บทที่ 164 หนิงเคอเค่อ

Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子]

เซียวเฟิงออฟไลน์จากเกม เขาใช้เวลาราว ๆ 2 วินาทีทำตัวให้คุ้นชินกับที่อยู่ใหม่นี้ และใช้อีก 2 วินาทีสำหรับทำตัวให้ชินกับสิ่งมีชีวิตปริศนาที่เหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นอะไรในอ้อมแขน

ผมสีบลอนด์ที่นุ่มนิ่มนั้นควบคู่ไปกับใบหน้าที่ไร้เดียงสา เขาหรี่ตามองแล้วถึงได้พบว่าขนตางอนสลวยของเจ้าสิ่งมีชีวิตปริศนาตนนี้กำลังสั่นเบา ๆ อยู่ เธอคือเซียวหลิง

“ไม่ต้องมาแกล้งหลับเลย”

ร่างเล็กนั่นถูกจับยกออกไปนอนบนหมอนนุ่ม ๆ ดี ๆ แทน ขณะที่เซียวเฟิงลูบหลังหัวของเซียวหลิงไปเบา ๆ แล้วเอ่ยถามออกไปด้วยเพราะสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายกำลังแกล้งหลับ

“ห้ามแตะหัวฉันนะ ไม่งั้นฉันจะไม่สูงเอา!” เด็กสาวพูดด้วยความไม่พอใจ เธอส่ายหน้ารัว ๆ แล้วสะบัดหัวออกจากฝ่ามือของเซียวเฟิง

“แล้วทำไมไม่ไปนอนเตียงตัวเอง? ทำไมถึงมาอยู่บนเตียงพี่ได้?” เซียวเฟิงเองก็ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้เช่นกัน กระนั้นเขาก็ยังยื่นมือไปช่วยสางผมที่ยุ่งเหยิงของสาวน้อยตรงหน้าไปพลาง ๆ แม้จะโดนพูดเช่นนั้นใส่

“แล้วนายไม่ดีใจหรือไงที่ได้เห็นน้องสาวสุดน่ารักมานอนข้าง ๆ แบบนี้?” เธอเอนไปซบแขนเซียวเฟิงเหมือนเดิมด้วยแววตาชั่วร้าย พร้อมกับอนุญาตให้เซียวเฟิงสามารถลูบผมสีบลอนด์ของเธอต่อได้

“ใครจะไปตื่นเต้นกับเด็ก 10 ขวบกัน? ฉันไม่ใช่พวกวิตถารซักหน่อย” เซียวเฟิงพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ฉัน 12 แล้วย่ะ ไอ้พี่ทึ่มเอ้ย!” ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นเซียวหลิงก็หันไปเถียงอย่างจริงจัง

“โอเคๆ 12 ก็ 12…” เขาแอบบ่นเบา ๆ ‘จะ 10 หรือ 12 ก็เด็กเหมือนกันแหละน่า’

“ทาสโง่ ฉันไม่อยากจะกลับไปเรียนแล้ว” เซียวหลิงพูดขึ้นหลังจากเซียวเฟิงตอบมาแบบนั้น

“ก็ได้นะถ้าเธอไม่อยากจะไปโรงเรียน เดี๋ยวพี่หาคุณครูส่วนตัวมาสอนให้ก็ได้” เขาพูดขึ้นหลังจากพิจารณาเรื่องที่เซียวหลิงพูดครู่หนึ่งพร้อม ๆ กับลูบผมนุ่มนิ่มของเจ้าหล่อนไปด้วย

“พี่ทึ่ม! ไหนนายบอกจะดูแลฉันไปตลอดชีวิตไม่ใช่หรือไง?” เซียวหลิงถามขึ้นทันที ใบหน้าที่ละเอียดลออราวกับตุ๊กตาบาร์บี้กำลังจ้องมองเซียวเฟิงด้วยสายตาจริงจัง

