บทที่ 199 เจ้าขาวนี่เยี่ยมยอดเกินจะเอ่ย

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“ถ้าจะก่อเรื่อง ก็เตรียมตัวรับผลที่จะตามมาได้เลย” ปู้ฟางเอ่ยเนิบๆ ก่อนจะเรอออกมาครั้งหนึ่ง

ชายหนุ่มยืนพิงกรอบประตูขณะหนีบจอกสุรากระเบื้องเอาไว้ด้วยสองนิ้ว ใบหน้าไร้อารมณ์เถ้าแก่ปู้ตอนนี้แดงก่ำไปด้วยฤทธิ์สุรา ดวงตาที่ปรือเพราะความมึนเมาดูยั่วยวนอย่างบอกไม่ถูก

เทียนสวีจื่อย่นหน้าเมื่อได้กลิ่นเรอ เขาก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนจะจ้องปู้ฟางด้วยสายตาเย็นชา

จากนั้นรอยยิ้มเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก ขณะที่เส้นผมและหนวดเคราของเทียนสวีจื่อเริ่มปลิวสะบัด พลังปราณกระบี่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเบื้องหลังเขา

“ถ้าข้าอยากจะก่อเรื่องแล้วมันอย่างไรกันเล่า หากคืนนี้ไม่ได้ดื่มสุรา ข้าจะถล่มร้านของเจ้าให้แหลก!” เทียนสวีจื่อกล่าว เขาวาดนิ้วเป็นดัชนีกระบี่ กระบี่เล่มยาวที่คาดอยู่บนหลังสั่นสะท้านเป็นจังหวะก่อนพุ่งออกมาจากฝัก มันบินวนไปมาอยู่หลายรอบแล้วมาหยุดอยู่เหนือศีรษะชายชราพอดี

คมมีดของกระบี่ช่างน่าตื่นตะลึง มันแววระยับจับสายตาราวกับเป็นประกายแสงของดวงดาวในความมืด

ท่านี้เป็นทักษะลับของตำหนักกระบี่มหาสูญ ทักษะกระบี่เริงระบำ

ตอนนั้นเองมุมปากของเซียวเยวี่ยก็กระตุกขณะจ้องมองดูชายชราสำแดงทักษะกระบี่เริงระบำออกมา ชายหนุ่มมองเทียนสวีจื่อผู้กระหายการต่อสู้ด้วยความรู้สึกอ่อนใจ เขารู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ได้หาข้อมูลใดๆ ก่อนจะมายังนครหลวงแห่งนี้ จึงไม่มีความรู้เรื่องร้านเล็กๆ ของฟางฟางแม้แต่น้อย

เซียวเหมิงเองก็เคยถูกอัดที่ร้านแห่งนี้มาก่อน ไฉนเลยเถ้าแก่ปู้จะต้องเกรงกลัวผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการแค่คนเดียวด้วย

อีกด้านหนึ่ง หนี่หยันกำลังจ้องมองการเผชิญหน้าครั้งนี้ด้วยความสนอกสนใจ ดวงตามีเสน่ห์น่าหลงใหลของนางเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความคาดหวังเมื่อเห็นร่างอ้วนกลมของเจ้าขาวก้าวออกมาจากด้านหลังปู้ฟาง

“เจ้าหุ่นเชิดตัวนี้…น่าสนใจทีเดียว” หนี่หยันคิด นางไม่เคยเห็นหุ่นเชิดประมือกับขั้นนักพรตยุทธการด้วยตาตนเองมาก่อน “ดูเหมือนวันนี้ข้าจะได้ดูอะไรสนุกๆ เสียแล้ว”

“พี่หญิงหนี่หยัน พวกเราจะไม่ช่วยเขาหรือเจ้าคะ เจ้าเทียนสวีจื่อนั่นเป็นถึงระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ แต่เถ้าแก่ปู้เป็นเพียงระดับห้าขั้นราชันยุทธการเท่านั้น… เขาจะไม่ตายหรือเจ้าคะ” ยี่จือหลิงถามด้วยความตกใจ

ดวงตาของนางเบิกโพลงด้วยความสับสนขณะจ้องมองไปยังหนี่หยันผู้ซึ่งในเวลานี้ดูเหมือนว่าอดใจรอชมแทบไม่ไหว

