ทุกคนในตำหนักกระบี่มหาสูญรู้กันดีว่าเทียนสวีจื่อนั้นชอบร่ำสุราเป็นชีวิตจิตใจ

อันที่จริงแล้วหลายคนที่เลือกวิถีแห่งกระบี่ก็ชื่นชอบการดื่มสุรากันทั้งนั้น ดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่อธิบายไม่ได้ระหว่างจอมยุทธ์กระบี่กับน้ำเมา จึงทำให้บรรดาจอมยุทธ์กระบี่ทั้งหลายชื่นชอบการดื่มสุราขึ้นใจ

เซียวเยวี่ยเองก็ชอบดื่มสุรามากเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเดินตามกลิ่นสุรามาทั้งที่ดึกดื่นค่ำมืดขนาดนี้ แต่เทียนสวีจื่อนั้นชื่นชอบการดื่มมากเสียยิ่งกว่า ชายชราจึงหมดความอดทนแล้วเดินดุ่มๆ เข้าไปก่อนเป็นคนแรก

เซียวเยวี่ยมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความขบขัน “เทียนสวีจื่อเดินบุ่มบ่ามเข้าไปแม้กลิ่นนั้นจะมาจากร้านเถ้าแก่ปู้เช่นนั้นรึ… ไม่รู้หรือว่าร้านเล็กๆ ของฟางฟางนี้มีชื่อเสียงอย่างไร” เขาคิด

ทุกคนยืนนิ่งอยู่กับที่ มองแผ่นหลังของเทียนสวีจื่อด้วยสายตาประหลาด ชายชราเดินเข้าตรอกไปเรียบร้อยแล้ว

เขาสะพายกระบี่ยาวไว้บนหลัง ชุดคลุมโบกกระพือเสียงดังตามแรงลม ชายชราเทียนสวีจื่อเดินมาถึงหน้าร้านอย่างไม่รีบร้อน

สิ่งแรกที่เขาเห็นคือสุนัขสีดำตัวใหญ่ที่นอนหลับอยู่หน้าร้าน

ชายชราคิดอยู่สักพัก ก่อนจะหันสายตาไปมองทางเข้าร้านที่ปิดสนิทอยู่ “ดูเหมือนว่าทางเข้าจะปิด ร้านไม่ได้เปิดทำการตอนนี้” เขาคิด

จากนั้นเทียนสวีจื่อก็ยกมือขึ้นเคาะไม้กระดาน

เสียงเคาะดังก้องอยู่ในตรอก ทุกคนเริ่มกระวนกระวาย สายตาจริงจังขึ้นมาทันที

หลังจากที่เคาะอยู่สักพัก สีหน้าของเทียนสวีจื่อก็เริ่มมืดลง… เนื่องจากภายในร้านไม่มีเสียงอะไรดังลอดออกมาเลยแม้แต่น้อย นั่นแปลว่าเจ้าของร้านกำลังทำเมินเขาอยู่ไม่คิดจะเดินมาเปิดประตูให้

“กล้าดีอย่างไรมาเมินข้า! แต่อาจเพราะหมอนี่ไม่รู้ก็ได้ว่าเป็นข้าที่มาเคาะ…” เทียนสวีจื่อคิด สีหน้าดูขุ่นเคือง

เทียนสวีจื่อกระแอมกระไอหนึ่งทีก่อนเอ่ย “เถ้าแก่ ข้ามีนามว่าเทียนสวีจื่อจากตำหนักกระบี่มหาสูญ ข้าได้กลิ่นสุราหอมลอยออกมาจากร้านเจ้า เลยมาที่นี่ด้วยตนเองเพื่อขอซื้อ โปรดเปิดประตูให้ข้าหน่อยได้หรือไม่”

เสียงดังของเทียนสวีจื่อสะท้อนอยู่ในตรอกเงียบ

ทว่าผ่านไปนานสองนานก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ ทางเข้ายังคงปิดสนิท กระดานไม้ไม่ขยับแม้แต่น้อย

เทียนสวีจื่อหมดความอดทนสติขาดผึง ใบหน้าของเขาบูดบึ้ง “ต่อให้ข้ามาเพื่อขอซื้อสุราจากเจ้าด้วยความจริงใจ เจ้าก็ยังไม่ตอบข้าอีกหรือ สถานะของข้าไม่สูงพอที่จะให้เจ้าเปิดร้านหรืออย่างไร”