“แน่นอน จนกว่าเธอจะแต่งงานเลยล่ะ” เซียวเฟิงพยักหน้าอย่างไม่ลังเล

“พวกผู้ชายน่ะทั้งเลอะเทอะแล้วก็นิสัยไม่ดีกันทั้งหมดนั่นแหละ ฉันไม่อยากจะแต่งงานหรอกนะ ดังนั้นในเมื่อนายสัญญากับฉันแล้วว่านายจะดูแลฉันไปตลอดชีวิต นายก็ต้องห้ามกลับคำพูดด้วย!” เซียวหลิงสะบัดสีหน้าทิ้งแล้วหันไปกอดเอวของเซียวเฟิงไว้แน่น ในใจลึก ๆ ของเด็กสาวจอมเอาแต่ใจผู้นี้กำลังมีความกังวลเกิดขึ้นมา

“ก็ได้ ๆ เธอจะไม่แต่งงานก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว” เซียวเฟิงส่ายหน้าเบา ๆ อีกครั้ง เซียวหลิงน่ะเพิ่งจะ 12 ขวบเอง บางทีการเอาเรื่องแต่งงานมาพูดอาจจะเร็วเกินไปสำหรับเธอก็ได้

“ฉันอยากจะได้เกมล่าสุดที่เพิ่งวางขายกับขนมที่ชอบเยอะ ๆ ” ดูเหมือนเด็กสาวจะรู้ว่าเซียวเฟิงเองก็อยากจะเปลี่ยนเรื่องคุย เธอจึงรีบพูดสิ่งที่ต้องการออกมาทันที

“เดี๋ยวจะไปซื้อให้วันนี้ แต่เธอต้องลุกแล้วไปกินข้าวเช้าก่อน”

เซียวเฟิงลุกขึ้นพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดู หลายสิ่งหลายอย่างมันเกิดขึ้นกับพวกเขาทั้งสองอย่างกะทันหันตั้งแต่เมื่อวาน และหนึ่งในเรื่องพวกนั้นก็คือการที่ย้ายมายังบ้านใหม่หลังนี้ หากมองผิวเผินแล้ว แม้เซียวหลิงจะดูสบายดี แต่ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ว่าเธอนั้นกำลังซ่อนความวิตกและหวาดกลัวไว้ภายใน ไม่งั้นแล้วเธอคนนี้คงไม่รีบมานอนข้าง ๆ เขาทันทีที่เธอตื่นหรอก

หลังจากที่ทานข้าวเช้ากันเสร็จแล้ว เซียวเฟิงก็ไม่ได้กลับไปออนไลน์ในทันที กลับกันเขาเลือกที่จะออกไปซื้อของกับเซียวหลิงตลอดทั้งช่วงเช้า สิ่งนี้มันทำให้เซียวหลิงผ่อนคลายความกังวลลงไปได้เยอะเพราะเธอได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอต้องการ ไม่ว่าจะเป็นขนมหรือเกม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยู่ในขอบเขตที่เธอสามารถซื้อได้

อย่างเช่น เธอดื่มนมเปรี้ยวทุก ๆ 2 วัน กินมันฝรั่งทอดอาทิตย์ละ 1 ถุง ดื่มโคล่าทุก ๆ 3 วัน อะไรราว ๆ นี้ เพราะด้วยวัยของเซียวหลิง การที่จะให้รับอาหารจำพวกจังก์ฟู้ดมากเกินไปมันจะมีปัญหากับสุขภาพของเธอได้ ดังนั้นเขาจึงต้องช่วยควบคุมไว้ให้อยู่ในปริมาณที่พอดิบพอดี

เพราะเซียวเฟิงไม่ได้ขับรถ ดังนั้นตลอดทางที่พาเซียวหลิงเดินกลับมาที่บ้าน เธอก็กลายเป็นที่จับตามองของผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่เรื่อย ๆ ด้วยความสวยงามราวกับเทพธิดาที่หลุดมาจากหนังสือนิทาน

“มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าเมื่อไหร่กฏที่จำกัดอายุของผู้เล่นเกมถูกยกเลิกไป”

ภายในใจกลางเมืองที่ความศิวิไลซ์เข้าไปถึงทั่วทุกซอกมุม โปสเตอร์และวีดีโอของมิธ ถูกเผยให้เห็นอยู่ทั่วทุกหนแห่งไม่ว่าจะข้างถนนหรือตามตึกรามต่าง ๆ ซึ่งเซียวหลิงที่เห็นดังนั้นก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรนัก กลับกันเธอกลับรู้สึกทุกข์ใจเสียมากกว่า นั่นเพราะเธอหวังจะได้เล่นมันตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัวแล้ว หากไม่ติดว่าตัวเกมป้องกันไม่ให้เด็กที่อายุไม่ถึงเกณฑ์เล่นเกมตามที่กฏหมายระบุไว้ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่สามารถซื้อหมวกสำหรับเล่นเกม รวมไปถึงไม่สามารถยืนยันไอดีสำหรับเล่นเกมด้วย

ในส่วนของเซียวเฟิงนั้น สายตาเขาจับจ้องอยู่กับฟอรั่มในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของตัวเองอยู่เรื่อย ๆ เพื่อคอยตามว่ามีข่าวอะไรใหญ่ ๆ เกิดขึ้นมาบ้างในเกมตอนนี้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เขาสามารถตามทันทุกเรื่องในเกมได้แม้ว่าจะไม่ได้ออนไลน์ก็ตาม

อย่างเช่น เมื่อเช้านี้ ที่ร้านค้ามหาสมบัติก็เริ่มเปิดการประมูลอีกครั้งโดยมีโทเคนกิลด์ถึง 2 ชิ้นเป็นตัวชูโรง

ชื่อเสียงของร้านค้ามหาสมบัติกับเรื่องโทเคนกิลด์ถึง 2 ชิ้นนี้โด่งดังไปแทบจะทั่วทั้งเกมแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับการประมูลครั้งแรกที่สั่นสะท้านไปทั่วทั้งเขตฮัวเซีย ครั้งนี้เองก็สั่นสะท้านเขตฮัวเซียไม่แพ้กัน

อย่างไรก็ตาม เซียวเฟิงเองก็ยังรู้สึกงุนงงอยู่นิดหน่อย สรุปแล้วเฉียนโตวโตวตกลงกับจืออี้ไม่ลงตัวงั้นเหรอ? ทำไมถึงมีโทเคนกิลด์มาอยู่ในการประมูลได้? แถมยังมีโทเคนกิลด์อีกชิ้นหนึ่งที่เขาไม่ได้เป็นเจ้าของด้วย แสดงว่าจะต้องมีคนอื่นที่อยากจะขายโทเคนกิลด์ด้วยเช่นกัน ดูท่าจะเริ่มมีผู้เล่นเก่ง ๆ ปรากฏตัวขึ้นในเขตฮัวเซียเพิ่มขึ้นแล้วสินะ

ตามปกติแล้วโทเคนกิลด์นั้นจะดร็อปได้จากการปราบบอสที่เลเวล 30 เท่านั้น ดังนั้นใครก็ตามที่สามารถเก็บและนำโทเคนกิลด์มาขายในงานประมูลเช่นนี้ได้ คนคนนั้นจะต้องเป็นผู้เล่นระดับสูงหรือปาร์ตี้ที่รวมคนเก่ง ๆ เข้าไว้ด้วยกันแน่นอน

หากพวกเขาเป็นกิลด์ขนาดใหญ่ การกำจัดบอสเลเวล 30 นั้นใช้กลยุทธ์โถมกำลังคนเอาก็ได้เช่นกัน แต่ถ้าเป็นกิลด์ใหญ่ ๆ โทเคนกิลด์น่าจะเอาไปทำอย่างอื่นได้ดีกว่าเอามาประมูลแบบนี้เป็นไหน ๆ

