“ได้โปรดเถอะนะคะ ได้โปรด ให้ฉันอยู่ที่นี่…ฉันทำได้ทุกอย่างเลย…”

ผมของหนิงเคอเค่อที่มีสีน้ำตาลอ่อน ๆ นั้นเป็นลอนสวยตามธรรมชาติยาวประบ่า ตรงใกล้ ๆ หูซ้ายก็ยังมีกิ๊บติดผมรูปผีเสื้อสีชมพูคอยเก็บผมไม่ให้ลงมาปิดหน้าอีกด้วย และด้วยผมที่ยาวประบ่านั้น เขาจึงสามารถสังเกตเห็นได้ว่ามันกำลังสั่นเบา ๆ อันเนื่องมาจากร่างของเธอกำลังสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว

ยังไงเสียเธอคนนี้ย่อมจะต้องเกิดในตระกูลที่ร่ำรวยแน่ ๆ เพราะเธอดูไม่ใช่เด็กสาวที่เคยทำงานบ้านคล่องแคล่ว ถึงอย่างนั้นก็มีกริยามารยาทที่สุภาพเรียบร้อย ทั้งหมดนี้สามารถรับรู้ได้จากการที่เธอดื่มน้ำด้วยความกระหายเท่านั้น เพราะถึงขนาดกระหายแค่ไหนก็ยังใช้วิธีจิบเป็นอึกเล็ก ๆ เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังเลย

ยิ่งไปกว่านั้น เสื้อผ้าที่เธอสวมอยู่ กับรูปร่างที่เห็นชัดเจนว่าถูกเลี้ยงดูมาดีจนดูเป็นคนมีน้ำมีนวลก็เป็นหลักฐานยืนยันได้อีกชิ้นหนึ่ง

แน่นอนว่ารูปร่างแบบมีน้ำมีนวลที่ว่านั้นไม่ได้หมายถึงเธออ้วน เขาแค่ต้องการจะบอกว่าเธอนั้นสมส่วนและดูสุขภาพดีก็เท่านั้น

เซียวหลิงเองก็มีรูปร่างที่งดงามไม่ต่างกัน ตัวเธอเหมือนรูปสลักหยกที่สวยงามในระดับผลงานชิ้นเอก

แต่ถึงอย่างนั้น เซียวหลิงก็ค่อนข้างจะผอมไปนิดหน่อย อย่างเช่น กระดูกไหปลาร้าเล็ก ๆ ของเธอนั้นสามารถเห็นได้ชัดเจนบริเวณใกล้หัวไหล่ เพราะเซียวเฟิงสัมผัสตัวเซียวหลิงอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นชายหนุ่มจึงรู้ดีว่าผิวของเธอนิ่มขนาดไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าเธอผอมเกินไปจริง ๆ

ส่วนหนิงเคอเค่อนั้นต่างกัน ผิวของเธอนุ่มและละเอียดควบคู่มาด้วยสัดส่วนโค้งมนของหัวไหล่ที่เข้ารูปสมบูรณ์ไร้รอยต่อ เธอดูอ่อนเยาว์แต่กระดูกไหปลาร้าก็ไม่ได้โดดเด่นขึ้นมาให้เห็น เซียวเฟิงคาดเดาเลยว่าผิวของเธอคนนี้จะต้องนุ่มกว่าเซียวหลิงมากแน่ ๆ

ทั้ง ๆ ที่สาว ๆ 2 คนนี้มีความสูงเกือบจะเท่ากัน แต่เซียวหลิงจะดูผอมกว่า ในขณะที่หนิงเคอเค่อจะดูท้วมผนวกกับมีหน้าอกที่สมบูรณ์กว่า ดังนั้นแล้ว สรุปได้ว่าหนิงเคอเค่อนั้นสุขภาพดีกว่าเซียวหลิงรวมไปถึงสัดส่วนดีกว่าอย่างชัดเจน