เทียนสวีจื่อ ปรมาจารย์แห่งตำหนักกระบี่มหาสูญ ตอนยังหนุ่มนั้นเขาเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิวายุแผ่ว แม้ตอนนี้จะแก่ขึ้นมาก แต่ความน่าเกรงขามกลับไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อย หลายเรื่องราวของเขายังคงเป็นตำนานที่เล่ากันปากต่อปากภายในอาณาจักร

เซียวเยวี่ยยิ้มเยาะ แค่ฟังสิ่งที่เทียนสวีจื่อประกาศออกมาเขาก็ขำแล้ว… “ถ้าจะให้พูดตรงๆ สถานะของท่านก็ไม่พอให้เถ้าแก่ปู้เปิดร้านจริงๆ นั่นละ”

“สามหาว ข้าไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบไม่ไว้หน้าเช่นนี้มาก่อน! วันนี้ข้าได้สัมผัสด้วยตนเองแล้วว่าความเย่อหยิงจองหองนั้นเป็นอย่างไร! ถ้าเช่นนั้นก็อย่ามาโทษข้าที่ล้ำเส้นก็แล้วกัน!” เทียนสวีจื่อโกรธเป็นอันมาก พลังปราณในเส้นปราณของเขาหมุนวน ผมและหนวดเริ่มกระพือตามแรงลม

กระแสปราณพัดวนรอบตัวชายชรา ภาพมายาของมังกรตัวเล็กบินวนอยู่รอบกาย

ปัง!

ดวงตาของเทียนสวีจื่อแข็งกร้าวขึ้นขณะฟาดฝ่ามือไปข้างหน้า ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยพลังปราณนั้นกระแทกไปยังไม้กระดานที่ปิดหน้าร้านอยู่

คลื่นพลังปราณกระจายออกเป็นวงกว้าง ทำให้สีหน้าของใครหลายคนที่อยู่ตรงนี้เปลี่ยนไปทันที

พลังปราณของเทียนสวีจื่อ… แข็งแกร่งสมคำร่ำลือจริงๆ!

แต่หลังจากที่หลายคนพากันตกอกตกใจกับระดับพลังปราณอันแข็งแกร่งของชายชรา สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนเป็นประหลาดขึ้นเรื่อยๆ ยี่จือหลิงผู้แสนอ่อนต่อโลกกลั้นขำเอาไว้ไม่ไหว จนต้องระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น

สถานการณ์กลายเป็นกระอักกระอ่วนทันที

แม้ฝ่ามือของเทียนสวีจื่อจะทำให้เกิดคลื่นพลังปราณรุนแรง แต่ไม้กระดานกั้นประตูกลับไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย ทางเข้าร้านยังคงปิดสนิทอยู่เหมือนเดิม

ทั้งผมและหนวดของเทียนสวีจื่อโบกสะบัดด้วยพลังปราณภายในกาย ดวงตาเบิกกว้าง มือวางอยู่ที่ไม้กระดาน ดูเหมือนกำลังตัดสินใจว่าจะลดมือลงดีหรือไม่…

ก่อนหน้านี้เขาประกาศกร้าวว่าจะพังร้านเข้าไป… แต่ผลที่ออกมาคือแค่ทำให้ไม้กระดานสั่นเขายังทำไม่ได้ ช่างเป็นความรู้สึกที่เหมือนถูกเรียกไปตบกลางตลาดก็ไม่ปาน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเขาที่รนหาที่เองอีกด้วย

เทียนสวีจื่อดึงมือออกจากไม้กระดานพลางกระแอมกระไอแก้เก้อ เขาเอาปลายเท้าแตะพื้นเพื่อดีดตัวขึ้นไปในอากาศ ลอยห่างจากร้านขึ้นไป

ชายชราทำนิ้วให้รูปกระบี่ พลังงานกระบี่หมุนวนรอบกายตัดแหวกอากาศ

“ข้าจะให้โอกาสอีกครั้ง หากเจ้ายังไม่ออกมา… ข้าจะบุกเข้าไปจริงๆ แล้ว!” เทียนสวีจื่อพูดอย่างไม่อายปาก

ทางเข้าร้านยังคงปิดสนิท ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมาแม้แต่แอะเดียว

เทียนสวีจื่ออายจนแทบซุกแผ่นดินหนี เขาร้องตะโกนออกมา จากนั้นก็ชี้นิ้วไปข้างหน้า พลังปราณกระบี่ที่หมุนวนรอบกายซัดเข้าหาร้านทันที

เจ้าดำที่นอนอยู่ที่หน้าทางเข้าร้านเปิดปากหาว มันมองพลังปราณกระบี่ระยิบระยับที่พุ่งเข้าใส่ประตูด้วยสายตาเมินเฉย จากนั้นก็กลอกตาแล้วกลับไปนอนต่อ