ในตอนนี้ นอกจากการประมูลภายในร้านค้ามหาสมบัติที่ถือเป็นหัวข้อใหญ่ในเขตฮัวเซียแล้ว ก็ยังมีเรื่องของสงครามตั้งรับที่เกิดขึ้นในพื้นที่แคมป์ของกิลด์ไดนัสตี้ด้วย และเพราะสงครามตั้งรับนี้เกิดขึ้นกับกิลด์ไดนัสตี้ ดังนั้นแล้วจึงไม่มีใครแปลกใจเลยว่ากิลด์นี้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร

นอกเหนือจาก 2 เรื่องที่ปรากฏขึ้นมาด้านบนแล้ว ก็ยังมีข่าวใหญ่อีก 1 ข่าวที่เกี่ยวกับเซียวเฟิงโดยตรงด้วย นั่นคือ ภายในรายการหมายหัวของกิลด์กลอรี่นั้น มีชื่อของเจ้าแห่งฮีลเลอร์ผู้เป็นอันดับ 1 ในเขตฮัวเซียถูกใส่ลงไปในนั้นด้วย นี่นับเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่ชื่อของเจ้าแห่งฮีลเลอร์ผู้นี้ได้ไปปรากฏอยู่ในรายการหมายหัวของกิลด์ขนาดใหญ่ หลังจากที่ก่อนหน้าเคยไปอยู่ในกิลด์มิดซัมเมอร์และดูมส์เดย์ลีกมาแล้ว ซึ่งพอเห็นเช่นนี้ผู้เล่นหลายคนต่างก็อยากรู้อยากเห็นกันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้

หลังจากที่ตามข่าวจนหมดและไม่พบว่ามีเรื่องอะไรใหญ่ไปกว่าข่าวพวกนี้แล้ว เซียวเฟิงก็เตรียมที่จะกลับไปยังคฤหาสน์ของตนเพื่อออนไลน์ หลังจากพาเซียวหลิงมาซื้อของเสร็จแล้ว ในจังหวะที่ชายหนุ่มเดินทางกลับมาถึงคฤหาสน์นั้นเอง โทรศัพท์ของเขาก็แสดงสายเรียกเข้าจากคนแปลกหน้าขึ้นมา

“ขอโทษนะคะ คุณใช่คนที่ประกาศตามหาพี่เลี้ยงเด็กไว้หรือเปล่าคะ?”

ที่ปลายสายเจ้าของเบอร์แปลกนั้น เป็นเสียงของหญิงสาวที่ฟังดูขี้อายและนุ่มนวลกำลังพูดสายอยู่

“ครับ” เซียวเฟิงที่ชะงักไปครู่หนึ่งนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่เขาประกาศตามหาพี่เลี้ยงเด็กผ่านทางโฆษณาบนโลกออนไลน์เอาไว้ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเข้าเล่นเกม นั่นเพราะกลัวว่าตนจะไม่มีเวลาดูแลเซียวหลิงได้มากพอ

“เอ่อ…ฉันรับงานได้ไหมคะ?” ตัดสินเอาจากน้ำเสียงที่ได้ยินผ่านโทรศัพท์ เธอคนนี้คงไม่ใช่คนที่โตแล้วซักเท่าไหร่ เพราะความไม่มั่นใจที่ส่งผ่านมากับน้ำเสียงที่ขี้อายและบางเบา มันแสดงให้เห็นว่าเธอกลัวที่จะคุยกับคนแปลกหน้า หากเซียวเฟิงเป็นพวกมีปัญหาทางการได้ยินแล้วล่ะก็ อาจไม่ได้ยินเสียงของเธอไม่ชัดเจนจนไม่รู้ว่าเธอพูดอะไรอยู่เลยก็ได้

