“อ๊ะ ฟังผมก่อนนะพี่…ไม่! พี่ต้องฟังที่ผมจะอธิบาย!”
ทั้งสามพากันออกจากจุดวาร์ปที่เปรียบเสมือนชุมนุมขนาดย่อม ๆ หลังจากที่คนเริ่มทยอยเข้ามากันมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้จุดวาร์ปนี้เต็มไปด้วยผู้คนก็เพราะการมาของจืออี้นั่นเอง เธอมักจะดึงดูดหนุ่ม ๆ ได้ทุกครั้งไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม ดังนั้นไม่นานนักรอบตัวเธอจึงเต็มไปด้วยผู้เล่นชายอย่างเลี่ยงไม่ได้
อันที่จริง จืออี้นั้นก็ค่อนข้างแตกต่างกับผู้เล่นหญิงคนอื่น ๆ ที่มักจะซ่อนใบหน้าของพวกเธอไว้ใต้ผ้าปิดหน้าหรือหน้ากากตลอดเวลา แต่สำหรับเธอ หญิงสาวกลับเลือกที่จะเปิดเผยใบหน้าอันน่าหลงใหลนั้นอย่างไม่ปิดบังแม้แต่นิด
“ฉันกำลังฟังอยู่ เพราะถ้ายึดเอาตามนิสัยปกติของนาย ฉันคงจะต้องคิดทบทวนเรื่องไปบอกคุณน้าเรื่องที่นายโดดเรียนมาเล่นเกมแล้ว”
ใบหน้าของจืออี้เป็นทรงรีคล้ายสุนัขจิ้งจอก แม้รอยยิ้มของเธอจะเป็นที่ต้องตาต้องใจชายหนุ่มหลายคน แต่สายตาของเธอกลับไม่ได้ใจดีเหมือนรอยยิ้ม ดังนั้นมันจึงทำให้ซางกวน อาโอเชินถึงกับเหงื่อตกยามที่ต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
ในตอนที่เธอมาถึงเมืองเทียนหลงที่จุดวาร์ปนั้น เธอเผอิญได้ยินซางกวน อาโอเชินบอกว่าจะขายเธอพอดี เพราะงั้นแล้วสิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มเกรงกลัวเธอจริง ๆ คงไม่ใช่แววตาที่ไม่ใจดีหรอก หากแต่เป็นจิตสังหารที่แผ่ออกมาผ่านใบหน้าสวยนั้นต่างหาก
“พะ…พี่สาว มาดูนี่ก่อน!”
หนุ่มน้อยกระโตกกระตากขณะที่พูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก เขาหันซ้ายทีขวาทีก่อนจะนึกถึงกรงเล็บมังกรของเซียวเฟิง เจ้าตัวจึงชี้นำความสนใจเผื่อว่ามันจะได้ผลและทำให้จืออี้เลิกโกรธเขาได้
“นี่มัน…อาร์ติแฟคท์!”
มันได้ผล และได้ผลในระดับที่จืออี้ไม่สามารถรักษาความใจเย็นไว้ได้ด้วย ใบหน้าสวยของเธอแสดงออกให้เห็นถึงความตกใจ ดวงตาสวยเองก็เบิกกว้างขณะพูดด้วยความตกใจ
“อย่าบอกนะว่าผู้ที่ครอบครองอุปกรณ์อาร์ติแฟคท์ในอันดับ 1 ก็คือท่านเซียวน่ะ?” จืออี้หันไปมองยังเซียวเฟิง ก่อนจะถอนหายใจเพราะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย เอาจริง ๆ เธอก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเซียวเฟิงน่ะเป็นผู้ครอบครองอาร์ติแฟคท์แน่ ๆ ไม่เพียงแต่เธอ ทุก ๆ คนในเขตฮัวเซียเองก็รู้กันหมด
แต่อย่างไรก็ตาม เธอคิดมาตลอดว่าพลังของอาร์ติแฟคท์นั้นจะทรงพลังและเหมาะสมกับอาชีพสายทำความเสียหายต่อวินาทีหนัก ๆ เสียมากกว่า ดังนั้นแล้วสำหรับนักบวชอย่างเธอและเขา มันช่างเป็นอะไรที่น่าเสียดายจริง ๆ
“มันจะใช่แบบนั้นได้ยังไงเล่า! พี่ชายกับฉันน่ะเพิ่งจะร่วมมือกันแล้วได้มันมาเมื่อกี้นี่เองนะ! นี่เป็นอาร์ติแฟคท์อันดับที่ 2 ในอันดับอุปกรณ์ต่างหาก! เห็นหรือยังล่ะว่าพวกเราทรงพลังกันขนาดไหน? พี่สาวรู้หรือเปล่าว่าบอสที่จะดร็อปของวิเศษแบบนี้ได้ต้องเลเวลขนาดไหนกัน? ทั่วทั้งเขตนี้น่ะ มีแค่พี่ชายกับฉันเท่านั้นที่เก่งพอจะโค่นมันได้!” เด็กหนุ่มพูดด้วยความภาคภูมิใจราวกับว่าเขาเป็นคนที่ทำให้เซียวเฟิงได้อุปกรณ์ชิ้นนี้มาด้วยตนเอง
“อาร์ติแฟคท์นี่มันมีเป็นชุดนี่! เขามี 2 ชิ้นจากในชุดนี้แล้วงั้นเหรอ!?”