ฝุ่นคลุ้งตลบอบอวลไปในอากาศ สายลมค่อยๆ พัดเอาฝุ่นที่ฟุ้งกระจายให้ลอยหายไป

ดวงตาของเทียนสวีจื่อสั่นระริกจนแทบจะหลุดออกจากเบ้า…

“อะไรกัน ไอ้ตึกโทรมจะพังแหล่ไม่พังแหล่นี่มันทำมาจากกระดองเต่าหรืออย่างไร เหตุใดจึงยังอยู่อีก… อย่างน้อยก็ช่วยบุบสักนิดไม่ได้หรือ! ต้องด้านต้องทนขนาดนี้เชียวรึ!”

เทียนสวีจื่อรู้สึกเหมือนตนเองเพิ่งโดนสุนัขเหยียบหาง กระบวนท่าที่เขาใช้เมื่อครู่ค่อนข้างแข็งแกร่งมากแล้ว ต่อให้เป็นประตูนครหลวงก็อาจถล่มลงมาได้ แล้วเหตุใดทางเข้าของร้านพรรค์นี้… ถึงกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนกัน!

“ฮ่าๆ! เทียนสวีจื่อ เจ้าแก่จนฝีมือตกไปถึงขนาดนี้แล้วหรือ ขนาดไม้กระดานสองสามแผ่นเจ้ายังทำลายไม่ได้เลย!”

“ทักษะของเทียนสวีจื่อนั้นน่าประทับใจก็จริง แต่ไม้กระดานที่ยังไม่มีแม้รอยขีดข่วนนี้ กลับน่าประทับใจเสียยิ่งกว่า!”

“พี่หญิงหนี่หยัน… ตาแก่นี่โง่หรือเจ้าคะ”

เทียนสวีจื่อฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์เขาอย่างออกรส แล้วก็รู้สึกเหมือนหัวใจตนเองถูกแทงทะลุด้วยลูกศรล่องหน…

ทุกคนเยาะเย้ยเขาไม่ลดละ ทำให้เทียนสวีจื่ออับอายมากเสียจนแทบจะชักกระบี่บนหลังออกจากฝัก แต่ก่อนที่เขาจะเริ่มโจมตีด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี ไม้กระดานปิดทางเข้าร้านก็ถูกยกขึ้น

ทันทีที่ทางเข้าร้านเปิด กลิ่นหอมรุนแรงกว่าเดิมก็โชยออกมา กลิ่นสุรานี้เปรียบเสมือนกลิ่นทิพย์ที่ทำให้ทุกคนมีความสุขล้น

ร่างหนึ่งกำลังถือจอกสุราพลางยืนพิงประตู เขามองมาที่ฝูงชนนอกร้านด้วยสีหน้ามึนเมา

“เอิ๊ก… ใครมาเคาะประตูร้านข้าดึกๆ ดื่นๆ กัน”

ปู้ฟางหน้าแดงก่ำ กระนั้นสีหน้าก็ยังคงนิ่งสนิท ภาพที่ขัดกันโดยสิ้นเชิงนี้ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก เขาสวมชุดคลุมที่แหวกเปิดหน้าอกเสียกว้าง คงเป็นเพราะเจ้าตัวรู้สึกร้อน

กลิ่นสุรายังคงลอยออกจากร้านอย่างต่อเนื่อง ดวงตาของเทียนสวีจื่อมองจอกในมือปู้ฟาง

“สุราชั้นเลิศ! ไม่ผิดอย่างแน่นอน! นี่เป็นสุราชั้นเลิศที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมาในชีวิตนี้!” ชายชราอุทานออกมา

พลังปราณปริมาณมากก่อตัวเป็นเมฆสามก้อน ลอยอยู่เหนือจอกสุราในมือปู้ฟาง

“แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องชั้นยอด แต่เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้า ใช่เจ้าหรือไม่ที่มาเคาะประตูร้านข้าดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้” ปู้ฟางเหลือบตามองเทียนสวีจื่อ ยังคงเอาตัวพิงประตูอยู่

“ใช่แล้ว ข้ามาเพื่อซื้อสุราจากเจ้า หวังว่าเจ้าจะยินดีทำให้ความต้องการของข้าเป็นจริง” เทียนสวีจื่อพูดด้วยความตื่นเต้น