เซียวเฟิงเชื่อปักใจว่าหนิงเคอเค่อมาจากตระกูลที่ร่ำรวย เพราะงั้นเธอคนนี้ถึงไม่กล้าที่จะมองคนแปลกหน้าตรง ๆ และคอยก้มหัวอยู่ตลอดเวลาที่พูด น้ำเสียงของเธอเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน มันแสดงให้เห็นว่าเธอนั้นเปรียบเสมือนนกขมิ้นตัวเล็ก ๆ หรือไม่ก็กระต่ายที่กำลังหวาดกลัวในการที่จะต้องสื่อสารกับคนอื่นอยู่

เป็นกระต่ายน้อยที่ดูไม่มีความสุข และจำเป็นต้องได้รับการดูแลมาก ๆ

“เจ้าทาสโง่! องค์หญิงเซียวหลิงหิวแล้ว! รีบทำข้าวเที่ย…อ๊าาาา!”

ขณะที่เซียวเฟิงกำลังครุ่นคิดว่าจะทำยังไงกับหนิงเคอเค่อดีนั้น เซียวหลิงก็เข้ามาหาเขา เธอคนนี้เหนื่อยจากการเล่นเกมแล้วจึงยอมลุกเดินไปมาบ้าง ทว่าเมื่อเซียวหลิงสังเกตเห็นผู้หญิงอื่นอยู่ในบ้าน เธอก็ร้องโวยวายออกมาทันที

“หนอย…เจ้าพี่นิสัยไม่ดี! ปีศาจร้าย! นายกล้าดียังไงพาผู้หญิงคนใหม่เข้ามาในบ้านทันทีที่ฉันปล่อยให้นายอยู่คนเดียว ฮะ!!”

เซียวหลิงวิ่งตรงเข้ามาด้วยความโกรธเกรี้ยว เธอมองไปยังหนิงเคอเค่อผู้ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนด้วยสายตาไม่เป็นมิตร และเมื่อเธอสังเกตได้ว่าหน้าอกของหนิงเคอเค่อนั้นใหญ่โตสมบูรณ์รวมไปถึงมีความสูงไล่เลี่ยกับเธอ ความโกรธมันก็เพิ่มขึ้นจนดวงตาสีฟ้านั้นแทบจะกลายเป็นสีแดงไปแล้ว

“เห็นแล้วหรือยัง? นี่คือคนที่เธอจะต้องดูแล เด็กคนนี้ดื้อมาก ๆ เพราะงั้นเธอยังมั่นใจอยู่หรือเปล่าว่าจะรับมือไหว?” เซียวเฟิงไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังอยู่แล้ว เพราะงั้นเขาจึงถามหนิงเคอเค่อด้วยความอับจนหนทาง

จากท่าทีของหนิงเคอเค่อ เห็นได้ชัดเจนว่าเธอนั้นกำลังหวาดกลัวพฤติกรรมเจ้าอารมณ์ของเซียวหลิงขนาดไหน เพราะร่างกายที่สั่นเทาอยู่แล้วของเธอมันกำลังสั่นรุนแรงขึ้นอีกหลังจากได้ยินเสียงโวยวายอันไม่เป็นมิตร แววตาหวาดหวั่นเหลียวมองเซียวหลิง แต่เมื่อตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายก็เป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กอยู่ เธอจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง ใบหน้าและรูปลักษณ์อันงดงามของเซียวหลิงนั้นช่วยปลอบใจเธอได้ไม่น้อย

“ฉะ…ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุดเลยค่ะ…”

“ดี งั้นบททดสอบแรกของเธอคือไปทำมื้อกลางวัน ระหว่างนั้นฉันจะไปจดรายการงานที่เธอต้องทำไว้ให้ตลอดช่วงนี้ ถ้าเธอสามารถทำทุกอย่างตามที่ฉันบอกไว้ได้ เธอก็สามารถอยู่ที่นี่ได้”

เซียวเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสรุปไว้ในใจว่าเขาค่อนข้างอยากจะให้หนิงเคอเค่ออยู่ที่นี่ต่อไป

ใจหนึ่งเพราะเขาเห็นว่าหนิงเคอเค่อค่อนข้างจะอ่อนแอมาก มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วสำหรับผู้ชายที่จะต้องปกป้องผู้หญิง ซึ่งเซียวเฟิงเองก็เป็นผู้ชาย ส่วนอีกใจหนึ่ง เพราะเห็นว่าหนิงเคอเค่อเป็นคนขี้กลัวอีกด้วย