“ไม่เป็นไร เจ้าแก่นั่นไม่ตายหรอก” หนี่หยันตอบก่อนจะยกมือลูบศีรษะยี่จือหลิงเบาๆ

“…พี่หญิงหนี่หยัน ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้ากำลังพูดว่าเถ้าแก่อาจจะตกอยู่ในอันตรายเจ้าค่ะ ขั้นนักพรตยุทธการนั้นเข้มแข็งเอาเรื่องอยู่” ยี่จือหลิงพูดอย่างตั้งใจ

หนี่หยันเหลือบมองเด็กสาวผู้ซึ่งในความกระตือรือร้นของนางยังซ่อนความน่ารักแบบเด็กๆ เอาไว้ ศิษย์ผู้พี่อดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ นางกล่าวขึ้น “ไม่เป็นไร เถ้าแก่นั่น… อย่างไรก็ไม่ตายแน่นอน”

ยี่จือหลิงได้ยินคำตอบก็นิ่งงันไป

เซียวเหมิงเองก็ดูไม่กังวลใจเช่นกัน เขายืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงนั้น พลางคิดว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้เห็นว่าปรมาจารย์ของตำหนักกระบี่มหาสูญแข็งแกร่งเพียงใด ก่อนหน้านี้ตัวเซียวเหมิงเองก็ต่อสู้กับเจ้าขาว ได้อย่างสูสี หากเทียนสวีจื่อทำได้เช่นเดียวกัน เขาคงต้องเริ่มมองปรมาจารย์ผู้นี้เป็นคู่แข่งอย่างจริงจัง

หัวขโมยทั้งสิบสามแห่งโม่จั่วก็จับจ้องมองดูการเผชิญหน้ากันระหว่างเทียนสวีจื่อกับปู้ฟางอย่างสนอกสนใจพร้อมด้วยรอยยิ้มตื่นเต้น

ชายในชุดสีแดงมู่หลิงเฟิงยืนพิงกำแพงตรอกพลางขยับนิ้วมือไปมา สายตาจับจ้องอยู่ที่การต่อสู้ที่พร้อมจะปะทุขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า

ปู้ฟางเม้มปากเข้าหากันเมื่อนึกถึงรสชาติอันหอมหวานของสุราขึ้นมา จากนั้นชายหนุ่มก็ยืดหลังตรงก่อนจะปัดฝุ่นออกจากชุดแต่งกาย เขาหันหลังกลับไปลูบท้องของเจ้าขาวเบาๆ พลางกล่าวว่า “อัดเจ้าพวกตัวปัญหาให้เละแล้วโยนมันออกไป”

“ทุกคนวันนี้ร้านปิดแล้ว หากใครอยากชิมเหล้า ขอให้มาต่อแถวใหม่ตอนเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ ร้านเราไม่ให้บริการหลังเวลาทำการ”

ร่างของปู้ฟางค่อยๆ หายเข้าไปในความมืดหลังร้าน แต่ไม่นานน้ำเสียงอันเฉยเมยของเขาก็สะท้อนออกไปดังก้องอยู่ในหูของทุกคนในบริเวณใกล้เคียง

สีหน้าของคนเหล่านั้นเปลี่ยนไป มาใหม่… พรุ่งนี้อย่างนั้นหรือ

บ้างก็ถึงกับยิ้มเยาะ เพราะคิดดูถูกคำพูดของปู้ฟาง เจ้านี่คิดว่าตนเองเป็นใครกัน บอกให้ผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการยืนต่อแถวรอเวลาทำการรึ

ขนาดองค์จักรพรรดิ… ยังไม่อาจทำเช่นนั้นได้ด้วยซ้ำ!

“ฮะฮ่า ต่อแถวใหม่พรุ่งนี้อย่างนั้นหรือ ถ้าหน้าร้านถูกถล่มยับไปเสียในคืนนี้ ก็คงไม่ต้องต่อแถวแล้วสินะ” ผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวขโมยอีกสิบสองคนคือผู้นำกองโจรลำดับเจ็ด เขาส่งยิ้มเยาะขณะที่สายตาจับจ้องไปยังร่างอันน่าเกรงขามของเทียนสวีจื่อ

เมื่อเทียนสวีจื่อเห็นว่าปู้ฟางเมินตนเองแล้วเดินเข้าหลังร้านไป เขาก็โกรธเป็นอย่างยิ่ง เหตุใดเทียนสวีจื่อชื่อก้องโลกจึงถูกเมินเสียเฉยๆ อย่างนั้น เจ้าหนุ่มนี่ช่างโอหังเกินไปแล้ว!

“ไอ้เด็กบัดซบ คิดหรือว่าแค่หุ่นเชิดตัวเดียวจะหยุดข้าได้ โง่เขลาอะไรเช่นนี้!”