ต้องขอบคุณไอ้เด็กนี่ที่คอยย้ำเตือนจริง ๆ ในที่สุดจืออี้ถึงจำได้ว่าในอันดับอุปกรณ์นั้น มีอาร์ติแฟคท์ถึง 2 ชิ้นแล้วที่มีเจ้าของเป็นคนคน เดียวกัน จังหวะที่อีกฝ่ายกำลังภาคภูมิใจตนเองนั้น เธอก็ตรวจสอบอันดับอุปกรณ์อย่างละเอียดถี่ถ้วน ถึงได้เห็นว่าอาร์ติแฟคท์ชิ้นนี้เป็นอาร์ติแฟคท์ที่มีหลายชิ้นในชุดเดียวกัน เมื่อตระหนักได้ดังนั้นจืออี้ก็ยิ่งตรวจสอบตัวตนของเซียวเฟิงอีกครั้ง เธอจ้องเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะพูดออกไปแบบนั้นด้วยความตกใจ
เขาไม่ได้ครอบครองอาร์ติแฟคท์เพียงชิ้นเดียว หากแต่มากถึง 2 ชิ้นแถมยังเป็น 2 ชิ้นในเซ็ตเดียวกันด้วย! มันชี้ชัดได้แล้วว่าเธอไม่สามารถตามเซียวเฟิงทันแน่ ๆ เขาประสบความสำเร็จเหนือผู้เล่นคนอื่นไปไกลมากแล้ว!
“ใช่แล้ว!” เด็กหนุ่มยังคงพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจราวกับว่าอาร์ติแฟคท์นั้นเป็นของเขาเอง
“เพราะงั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่นายอยากจะขายลูกพี่ลูกน้องของนายเองงั้นเหรอ? กับไอ้แค่ของชิ้นเดียวเนี่ยนะ?” สายตาของจืออี้วกกลับไปจ้องมองยังซางกวน อาโอเชินอีกครั้ง
“นี่มันอาร์ติแฟคท์เลยนะพี่สาว! อาร์ติแฟคท์เลยนะ! ไม่ใช่อุปกรณ์ทั่ว ๆ ไป…” เสียงของเจ้าตัวเล็กค่อย ๆ เงียบลงไปเพราะเขาเองก็เริ่มรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำด้วยเหมือนกัน
“ได้ งั้นถามใหม่ นายอยากจะขายลูกพี่ลูกน้องของนายเพราะแค่อาร์ติแฟคท์งั้นเหรอ? ไม่ใช่แค่เบอร์โทรศัพท์ แต่นายกล้าที่จะบอกที่อยู่ของฉันให้กับคนอื่นด้วย?” ถึงแม้ว่ารอยยิ้มบนใบหน้าอันงดงามของจืออี้จะดูสดใส แต่น้ำเสียงกลับขัดกับรอยยิ้มนั้นสุด ๆ
“นี่ไม่ใช่คนอื่นนะ! นี่น่ะ พี่ชายของฉัน…” ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งมีน้ำเสียงเบาลงเรื่อย ๆ ทันใดนั้นเอง ซางกวน อาโอเชินก็ฉุกคิดอะไรขึ้นได้และพูดมันขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่สาว พี่ชายน่ะเหมาะกับพี่สาวมากเลยนะ!”