“คุณอยากจะรับงานพี่เลี้ยงเด็กเหรอครับ? เด็กที่ผมระบุไว้ในใบรับสมัครค่อนข้างจะเอาใจยากพอสมควรเลยนะครับ” เซียวเฟิงพูดขณะหันไปมองเซียวหลิงที่กำลังนั่งเล่นเกมที่เพิ่งซื้อมาพร้อมกับยัดขนมเข้าปากรัว ๆ อยู่ข้าง ๆ นอกจากนั้นก่อนจะมาเล่นเกม ยัยตัวเล็กนี่ยังถอดถุงเท้าโยนไปทั่วบ้านอีกด้วย

ตอนที่ระบุข้อมูลลงไปในใบประกาศ เขาระบุชัดเจนเลยว่าเด็กสาวที่ต้องดูแลนั้นยากที่จะเอาใจสุด ๆ และนี่น่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ไม่มีใครกล้ามาสมัครหน้าที่นี้เลยตั้งแต่ที่ประกาศออกไป

“ฉัน…ฉันทำได้ค่ะ! คุณพอจะช่วยบอกฉันได้ไหมคะว่าฉันจะได้เงินเดือนเท่าไหร่?” น้ำเสียงที่กล่าวมาจากปลายสายของเด็กสาวคนนั้นดูจะเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อยขณะที่ถามเรื่องเงินด้วยความใส่ใจ

“เรื่องนี้ไว้มาคุยกันต่อหน้าก็แล้วกันนะครับ นี่ที่อยู่ของผม”

เซียวเฟิงแอบยิ้มแล้วส่งที่อยู่ของคฤหาสน์เขาให้เธอ ยิ่งได้ฟังมันก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจมากขึ้นว่าเธอคนนี้น่าจะไม่มีประสบการณ์ในการติดต่องานกับคนอื่นแบบสุด ๆ

“โอเค…โอเคค่ะ!…ฉันจะรีบไปให้เร็วที่สุดเลย!”

เมื่อวางสายไปแล้ว เซียวเฟิงก็ไม่ได้รีบกลับไปออนไลน์แต่อย่างใด เขาเลือกที่จะนั่งเล่นเกมอยู่กับเซียวหลิงแทนเพื่อรอเด็กสาวผู้รับงานพี่เลี้ยงไปพลาง ๆ

หญิงสาวที่ได้นัดกันเอาไว้นั้นกลับมาถึงช้ากว่าที่เซียวเฟิงคาดไว้นิดหน่อย กว่าเธอจะมาถึงที่คฤหาสน์ของเขาก็เกือบจะบ่ายเข้าไปแล้ว

“ขอโทษนะคะ เอ่อ ขอโทษค่ะ ขอรบกวนหน่อยนะคะ ที่นี่ ใช่…หรือเปล่าคะ?”

ที่ด้านนอกคฤหาสน์ เสียงกดกริ่งสั้น ๆ ดังขึ้นตามด้วยเสียงที่กำลังเอ่ยถามว่าตนมาถูกที่หรือเปล่า

“ใช่ครับ”

เซียวเฟิงเดินออกไปเปิดประตูและมองผู้มาเยือนอย่างสบาย ๆ

ถึงแม้เขาจะคิดว่าคนที่คุยโทรศัพท์นั้นน่าจะยังเด็กก็จริง แต่ก็ไม่คิดว่าจะเด็กกว่าที่เขาคาดไว้มากระดับหนึ่งเลย!