เทียนสวีจื่อส่งเสียงคำรามพร้อมพุ่งทะยานออกไปข้างหน้า เขากวัดแกว่งดัชนีกระบี่ ส่งผลให้กระบี่เหาะเหินของเขาแปรสภาพเป็นธารแห่งแสง ขณะที่ชายชราก้าวเท้าออกไป ร่างเรืองแสงที่ห่อหุ้มด้วยปราณกระบี่ก็ปรากฏขึ้นทุกหนแห่ง ทุกร่างพุ่งเข้าใส่ร้านที่อยู่ตรงหน้าพร้อมๆ กัน เป้าหมายก็คือปู้ฟาง

เจ้าขาวยืนปักหลักอยู่ที่เดิมพร้อมพุงใหญ่โตและดวงตาจักรกลที่กะพริบเป็นสีแดง ขณะที่ลำแสงสีแดงส่องไปทั่วเพื่อสำรวจสิ่งรอบข้าง ผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดซึ่งยืนอยู่ในฝูงชนก็ตัวสั่น จู่ๆ เขาก็นึกถึงความทรงจำที่ไม่ค่อยจะดีขึ้นมาได้

ทั้งบริเวณปกคลุมไปด้วยปราณกระบี่และร่างเรืองแสง เทียนสวีจื่อเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็ว หวังจะผ่านเจ้าขาวไปในพริบตา

ระดับปราณของเทียนสวีจื่อนั้นสูงยิ่ง การเคลื่อนที่ของเขาทำเอาฝูงชนที่เฝ้ามองอยู่ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะมีสีหน้าตึงเครียด ขั้นนักพรตยุทธการผู้เชี่ยวชาญด้านกระบี่นั้นแน่นอนว่าน่ากลัวๆ เป็นอย่างยิ่งในการสู้รบ

ขนาดเซียวเหมิงเองยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากการโจมตีนี้

ขณะเดียวกัน ริมฝีปากของหนี่หยันก็บดเข้าหากัน การโจมตีสุดฉูดฉาดนี้ช่างเหมือนการคุยโวอันน่าขนลุก แต่กระนั้นนางก็ต้องยอมรับ… ว่ามันเป็นการโจมตีที่หนักหน่วงไม่ใช่น้อย

“พี่หญิงหนี่หยัน…” เมื่อยี่จือหลิงเห็นเทียนสวีจื่อใช้กระบวนท่านั้นออกมา นางก็หันไปมองหนี่หยันอีกครั้งเหมือนจะถามว่าควรเข้าไปขัดขวางหรือไม่

เป็นอีกครั้งที่หนี่หยันส่ายหน้า แต่ใบหน้าที่เคร่งเครียดของนางก็แสดงให้เห็นว่าตัวนางเองเริ่มไม่มั่นใจแล้วเช่นกัน

ร่างของเทียนสวีจื่อในตอนนี้มองแทบไม่เห็นเมื่อถูกห้อมล้อมด้วยปราณกระบี่ เขาพยายามใช้ช่องว่างนี้ลักลอบเข้าไปในร้าน ปรมาจารย์กระบี่มั่นใจในตนเองเป็นอย่างยิ่ง เพราะอย่างไรเสีย เขาก็ยังมีทักษะกระบี่เริงระบำอยู่ ไม่ว่าจะต่อสู้หรือหลบหนี เทียนสวีจื่อก็เร็วเสียจนศัตรูตามไม่ทัน ชายชรามั่นใจมากว่าหุ่นเชิดเพียงตัวเดียวไม่อาจป้องกันร้านค้าจากเขาได้

“ไอ้เด็กอวดดีคนนั้น ข้าจะสั่งสอนมันให้รู้สำนึก ข้าจะสอนให้มันรู้จักเคารพผู้แข็งแกร่ง!” เทียนสวีจื่อคิดย่ามใจ

ผัวะ!

จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ปราณกระบี่ที่ห้อมล้อมอยู่รอบบริเวณเมื่อครู่หายไปในพริบตา

กระบี่ยาวร่วงลงพื้นเสียงดังสนั่น

เทียนสวีจื่อหน้าเสีย ชายชราไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง ร่างกายที่เกือบจะล่องหนของเขากำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเพื่อจะผ่านเจ้าขาวไป แต่จู่ๆ ร่างของเขาก็สั่นเทิ้ม ดวงตาทั้งคู่มองเห็นฝ่ามือโลหะใหญ่ขึ้นเป็นลำดับ

เปรี้ยง!