“หา? เขาเหมาะกับฉันยังไง? ไหนพูดมาซิ” จืออี้ชำเลืองมองลูกพี่ลูกน้องของเธอด้วยแววตาประดุจพญานกฟินิกซ์ที่กำลังเกรี้ยวกราด
“พี่สาว พี่คิดดูนะว่าพี่น่ะทั้งสวยแล้วก็สง่างามแถมยังหุ่นดีขนาดนี้ ไหนจะเป็นถึงอันดับ 3 ในอันดับเทพธิดาอีก พวกนี้น่ะมันเป็นหลักฐานยืนยันได้เลยนะว่าพี่น่ะสวยระดับชาติ!” ซางกวน อาโอเชินกล่าวเยินยออีกฝ่าย และมันได้ผล เธอแสดงออกถึงความพอใจเป็นอย่างมากออกมา
“พูดต่อไปสิ”
“พี่สาว ในเมื่อพี่น่ะดีซะขนาดนี้ พี่ก็ต้องคู่กับชายที่ดีที่สุดเช่นกัน!” เขารีบพูดต่ออย่างไม่รอช้า
“ก็สมเหตุสมผลอยู่” จืออี้พยักหน้ารับและแอบเหลือบไปมองแผ่นหลังของเซียวเฟิงที่กำลังเนียนเดินออกไป
เซียวเฟิงนั้นดูจะเดินเร็วขึ้นทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตานั้น เขาไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น ยังไงซะชายหนุ่มก็ตั้งใจจะหนีจากเจ้าเด็กปากมากนี่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย
“นั่นแหละ ๆ ฉันน่ะคิดเรื่องนี้มานานแล้ว แล้วฉันก็เชื่อมั่นในพลังของพี่ชายด้วยว่าเขาจะต้องเหมาะกับพี่สาวอย่างเพอร์เฟ็คสุด ๆ แน่นอน!” ขณะที่ปากก็พูดปาว ๆ กับผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง มือก็แอบส่งข้อความส่วนตัวไปให้เซียวเฟิงอย่างไม่หยุดหย่อน เพราะยังไงเสียเด็กน้อยผู้นี้ก็อยากจะได้กรงเล็บมังกรนั่นใจจะขาดอยู่แล้ว เขาบอกกับอีกฝ่ายในข้อความไว้ว่า ถ้าเซียวเฟิงยอมยกกรงเล็บมังกรนั้นให้ เขาจะเชียร์ให้เซียวเฟิงเดตกับลูกพี่ลูกน้องเขาทันทีเลย
“อ่าฮะ?” น้ำเสียงของจืออี้กลับมาเป็นหวานชื่นน่าฟังตามปกติแล้ว กระนั้นพอเธอเหลือบไปมองเซียวเฟิงอีกครั้งก็พบว่าเขาเร่งฝีเท้าเดินจากเธอไปไกลมากขึ้นเสียแล้ว
“คืองี้นะ ฉันพูดรวม ๆ จากที่สังเกตพี่สาวเลยละกัน พี่น่ะเริ่มแก่แล้วนะ แถมยังไม่มีแฟนซักทีอีก ในฐานะที่ฉันเป็นลูกพี่ลูกน้อง ฉันน่ะกังวลจริง…”
เด็กหนุ่มรีบหุบปากทันใดเมื่อตระหนักได้ว่าตนเผลอหลุดพูดอะไรผิดหูไปเสียแล้ว
“นายพูดว่าอะไรนะ? พูดใหม่อีกทีซิ!”
ทันทีทันใด บรรยากาศโดยรอบที่เคยหวานชื่นก็เยือกเย็นลงทันตา จืออี้มองไปยังเด็กน้อยผู้นี้ด้วยรอยยิ้มหวานเยิ้มบนใบหน้า ทว่าผู้ที่เห็นกลับไม่ได้รู้สึกใจสั่นแต่อย่างใด ร่างเล็กของซางกวน อาโอเชินนั้นสั่นกลัวรอยยิ้มตรงหน้าแทน
เธอเริ่มแก่งั้นเหรอ? ทั้ง ๆ ที่เธอเพิ่งจะอายุ 23 แท้ ๆ ไม่มีสาว ๆ คนไหนสามารถระงับความโกรธได้หลังจากได้ยินคนอื่นมาบอกว่าพวกเธอแก่หรอกนะ
“พี่สาว ผมผิดไปแล้ว!” เด็กหนุ่มตะโกนเสียงดัง
“เตรียมตัวไปหาข้อแก้ตัวกับคุณน้าเองเลยนายน่ะ!” จืออี้เดินจากเขาไปด้วยความโกรธ ปล่อยให้หนุ่มน้อยที่ทุกข์ทั้งในเกมและเตรียมจะไปทุกข์นอกเกมต่อน้ำตานองโดยไม่ใยดี
“ท่านเซียว ทำไมรีบเดินจังเลยล่ะ?”
