกาศีรษะตอบรับพร้อมดวงตาที่กะพริบแสงวาบเท่านั้น

“นี่มัน… ข้าว่าแล้วว่ากลิ่นนี้ต้องมาจากร้านเถ้าแก่ปู้! สงสัยอยู่แล้วเชียวว่าใครกันในนครหลวงที่จะทำสุรากลิ่นหอมขนาดนี้ได้อีก… จะเป็นใครไปเสียได้ถ้าไม่ใช่เถ้าแก่ปู้!”

หนี่หยันเดินตามกลิ่นสุรามาถึงหน้าตรอก เมื่อเห็นตรอกที่คุ้นเคยอยู่ตรงหน้านางก็คิดได้ทันที ใบหน้าสวยประดับไปด้วยรอยยิ้มหวาน แต่รอยยิ้มนั้นก็จางหายไปในเวลาไม่นาน เหลืออยู่เพียงคิ้วที่ขมวดมุ่นแทน

“อืมมม… ร้านเถ้าแก่ปู้ไม่ขายตอนกลางคืนนี่นะ แปลว่าต้องรอถึงพรุ่งนี้เช้ากว่าจะได้ดื่มเช่นนั้นหรือ!”

ขณะที่หนี่หยันกำลังลังเลอยู่นั้นเอง เสียงฝีเท้ามากมายก็ดังก้องขึ้นบนถนนว่างเปล่า

หนี่หยันหันไปมองด้วยความประหลาดใจ แล้วก็เห็นกลุ่มคนกำลังมุ่งหน้ามาทางนาง มุมปากของหญิงสาวกระตุกขวับ… คนที่มาเยือนเหล่านี้สภาพดูน่ากลัวเล็กน้อย

ด้านหน้าของฝูงชนนั้นเป็นกลุ่มสิบสามกองโจร ทุกคนวิ่งปุเลงๆ มาพร้อมทำจมูกฟุดฟิดไปในอากาศ

ด้านหลังเป็นกลุ่มชายชรามากมาย พลังปราณที่ปล่อยออกมาก็น่ากลัวมากเช่นกัน บางคนมีปราณอยู่ในระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการเลยทีเดียว

ชายในชุดแดงเองก็เดินดมอากาศมาพร้อมเอามือไพล่หลังเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีชายชราหนวดขาวที่สะพายกระบี่ยาวไว้บนหลัง เขากำลังก้าวยาวๆ มาทางร้าน

สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางน้ำลายไหลย้อยที่มุมปากขณะเดินปึงๆ มาที่ร้าน ส่วนโอวหยางซงเหิงและผู้เฒ่าโอวหยางฉีเองก็เดินตามหลังทั้งสามมา…

บรรดาชายขี้เมาแห่งตระกูลโอวหยางมากันพร้อมหน้าเลยทีเดียว

แสงหนึ่งสว่างวาบขึ้น ตามมาด้วยเซียวเยวี่ยซึ่งเหาะมาบนกระบี่ ส่วนเซียวเหมิงที่เดินตามกลิ่นสุรามาเองก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน

ช่างเป็นการรวมตัวที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้ บรรดาผู้ที่มายืนออกันหน้าตรอก ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

เซียวเหมิงรู้สึกงงเสียยิ่งกว่างง เขาคิดอยู่แล้วว่ากลิ่นนี้ต้องเป็นฝีมือของเถ้าแก่ปู้แน่นอน เพราะนึกไม่ออกเลยว่ากลิ่นเช่นนี้จะโชยออกมาจากที่ไหนได้อีกถ้าไม่ใช่ร้านเล็กๆ ของฟางฟาง

สีหน้าของผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดซีดเป็นไก่ต้ม นี่มันสถานที่แห่งความทรงจำอันเลวร้ายของเขาเมื่อกลางวันนี่นา

ทุกคนต่างมองหน้ากันพลางพยักหน้าให้กันเพื่อแสดงไมตรีจิต แต่ไม่มีใครพูดอะไรเพราะล้วนรู้สึกอับอาย เนื่องจากพวกเขาต่างเป็นกลุ่มคนชั้นนำ แต่กลับเดินตามกลิ่นเหล้ามาตอนดึกดื่นค่ำคืน ยิ่งไปกว่านั้นยังมาเจอกันกลางทางอีกต่างหาก หากจะบอกว่าไม่อายก็คงโกหกแล้ว

เมื่อทุกคนก้าวเข้าไปในตรอก ก็ได้เห็นว่าปากทางเข้าร้านปิดตายอยู่ กลิ่นสุราหอมยังคงลอยออกมาไม่หยุดยั้ง

ทุกคนตกใจเป็นอันมาก แน่นอนว่าพวกเขาย่อมเคยได้ยินกันอยู่แล้วว่าสุราชั้นเลิศนั้นจะกระจายกลิ่นไปได้ถึงสามสิบลี้ แต่กลิ่นสุราที่ออกมาจากร้านนี้… กินพื้นที่เป็นวงกว้างถึงสามร้อยลี้เลยทีเดียว

“หอมอะไรเช่นนี้ ชายชราผู้นี้ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ข้าจะเข้าไปลองชิมดูก่อนก็แล้วกัน บรรดาสหายค่อยๆ ตามมานะ”

ชายชราที่สะพายกระบี่อยู่บนหลังหมดความอดทนก่อนคนแรก เขาก้าวยาวๆ ตรงไปที่ร้านพร้อมหัวเราะร่วน

“ท่านปรมาจารย์แห่งตำหนักกระบี่มหาสูญ เทียนสวีจื่อ!” รูม่านตาของเซียวเยวี่ยหดแคบด้วยความตกใจ ชายผู้นี้เป็นปรมาจารย์แห่งวิถีกระบี่ผู้มีปราณระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ!

แต่สีหน้าของเซียวเยวี่ยก็เปลี่ยนเป็นประหลาดทันที มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นยิ้มเยาะขณะมองแผ่นหลังของเทียนสวีจื่อ