เธอน่าจะอายุราว ๆ 14-15 ปี ดู ๆ แล้วไม่น่าจะถึงมัธยมปลายด้วยซ้ำ ด้วยความสูงที่ไม่ได้มากนัก เด็กสาวตรงหน้าดูจะสูงไล่เลี่ยกับเซียวหลิงเลยด้วย บนใบหน้าอันเป็นจุดเด่นนั้นแสดงให้เห็นชัดว่าเธอสวย เป็นเด็กสาวที่โตไปแล้วจะต้องสวยมากแน่ ๆ อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวดูจะขี้อายและหวาดกลัวกับคนแปลกหน้ามาก ๆ เพราะทันทีที่รู้สึกได้ว่ากำลังโดนเซียวเฟิงมองอยู่ เธอก็รีบก้มหน้าลงไปทันที

“อ่ะ…เอ่อ…ฉันชื่อ หนิงเคอเค่อ ค่ะ…”

เด็กสาวนามว่า หนิงเคอเค่อ ผู้นี้ก้มหัวและพูดอย่างตั้งใจ เธอพยายามทำให้ดีที่สุดแล้วจากความกล้าที่มีทั้งหมดเพื่อจะพูดกับเซียวเฟิง

เซียวเฟิงยังไม่ได้พูดอะไร เขายังคงสังเกตเธอตรงหน้าอยู่อย่างเงียบ ๆ เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเป็นลอนยาวแบบธรรมชาตินั้นทำให้เธอคนนี้ดูเหมือนเด็กสาวชาวต่างชาติเลย เหมือน ๆ กับเซียวหลิง…

ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่งดงามคู่กับผิวที่เนียนนุ่มนี้ ดู ๆ แล้วเธอคนนี้คงจะเป็นคนที่ดูแลตัวเองดีมาก ๆ ในระดับหนึ่ง แต่ก็น่าแปลก เพราะผิวหน้าของเธอกลับดูเหมือนจะไม่ได้ล้างมาร่วม ๆ วันแล้ว

ที่หน้าผากของหญิงสาวมีหยาดเหงื่อปรากฏให้เห็น และถ้ามองดี ๆ ก็จะเห็นด้วยว่าเธอมีอาการเหนื่อยหอบเบา ๆ เซียวเฟิงเริ่มตกใจขึ้นมาหลังจากตระหนักได้ว่าเธอคนนี้เดินมาถึงที่นี่ด้วยตัวเธอเอง ถึงแม้ว่าคฤหาสน์ที่อยู่บนยอดเขาหลังนี้จะตั้งอยู่ใกล้ ๆ เขตอุทยานก็ตาม แต่การเดินขึ้นมาก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำกันได้ง่าย ๆ หรอกนะ

เสื้อผ้าที่หนิงเคอเค่อสวมใส่มานั้นเป็นเสื้อแขนยาวสีขาวที่ฉลุลวดลายที่ประณีตงดงามไว้ ดูจากเนื้อผ้าแล้วเขามั่นใจว่าเสื้อตัวนี้จะต้องราคาแพงมากแน่ ๆ อย่างไรก็ตาม บนเสื้อตัวนี้เองก็มีคราบฝุ่นเปรอะเปื้อนอยู่ไม่ต่างจากเจ้าของเสื้อซักเท่าไหร่เลยด้วย

เธอคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะปล่อยให้ตัวเองสกปรกโดยไม่สนใจแน่ ๆ ดังนั้นการที่ร่างกายของเธอมีแต่ฝุ่นเลอะไปหมดเช่นนี้จะต้องมีเหตุจำเป็นจริง ๆ บางอย่าง

กางเกงขายาวที่สวมมาก็เข้าคู่กับเสื้อของเธอเป็นอย่างดี ไหนจะรองเท้าหนังสีขาวนั่นอีก ทำไมชุดที่ดูราคาแพงเช่นนี้ถึงได้เลอะอย่างกับเพิ่งออกจากป่าได้ระดับนี้นะ?