เห็นชัดเจนกันอยู่แล้วว่าหนิงเคอเค่อคงจะต้องตกอยู่ในปัญหาอะไรซักอย่างแน่ ๆ ถ้าหากเซียวเฟิงไม่ช่วยเธอเอาไว้และปล่อยให้คนที่หวาดกลัวไปซะทุกอย่างเช่นนี้ออกไปเผชิญโลกภายนอก เธออาจจะต้องทุกข์ใจมากกว่าเดิมหากไปเจอเข้ากับพวกคนไม่ดีก็ได้ ต้องยอมรับว่าเธอนั้นโชคดีจริง ๆ ที่เจอประกาศหาแม่บ้านที่เซียวเฟิงโพสต์หาไว้ในอินเทอร์เน็ต

ผนวกกับหนิงเคอเค่อเองก็อายุไล่เลี่ยกับเซียวหลิง ทั้งสองคนนี้น่าจะอยู่ด้วยกันในระยะยาวได้

ลึก ๆ แล้วเซียวเฟิงก็ยังคงแอบกลัวว่าเซียวหลิงอาจจะโดนพี่เลี้ยงกลั่นแกล้งเอาได้ เมื่อเปรียบกับบุคลิกของหนิงเคอเค่อที่อ่อนแอไม่สู้คน อย่างน้อย ๆ เธอคนนี้ก็ไม่น่าจะลงไม้ลงมือกับเซียวหลิงได้ ดีไม่ดีคนที่จะลงไม้ลงมืออาจจะเป็นเซียวหลิงเองก็ไม่แน่เหมือนกัน…

ท้ายที่สุด นี่ก็เป็นแผนเดิมที่ชายหนุ่มวางไว้ตั้งแต่เช้าอยู่แล้ว เซียวเฟิงอยากจะหาครูสอนพิเศษส่วนตัวมาให้เซียวหลิงพอดี ในเมื่อเซียวหลิงไม่อยากจะไปโรงเรียน เซียวเฟิงก็จะไม่บังคับเธอ แต่ถึงอย่างนั้นก็จะให้เธอทิ้งการเรียนไปเลยไม่ได้ เด็กที่นิสัยดีอย่างหนิงเคอเค่อเองก็น่าจะเรียนเก่ง อีกอย่างชั้นเรียนของเธอก็ไม่ได้ทิ้งห่างเซียวหลิงเกินไปด้วย

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมาก ๆ เลย! ฉะ…ฉันจะไปทำอาหารกลางวันให้เดี๋ยวนี้แหละ!”

สีหน้าของหนิงเคอเค่อแสดงความขอบคุณออกมา เธอรีบเดินตรงเข้าไปภายในห้องครัวขนาดใหญ่ของคฤหาสน์ทันทีตามที่เซียวเฟิงแนะนำ

“เฮ้! อย่าทำเมินองค์หญิงหลิงนะ! ยัยคนนั้นคิดจะทำอะไรน่ะ? ทำไมนายถึงพาเธอเข้ามา? นี่นายลืมสัญญาที่ให้ไว้กับองค์หญิงหลิงแล้วงั้นเหรอ!?”

เซียวหลิงสติหลุดเพราะความโกรธไปแล้ว เธอโยนตัวเองเข้าใส่อ้อมแขนของเซียวเฟิงขณะกัดฟันพูดไปด้วย

“เธอบอกว่าเธอไม่อยากไปโรงเรียน แต่พี่เองก็วุ่นอยู่กับการเล่นเกม เพราะงั้นพี่เลยกลัวว่าเธอจะเบื่อถ้าต้องอยู่คนเดียว ก็เลยไปหาใครสักคนที่จะมาอยู่เป็นเพื่อนและช่วยเธอทำการบ้านได้แทน” เซียวเฟิงคิดหาเหตุผลอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดออกไป เขาตัดสินใจแล้วว่าจะต้องทำให้เซียวหลิงยอมรับเรื่องนี้ยังไง

“แล้วทำไมนายไม่ยอมคุยเรื่องนี้กับองค์หญิงหลิงก่อน?”