ถึงแม้ว่าเซียวเฟิงจะสามารถสลัดเด็กหนุ่มหลุดไปได้ แต่เขากลับไม่สามารถสลัดจืออี้ที่วิ่งตามมาติด ๆ ไปได้ง่าย ๆ
“ทำไมเธอไม่อยู่ที่เมืองเซิงสุ่ยต่อ? มาทำอะไรที่เมืองเทียนหลงนี่?” เมื่อเซียวเฟิงรู้ดีว่าตนไม่สามารถสลัดเธอทิ้งได้ จึงหันกลับไปมองเจ้าของเสียงหวานนั้นนิ่ง ๆ
เธอคนนี้ก็เป็นหนึ่งในตัวปัญหาที่เขาเคยพบเจอมาเหมือนกัน เปรียบเสมือนศัตรูพืชที่ไม่สามารถกำจัดทิ้งไปได้ หรือถ้าพูดให้ดีหน่อยก็เหมือนเทพธิดาแห่งภูเขาส่องแสงที่คอยสอดส่องเขาไปเรื่อยโดยไม่รู้จักเบื่อหน่าย
ทั้งสองเมืองหลักนี้ค่อนข้างไกลกันพอสมควรจนชายหนุ่มไม่คิดว่าการเดินทางข้ามไปข้ามมาจะเป็นเรื่องง่าย แต่นี่เขากลับเห็นจืออี้เดินทางมาเมืองเทียนหลงบ่อยเสียเหลือเกิน ดูท่าเธอคนนี้จะไม่ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ จริง ๆ สินะ
“แล้วฉันมาเมืองเทียนหลงโดยไม่พูดอะไรไม่ได้เหรอ? นายเองก็ไม่ใช่เจ้าของเมืองสักหน่อย” จืออี้จ้องมองเซียวเฟิงด้วยความไม่พอใจ ซึ่งสามารถดูได้จากแววตา หากเป็นชายคนอื่นละก็ ป่านนี้คงจะคลานเป็นหมายอมสยบแทบเท้าเธอไปแล้ว แต่เพราะคนตรงหน้าเธอคือเซียวเฟิง ผู้ที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่เคยหลงเสน่ห์เธอสักนิด เรื่องมันจึงเปลี่ยนไป!
“โอเค ๆ เธอจะเดินทางไปเมืองไหนก็ได้ตามที่ใจเธอปรารถนา ส่วนฉันจะไปแล้ว” เมื่ออีกฝ่ายเปิดมาเช่นนี้ก็เข้าแผนเซียวเฟิงพอดี เพราะเขาตั้งใจจะออกจากที่นี่อยู่แล้ว
“เดี๋ยวก่อน! ฉันมีบางเรื่องที่อยากจะพูดกับนาย!” พอเห็นว่าเซียวเฟิงจะไปจริง ๆ จืออี้ก็รีบหยุดเขาไว้และแสดงให้เห็นถึงความหนักใจของเธอ
“งั้นก็พูดมาเลย!” เซียวเฟิงเร่งเร้า นั่นเพราะตะวันกำลังจะโผล่พ้นเส้นขอบฟ้าแล้ว เขาต้องรีบออฟไลน์เร็ว ๆ นี้
“เฮ้ ๆๆๆ นี่นายเป็นผู้ชายหรือเปล่าน่ะ? เป็นเกย์หรือไง?” จืออี้พูดด้วยความโมโห เธอไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนปฏิบัติกับเธอด้วยท่าทีแบบขอไปทีเช่นนี้มาก่อนเลย หญิงสาวยกแขนขึ้นกอดกันไว้ที่ใต้ทรวงอกทรงโตเพราะความไม่พอใจ กระนั้นท่าทีนี้กลับทำให้ทรวดทรงอันทรงเสน่ห์อวดความร้อนแรงของมันมากกว่าเดิมเสียอีก ช่วงเอวบางของสาวเจ้าช่างส่งเสริมให้หน้าอกนั่นโดดเด่นเสียเหลือเกิน
“ฉันต้องรีบไปแล้ว!” เซียวเฟิงหน้าเปลี่ยนสี ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่สามารถละสายตาไปจากเนินอกโตที่อวดความยิ่งใหญ่ภายใต้เสื้อคลุมของจืออี้ได้เลย ในเมื่อเธอยอมตามเขามาถึงขนาดนี้แล้ว อย่างน้อย ๆ เขาคงจะต้องรับฟังสิ่งที่เธอจะพูดเสียหน่อย