ศีรษะของเทียนสวีจื่อชนเข้ากับฝ่ามือของเจ้าขาวอย่างจัง ในชั่ววินาทีที่ชนกัน ความรู้สึกอันยากจะบรรยายก็ไหลบ่าเข้าท่วมจิตใจของปรมาจารย์ตำหนักกระบี่มหาสูญ

“บัดซบ…”

ร่างที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วของเทียนสวีจื่อหยุดชะงักก่อนจะถูกซัดกระเด็นไปด้วยพลังมหาศาล ร่างของเขาปลิวละล่องถอยหลังแล้วกระแทกพื้นอย่างรุนแรง แรงเฉื่อยยังผลักให้เขากระเด็นออกไปอีกระยะหนึ่งหลังจากที่กระทบพื้นแล้ว…

ความอับอายและเงียบงันไหลเข้าปกคลุมพื้นที่…

จู่ๆ บรรยากาศก็ให้ความรู้สึกแปลกแปร่ง

ดวงตาของฝูงชนเปี่ยมไปด้วยความไม่อยากเชื่อขณะจ้องมองไปยังภาพอันน่าเวทนาของเทียนสวีจื่อที่ร้องครวญครางอยู่บนพื้นพลางยกมือกุมจมูก ฝูงชนหันกลับไปมองเจ้าขาวตัวอ้วนท้วนอีกครั้ง ใบหน้าของพวกเขา…ดูราวกับว่าเพิ่งเห็นสุนัขกัดพญาราชสีห์จนถึงแก่ความตาย

ดวงตาคู่สวยของยี่จือหลิงเบิกโพลง ริมฝีปากสีดอกกุหลาบของนางอ้ากว้างเสียจนสามารถยัดไข่ไก่เข้าไปได้ทั้งฟอง

ใบหน้าของหนี่หยันมีรอยยิ้ม หญิงสาวถอนหายใจโล่งอก เป็นดังที่นางคาดการณ์ไว้ เถ้าแก่ปู้ไม่ใช่พวกไร้สมอง เพราะมั่นใจในความสามารถของตนเองจึงได้ทำเช่นนี้

ถึงนางจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเป็นความบังเอิญมากน้อยเพียงใด แต่การส่งขั้นนักพรตยุทธการลอยละล่องไปด้วยการจู่โจมแค่ครั้งเดียว… เจ้าขาว เจ้านี่ช่างยอดเยี่ยมเกินจะเอ่ย!

หนี่หยันมีความสุขเป็นที่สุด

เทียนสวีจื่อลุกขึ้นยืน แต่มือยังกุมจมูกไว้ อึดใจก่อนหน้านี้ จมูกของเขาปะทะกับฝ่ามือโลหะของเจ้าขาวเข้าไปเต็มเปา ความรู้สึกที่กำลังวิ่งเร็วๆ แล้วจมูกไปชนกับอะไรสักอย่างทำให้เขาอยากร้องไห้ออกมาเสียให้ได้…

ชายชราโกรธสุดๆ เขาถูกโทสะเข้าครอบงำ หากก่อนหน้านี้เป้าหมายของเขาคือการทำโทษเจ้าเด็กอวดดีคนนั้น เป้าประสงค์หนึ่งเดียวของเขาในตอนนี้ก็คือการฉีกเจ้าหุ่นเชิดที่ทำให้เขาอับอายออกเป็นชิ้นๆ

ความประมาทของเทียนสวีจื่อเกือบจะทำให้เขาต้องพ่ายแพ้อย่างน่าละอาย เรื่องนี้เป็นสิ่งที่… น่าอดสูเป็นอย่างยิ่ง!

ฟุบ!

กระบี่ยาวที่ร่วงหล่นลงพื้นเมื่อครู่ส่งเสียงต่ำๆ ก่อนจะเหาะกลับไปลอยอยู่หน้าเทียนสวีจื่อ สีหน้าของปรมาจารย์ตอนนี้จริงจัง ราวกับว่ามีกระบี่เล่มเล็กจ้อยวิ่งวนอยู่ในแววตา จากนั้นเพียงแค่ขยับดัชนีกระบี่เล็กน้อย กระบี่เล่มยาวก็เริ่มแบ่งตัว กลายเป็นสองเล่ม สี่เล่ม ก่อนจะมากมายเกินนับไหว…

กระบี่เล่มยาวจำนวนมหาศาลลอยอยู่ตรงหน้าเทียนสวีจื่อ

ไปเลย เหล่ากระบี่ของข้า!