จากการสังเกตทุกอย่าง เซียวเฟิงสรุปว่าหนิงเคอเค่อคนนี้มาจากตระกูลที่ร่ำรวยอย่างแน่นอน ดูท่าเธอจะได้รับสารอาหารมามากเกินตัวหรือร่างกายเธอเอาสารอาหารไปบริหารผิดที่ก็ไม่รู้ เพราะถึงแม้ว่าเด็กสาวจะตัวเล็ก หากแต่หน้าอกของเจ้าหล่อนนั้นก็ไม่ได้เล็กตามเลย มันเติบโตสวนทางกับความสูงเสียอย่างนั้น แบบนี้จะให้เรียกโลลิอกโตก็ยังได้

และด้วยข้อสรุปว่าสาวน้อยคนนี้คงจะต้องเป็นองค์หญิงที่เกิดในตระกูลที่ร่ำรวยแน่ ๆ มันก็ทำให้เซียวเฟิงเกิดข้อสงสัยใหม่ขึ้นมา

‘ทำไมคนรวย ๆ แบบนี้ถึงได้ออกมารับงานเลี้ยงเด็กล่ะ?’

“เธอถึงวัยทำงานตามกฏหมายหรือยังเนี่ย?” เซียวเฟิงถาม

“ฉะ…ฉันสามารถทำได้ทุกอย่างเลยนะคะ…ได้โปรด รับฉันไว้เถอะค่ะ…” เมื่อเห็นว่าคำถามของเซียวเฟิงดูจะซ่อนคำปฏิเสธเอาไว้ หนิงเคอเค่อก็สะดุ้งแล้วพูดตะกุกตะกักขึ้นมาทันที

“เข้าไปคุยข้างในเถอะ”

เซียวเฟิงถอนหายใจเบา ๆ ทำไมปัญหามักจะเข้ามาหาเขาได้เรื่อย ๆ เลยนะ? ดูจากท่าทีของหนิงเคอเค่อเองก็รู้ได้ง่าย ๆ เลยว่าเธอคงจะมีปัญหาอยู่เหมือนกัน ไม่งั้นแล้ว องค์หญิงน้อยจากตระกูลที่ร่ำรวยคงไม่ต้องมาตกระกำลำบากเปื้อนฝุ่นเปื้อนโคลนขนาดนี้

เขาพาหนิงเคอเค่อเข้าไปในคฤหาสน์และรินน้ำให้เธอแก้วหนึ่งก่อนจะนั่งลงไปตรงหน้า

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ!”

หนิงเคอเค่อรับแก้วน้ำไปพร้อมเงยหน้าขึ้นมาเพื่อแอบมองเซียวเฟิงแบบลับ ๆ หลังจากที่เธอดื่มน้ำในแก้วนั้นด้วยอึกเล็ก ๆ จนหมด ใบหน้าสวยนั้นก็แสดงความกระวนกระวายเพราะความเขินอายออกมา

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ! ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ!”

เพราะคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะยังไม่หายหิว เซียวเฟิงจึงรินน้ำให้เธอไปอีกแก้ว ซึ่งเธอก็รับมันไปตามคาดพร้อมกล่าวขอบคุณอีกครั้ง

“เธอ หนิงเคอเค่อ สินะ? อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ?”

ชายหนุ่มเริ่มค้นพบแล้วว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับแม่กระต่ายน้อยที่รับมือได้ยากเสียแล้ว ไม่ต้องอธิบายอะไรมากเลย ท่าทีของเธอมันก็บอกชัดเจนแล้วว่าเธอเหมือนกระต่ายที่กำลังตื่นตูมขนาดไหน

“ฉะ-ฉันอายุ 14 ปี …ไม่สิ เกือบจะ 15 แล้วล่ะค่ะ”

เด็กสาวพูดออกมาด้วยความยากลำบากขณะที่สายตาก็จ้องมองเซียวเฟิงอย่างระมัดระวังไปด้วย

“เธอควรจะอยู่ในชั้นมัธยมปลายนี่ ทำไมถึงอยากจะรับงานพี่เลี้ยงเด็กล่ะ?” เซียวเฟิงถามไปอีกครั้ง

“ฉะ…ฉัน…”