“โอเค งั้นเข้าเรื่องกันเลย!” เธอถอนหายใจไล่ความโกรธ และมันทำให้หน้าอกที่กำลังล่อตาล่อใจเซียวเฟิงพลอยกระเพื่อมไปด้วย “ฉันจำได้ว่านายมีโทเคนกิลด์อยู่อีกอันหนึ่งใช่ไหม? กิลด์วอร์สปิริตของฉันก็ต้องการมันเหมือนกัน ถ้ายังไงฉันจะมาขอซื้อเจ้าสิ่งนั้น”
“รอบรู้ดีนี่” เซียวเฟิงพูดด้วยความประหลาดใจ เพราะวันนี้เขาเพิ่งจะได้โทเคนกิลด์มาจากสุสานใต้ดินพอดี ซึ่งมันบังเอิญกับที่จืออี้ตามหาตัวเขาเช่นนี้ ไอ้เด็กแสบนั่นจะต้องบอกเธอแน่ ๆ
นี่เป็นโทเคนกิลด์ชิ้นที่ 3 แล้วที่เซียวเฟิงได้มา ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้น่าเลอค่าเท่าชิ้นแรก แต่ยังไงเสียมันก็ยังมีมูลค่าในตัวเอง แต่เพราะทุกครั้งมันจะถูกปล่อยผ่านการประมูล เซียวเฟิงจึงไม่รู้ว่าจะคิดราคาเท่าไหร่ดี
“ถ้าเรื่องนั้นเธอควรไปหาเฉียนโตวโตวซะ เดี๋ยวฉันส่งให้เธออีกทีหนึ่ง” เซียวเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหาทางออกได้ ทำไงได้ ก็เขาไม่รู้ราคาของโทเคนกิลด์จริง ๆ นี่นา
หากขายในราคาถูกเกินไปล่ะก็ จะต้องน่าเสียดายมากแน่ ๆ แต่ถ้าเผลอตั้งราคาสูงไป เดี๋ยวก็กลายเป็นหลอกลวงผู้บริโภคอีก ยังไงซะ ถึงแม้ว่าจืออี้น่ะจะเป็นยัยตัวเจ้าปัญหา แต่วอร์สปิริตกับเขาก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน นอกจากนี้ไอ้เปี๊ยกนั่นยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอด้วย
“ก็ได้ แต่ฉันอยากให้นายช่วยไปคุยกับเธอก่อน เพราะนี่เป็นการมาคุยส่วนตัวระหว่างนายกับฉัน ส่วนตัวฉันน่ะไม่อยากให้เธอใช้ราคาสูงแบบที่ตั้งประมูลตอนนั้น…” จืออี้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมรับ อย่างไรก็ตามเธอก็ได้พูดเสริมในสิ่งที่เธอกังวลออกมาทันที
ด้วยความที่เซียวเฟิงและซางกวน อาโอเชินนั้นรู้จักกัน เธอจึงมีโอกาสได้พบเฉียนโตวโตวบ้างเป็นครั้งคราว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้ดีว่าเด็กสาวคนนั้นน่ะ เด็กแค่ตัวแต่สมองไวเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดไหน แถมยังหัวการค้ามาก ๆ ด้วย
“โอเค ฉันจะไม่คิดราคาแพงเกินไป”
เซียวเฟิงพยักหน้า อนึ่งก็เพราะเขาไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินเหมือนเมื่อตอนที่ขายโทเคนกิลด์ชิ้นแรกไป อันที่จริงเขาก็ไม่คาดคิดด้วยว่าราคามันจะพุ่งไปสูงระดับ 1 พันล้านได้ ดังนั้นแล้วครั้งนี้เขาจะไม่ฟันราคาจืออี้แพงแบบนั้น ทั้งนี้ก็ต้องขอบคุณหลิวเฉียงเหว่ยจริง ๆ ที่ไม่ฉลาดแต่ดันมีเงินเยอะอย่างกับเอาไว้ถมประเทศ
“เยี่ยมไปเลย! ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจจริง ๆ ท่านเซียว!” จืออี้ยิ้มออกมาด้วยความอ่อนโยน
“งั้นก็ไปเถอะ เฉียนโตวโตวอยู่ที่ร้านแล้ว”