เซียวเฟิงนั่งพิงเบาะอยู่บนโซฟา โดยที่มีเซียวหลิงขึ้นมานั่งบนตัก เธอกระชากคอเสื้อของของผู้เป็นพี่เอาไว้ขณะที่ถามคำถามคาใจออกไปด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่พอใจแบบสุด ๆ

“ฉันบอกเธอไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว นี่เป็นทางออกถ้าหากเธอไม่อยากจะไปโรงเรียน ฉันจะหาครูสอนพิเศษมาให้เธอที่บ้านนี่เลย” เขาตอบไปด้วยถ้อยคำที่เหมือนจะหลบเลี่ยงประเด็นสำคัญที่เธอถามอยู่

“อย่ามาพูดบ้า ๆ น่า! นั่นมันก็ชัดเจนแล้วว่านายจะหาพี่เลี้ยงเด็ก! นายมันวิตถาร! บังอาจมากที่จ้างเยาวชนมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กแบบนี้! นายวางแผนที่จะทิ้งฉันไว้กับพี่เลี้ยงเด็กโลลินี่ใช่ไหม!? หรือว่ากำลังคิดอยากได้บริการพิเศษจากเธออย่างการเข้าไปปลุกตอนเช้ากัน!?” ชัดเจนเลยว่าเซียวหลิงไม่ยอมรับ

ดูเหมือนว่าเรื่องเกลี้ยกล่อมเซียวหลิงนั้นจะกลายเป็นเรื่องที่ยากไปเสียแล้ว ขนาดเอาเรื่องยอมให้ไม่ไปโรงเรียนมาพูดก็ยังไม่ได้ ชายหนุ่มอุตส่าห์พยายามหลายวิธีที่จะให้เธอเลิกคิดมากเรื่องนี้ เพื่อให้หนิงเคอเค่อสามารถอยู่ที่นี่ได้ แต่มันกลับกลายเป็นว่ายิ่งทำให้เซียวหลิงมองหนิงเคอเค่อเป็นศัตรูมากขึ้นแทน

ชายหนุ่มหมดทางไปต่อแล้ว โชคยังดีที่เซียวหลิงเองก็ไม่ใช่เด็กที่มีกริยาก้าวร้าว ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ทำอะไรห่าม ๆ อย่างการเข้าไปทำร้ายหนิงเคอเค่อแต่อย่างใด

“หือ? กลิ่นอะไรน่ะ?”

ขณะที่เซียวเฟิงกำลังเขียนสิ่งที่หนิงเคอเค่อต้องรับผิดชอบอยู่ ซึ่งตอนนั้นเซียวหลิงยอมกลับไปยังห้องนั่งเล่นแล้วเล่นเกมต่อด้วยความโมโห จู่ ๆ เขาก็ได้กลิ่นของอาหารกำลังไหม้ลอยออกมาจากในครัว

เขารีบลุกขึ้นแล้วหันไปมองหาทิศทางของกลิ่นทันที ดูเหมือนว่ากลิ่นนั้นจะมาจากทางห้องครัว

เซียวเฟิงที่กำลังงุนงง วางปากกาและกระดาษก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปทางนั้นทันที ภายในนั้นเขาพบเพียงหนิงเคอเค่อที่กำลังหวาดหวั่นและสั่นเทาเท่านั้น

“อ-เอ่อ…จะ…จะเสร็จแล้วล่ะค่ะ…”

คฤหาสน์หลังนี้ไม่ใช่หลังเล็ก ๆ เพราะงั้นห้องครัวจึงถูกปรับให้เข้ากับขนาดของมันด้วย ดังนั้นภายในห้องครัวนี้ ต่อให้มีพ่อครัวอยู่นับ 10 ชีวิตก็ยังยืนกันได้สบาย ๆ ในตอนนี้ที่หน้าเตาแก๊ส หนิงเคอเค่อกำลังยืนอยู่ ใบหน้าของเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบซอสถั่วเหลืองผสมปนกับน้ำมันเล็กน้อยขณะที่หันกลับมาตอบเซียวเฟิงด้วยความกังวล

“ดี ไม่ต้องกังวลหรอก ค่อย ๆ ทำไป”

เซียวเฟิงพยักหน้าและจากไปพร้อมกับความรู้สึกสับสนเล็กน้อย เขามั่นใจว่าความสามารถในการได้กลิ่นของเขายังปกติดี และยังมั่นใจด้วยว่าภายในห้องครัวนั้นมีกลิ่นไหม้ของอาหารออกมาจริง ๆ

เมื่อหนิงเคอเค่อนำอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ เซียวเฟิงก็ได้ตระหนักแล้วว่าตนไม่ได้คิดผิด

“นี่เธอ…ทำอาหารไหว้ราหูเหรอ??”