ปู้ฟางเลิกคิ้ว เขายกสุราขึ้นจากนั้นก็โบกมันหราต่อหน้าทุกคน…

“เจ้าหมายถึง… สุราในจอกนี้น่ะหรือ” ปู้ฟางพูดเสียงเบา

พอชายหนุ่มโบกจอกสุราต่อหน้าทุกคน กลิ่นสุราที่อยู่ภายในจอกก็พุ่งเข้าโจมตีประสาทการรับกลิ่นของพวกเขาอีกระรอก จนทำให้ตาของทุกคนลุกวาวไปตามๆ กัน

แต่คนที่คุ้นเคยกับชายหนุ่มเป็นอย่างดีกลับมีใบหน้าอิหลักอิเหลื่อ…

มุมปากของพวกเขากระตุกขณะมองไปยังเถ้าแก่ปู้ที่ดูสติไม่อยู่กับร่องกับรอย ชายยียวนกวนประสาทผู้นี้น่ะหรือคือเถ้าแก่ปู้ที่พวกเขารู้จัก แม้ใบหน้าจะยังตายด้านเหมือนเดิม แต่การกระทำกลับ… มองแล้วรู้สึกหดหู่ใจเหลือเกิน

เถ้าแก่ปู้… เมาเช่นนั้นรึ

“ใช่แล้ว!” เทียนสวีจื่อกลื่นน้ำลาย จิตวิญญาณนักดื่มในกายเริ่มเต้นเร่าๆ เมื่อได้สูดกลิ่นนั้นเข้าไป

ปู้ฟางยิ้มเผล่ขณะมองเทียนสวีจื่อ จากนั้นเขาก็กระดกสุราทั้งหมดในจอกลงคอท่ามกลางสายตาของชายชราที่จับจ้องอยู่

ปู้ฟางแยกเขี้ยวยิงฟันพลางเอ่ย “ซื้ด อ้า! ช่างยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้!”

เทียนสวีจื่อรู้สึกราวกับหัวใจถูกกรีดด้วยมีดจนเป็นแผล “ไอ้หมอนี่… มันตั้งใจเช่นนั้นรึ!” เขาคิด

ปู้ฟางผ่อนลมหายใจออกมาจากนั้นก็เอ่ยต่อ “วันนี้ร้านเราปิดแล้ว จะไม่มีการขายอาหารใดๆ ทั้งสิ้น… รวมถึงสุราด้วย”

สีหน้าของเทียนสวีจื่อพลันเย็นชา “ถ้าข้าบอกให้ขาย เจ้าก็ต้องขายสิ! อย่ามาทำข้าเสียเวลากับเรื่องไร้สาระพรรค์นี้!”

ในตำหนักกระบี่มหาสูญหรือแม้แต่ในจักรวรรดิวายุแผ่ว ไม่มีใครกล้าพูดจาไม่ให้เกียรติเขาถึงเพียงนี้ ต่อให้เขาดื่มสุราโดยไม่จ่ายเงิน ก็ไม่เคยมีผู้ใดกล้าแม้แต่จะปริปากบ่น

แต่ไอ้เจ้าของร้านตรงหน้าเขากลับกล้าทำตัวจองหองถึงเพียงนี้…

เทียนสวีจื่อก้าวไปปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าปู้ฟางภายในพริบตาเดียว พลังงานของกระบี่ไหลเวียนอยู่รอบกาย

“คนที่กล้าหักหน้าข้าไปนอนเฝ้ารากมะม่วงกันหมดแล้ว ไอ้หนู… อยากตายหรือ”

พลังงานกระบี่ที่แผ่จากตัวชายชราเข้มแข็งคมกริบ เทียนสวีจื่อสำแดงความเป็นปรมาจารย์แห่งตำหนักกระบี่มหาสูญออกมาอย่างเต็มที่

ส่วนปู้ฟางก็ยังคงยืนพิงกรอบประตูด้วยสีหน้าสงบนิ่ง พลางคีบจอกสุราไว้ด้วยสองนิ้ว เขาเรอออกมาอีกครั้ง ส่งให้กลิ่นหอมของสุราฟุ้งกระจายอีกครา

ด้านหลังชายหนุ่ม ดวงไฟสีแดงสองดวงปรากฏขึ้น ตามมาด้วยร่างอ้วนของเจ้าขาว

ปู้ฟางมองเทียนสวีจื่อที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งช่วงแขน จากนั้นก็ย่นจมูกใส่ชายชราผู้มีผมและหนวดสีขาวโพลน

“ข้าก็บอกไปแล้วอย่างไรว่าวันนี้ร้านปิดแล้ว อยากมีเรื่องเช่นนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นก็เตรียมตัวเอาไว้ก็แล้วกัน”