ที่รู้ก็เพราะว่าเซียวเฟิงส่งข้อความไปบอกเฉียนโตวโตวเมื่อครู่นี่แล้ว ถึงได้เห็นว่าเธอนั้นไปประจำอยู่ที่หอการค้าในเมืองเทียนหลงเรียบร้อยแล้ว
“ท่านเซียว พอจะบอกฉันได้ไหมว่าความสัมพันธ์ระหว่างนายกับเฉียนโตวโตวเป็นยังไงกันแน่? เขาว่ากันว่าการที่ร้านค้ามหาสมบัติสามารถเติบโตได้อย่างราบรื่นและรวดเร็วนั้นเป็นเพราะนายอยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้”
ซือฉีเดินตามเซียวเฟิงและกล่าวถามด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เอาแต่จ้องไปยังโปรไฟล์ข้อมูลของเซียวเฟิงและคอยสังเกตท่าทีเขาอย่างไม่วางตาเลย
หากพูดถึงการเจริญเติบโตของเหล่าหอการค้าแล้วล่ะก็ ร้านค้ามหาสมบัติทำสถิติหาการค้าที่เติบโตเร็วที่สุดในเขตฮัวเซียไปแล้ว มันจึงเป็นเรื่องปกติที่ผู้เล่นมากมายจะให้ความสนใจกับการเจริญเติบโตนี้ พวกเขาเหล่านั้นแอบสืบเสาะหาความลับที่ทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นหอการค้าอันยิ่งใหญ่ได้เพียงไม่นาน แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลยแม้แต่น้อย ซึ่งมันทำให้ทุกคนต่างพากันงุนงงไปตาม ๆ กัน เป็นไปได้เหรอที่ร้านค้ามหาสมบัติจะไม่มีคนอยู่เบื้องหลัง? แบบนี้แล้วทำไมถึงได้เติบโตเร็วนักล่ะ?
จากการสำรวจมากมาย สิ่งเดียวที่พอจะสรุปได้ก็คือร้านค้ามหาสมบัติแห่งนี้มีความสัมพันธ์บางอย่างกับผู้ที่เป็นอันดับหนึ่งในแทบจะทุกด้านของเขตฮัวเซีย
เมื่อครั้งที่ร้านค้ามหาสมบัติเปิดตัวครั้งแรกในเขตฮัวเซียนี้ ทุกคนก็รับรู้ได้ผ่านการที่อันดับที่ 1 ‘เจ้าแห่งฮีลเลอร์’ ของเขตเป็นผู้ประกาศด้วย
ตั้งแต่นั้นมา ที่แห่งนี้ก็มีแต่เรื่องให้ตกตะลึง ในงานประมูลที่ร้านค้ามหาสมบัติจัดขึ้นก็มีแต่อุปกรณ์ระดับสูง วัตถุดิบขั้นสูง ยา หรือแม้แต่โทเคนกิลด์ที่จะดร็อปก็ต่อเมื่อปราบบอสเลเวลสูงเองก็ด้วย ทั้งหมดทั้งมวลนี่หากการคาดเดาถูกต้อง มันหมายถึงเจ้าแห่งฮีลเลอร์คนนั้นจะต้องคอยอยู่เบื้องหลังร้านค้ามหาสมบัติแห่งนี้อย่างแน่นอน
จืออี้เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับร้านค้าแห่งนี้มากที่สุด เธอย่อมรู้มากกว่านี้อยู่แล้ว อย่างน้อย ๆ เธอเองก็เคยอยู่ในทีมบุกเบิกขณะที่ได้ยินประกาศเพราะดันเจี้ยนถูกเคลียร์เป็นครั้งแรก
“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ”
นี่เป็นคำตอบของเซียวเฟิง อย่างไรก็ตามเซียวเฟิงนั้นไม่ได้รู้เลยว่าหลังจากไม่กี่นาทีที่เขาออฟไลน์ไป จืออี้จะไปถามคำถามเดียวกันนี้กับเฉียนโตวโตวด้วย ซึ่งเฉียนโตวโตวกลับไม่ได้ตอบเช่นเดียวกับเขา
“ฉันกับพี่เซียวมีความสัมพันธ์กันยังไงเหรอคะ? อ้อ พวกเราอยู่ด้วยกันน่ะค่ะ”