ชายหนุ่มมองไปยังอาหารแต่ละจานบนโต๊ะที่มีแต่ของดำจนเขาอดถามออกไปไม่ได้ ซึ่งหนิงเคอเค่อที่ยืนสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่ตรงนั้นก็รีบตอบขึ้นมาว่าอาหารแต่ละอย่างคืออะไร

“อะ…เอ่อ…นั่น แครอทน่ะค่ะ…” สาวเจ้าตอบเสียงเบา เธอก้มหน้าลงมองทรวงอกโตสมบูรณ์ของตนขณะพูดไปด้วย

คำตอบของเธอทำเอาเขาชะงักไปเลย เพราะเมื่อมองลงไปในจานตรงหน้าแล้ว อาหารที่เธอทำนั้น มันดำเสียจนแยกไม่ออกเลยว่าส่วนไหนที่เธอบอกคือแครอท นอกจากจะสีไม่เหมือนแล้วสภาพก็ไม่เหมือนด้วย

เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแบบไม่เต็มใจซักเท่าไหร่ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ต้องมามือสั่นกับความลังเลที่จะกินอาหารเช่นนี้

“เจ้าพี่โง่! อยากตายหรือไง? ถ้ากินเข้าไปล่ะก็…ถึงตายเลยนะ!”

เซียวหลิงที่เพิ่งจะเล่นเกมเสร็จพอดีก็เดินเข้ามาในห้องครัวด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนแรกที่บ่นหิว แต่เมื่อเธอเห็นสภาพอาหารบนโต๊ะ ใบหน้าเจ้าอารมณ์ก็แสดงออกถึงความกังวลไม่แพ้กัน สาวน้อยรีบหยุดเซียวเฟิงไว้ก่อนจะหันไปมองหนิงเคอเค่อที่กำลังสั่นกลัว

“นี่เธอวางแผนจะฆ่าพวกฉันเหรอ ยัยคนใจร้าย? จะให้พวกฉันกินอาหารที่น่ากลัวแบบนี้ได้ยังไงกัน?”

แม้เซียวเฟิงจะรีบยกมือขึ้นปิดปากเซียวหลิงไปแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ทัน แววตาสวยของหนิงเคอเค่อนั้นเริ่มจะแดงขึ้นมาน้อย ๆ พร้อมกับร่างที่อรชรอ้อนแอ้นนั้นเริ่มจะสั่นรุนแรงขึ้น เธอกำลังจะกลายเป็นกระต่ายตื่นตูมขึ้นมาอีกครั้ง

“ไม่เป็นไร ทุกคนย่อมต้องมีข้อผิดพลาดกันได้ อย่างน้อย ๆ ข้าวต้มก็ไม่แย่นักหรอก”

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เซียวเฟิงก็ยังไม่กล้าที่จะชิมแครอทดำตรงหน้าอยู่ดี เพราะงั้นชายหนุ่มจึงลุกขึ้นไปเปิดหม้อหุงข้าวแทน ดูท่าข้าวต้มในหม้อที่เธอทำคงจะไม่ได้แย่ซะทีเดียว

“เอ่อ…นั่นจะหุงข้าวสวยน่ะค่ะ…” หนิงเคอเค่อพูดเสริมด้วยน้ำเสียงที่แสดงให้เห็นแล้วว่าเธอกำลังร้องไห้อยู่ เธอไม่มั่นใจในตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

อีกครั้งที่คำตอบของเธอทำเอาเซียวเฟิงต้องเงียบไปพักใหญ่ ๆ ก่อนจะตัดสินใจวางตะเกียบลง เขาลังเลที่จะมองไปยังสาวน้อยที่กำลังสั่นเพราะความกลัวอยู่

“เธอ…ไม่รู้วิธีทำอาหารสินะ?”

คำพูดของเขามันเหมือนศรที่แทงใจดำหนิงเคอเค่ออย่างแม่นยำ สาวเจ้าปาดน้ำตาก่อนจะตอบด้วยเสียงที่ไม่ได้ต่างจากเดิมเลย

“ฉะ…ฉันฉลาดมาก ๆ เลยนะคะ! ฉันสามารถเรียนรู้วิธีทำอาหารได้! ได้โปรด ได้โปรดอย่าบอกให้ฉันออกไปเลยค่ะ!”

เซียวเฟิงเริ่มจะรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เขายังคงมองหนิงเคอเค่อด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย เพราะยังไงเสียเขาก็ไม่ได้อยากทำให้เธอต้องเศร้าใจอยู่แล้ว กับเด็กสาวที่อายุเพียง 14 ปีเช่นนี้ หากเธอไม่เจอปัญหาร้ายแรงอะไร เธอก็คงไม่ต้องมาลำบากกับเรื่องพวกนี้และเป็นคุณหนูอยู่ในบ้านหลังใหญ่ตามปกติไปแล้ว

“บอกแล้วว่าไม่เป็นไร ทำอาหารน่ะไม่ใช่เรื่องยากอะไรอยู่แล้ว ไว้เธอค่อย ๆ เรียนรู้มันในอนาคตก็ได้ ส่วนนี่คือสิ่งที่เธอต้องทำ พอจะทำได้หรือเปล่า?”

เขาส่งกระดาษที่ตั้งใจเขียนสิ่งต่าง ๆ ลงไปไว้ก่อนหน้าให้เธอพร้อมกล่าวถาม

“ทำได้ค่ะ!” หนิงเคอเค่อดูจะมีแรงใจขึ้นมาบ้างขณะที่ได้อ่านข้อความในกระดาษที่เซียวเฟิงเขียนไว้ให้อย่างถี่ถ้วน

“สอนหนังสือเซียวหลิง…อ๊ะ ฉันน่ะเก่งเรื่องนี้ที่สุดเลย! ฉันจะต้องทำมันได้ดีแน่ ๆ เลยล่ะค่ะ!”

สิ่งแรกที่ปรากฏอยู่ในกระดาษนั้นคือการช่วยสอนหนังสือและสอนการบ้านเซียวหลิง หนิงเคอเค่อรู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมาก รอยยิ้มที่แสดงออกถึงความสุขเปล่งชัดบนใบหน้าที่เปื้อนน้ำมันนั้น

“ใครอนุญาตให้เธอพูดถึงฉันแบบนั้นกันน่ะ? เธอต้องเรียกฉันว่าองค์หญิงหลิงเข้าใจไหม?” เซียวหลิงพูดขึ้นมาทันทีขณะที่มองไปยังหนิงเคอเค่อด้วยความไม่พอใจ ดูท่าเธอจะไม่ยอมญาติดีกับอีกฝ่ายง่าย ๆ แน่ ๆ

“เข้าใจแล้วค่ะ…องค์หญิงหลิง…” หนิงเคอเค่อสั่นกลัวขึ้นมาอีกครั้งขณะตอบคำถาม เธอเหลียวมองไปยังเซียวหลิงผู้งดงามเพื่อเตือนตัวเองให้ตระหนักได้ว่า เธอต้องดูแลเด็กสาวผู้นี้ เด็กสาวที่อ่อนกว่าเธอไม่กี่ปี…

เซียวเฟิงที่ได้ยินว่าหนิงเคอเค่อสามารถสอนหนังสือได้และเห็นว่าเซียวหลิงดูจะไม่อยากสร้างความหนักใจให้เธอคนนี้มากขึ้น เขาก็เริ่มโล่งใจขึ้นมา เมื่อเห็นว่าทุกอย่างตรงนี้คงจะเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินกลับเข้าไปในห้องครัวและคิดว่าจะทำอาหารเพิ่มสำหรับมื้อกลางวันนี้ด้วยตนเองอีกสักหน่อย