ตอนที่ 203 ข้าขอเปลี่ยนจอกศักดิ์สิทธิ์ได้ไหม

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

อันหลินกับหลิวเชียนฮ่วนเจอกับหวังเสวียนจ้านอีกครั้ง

มือของหวังเสวียนจ้านถือจอกศักดิ์สิทธิ์โลหะ ใบหน้าแสดงความลังเลใจ

“ศิษย์พี่หวัง ท่านสุดยอดจริงๆ!” หลิวเชียนฮ่วนยิ้มกริ่มพูดยอตามมารยาทก่อน

หวังเสวียนจ้านยิ้มบางๆ แล้วกล่าวว่า “พอข้าได้จอกศักดิ์สิทธิ์ รองผู้อำนวยการอวี้หัวตัดสินแล้วว่าพวกเราได้หนึ่งคะแนน กล่าวตามหลักแล้ว จอกศักดิ์สิทธิ์โลหะใบนี้ไม่มีมูลค่าอะไรแล้ว แต่ข้ากลับสังหรณ์ใจ คิดว่าจอกศักดิ์สิทธิ์ใบนี้น่าจะมีความลับให้พวกเราขุดค้น”

“มีความลับให้ขุดค้นด้วยหรือ” หลิวเชียนฮ่วนรับจอกศักดิ์สิทธิ์มา มือเรียวสวยลูบไล้ผิวของมัน แสงสีขาวเบาบางสว่างวาบ

“อืม…ลวดลายด้านบนนี้น่าสนใจไม่น้อยเลย มันไหลลื่น เปี่ยมด้วยความเรียบลื่น แต่กลับขาดเมื่อถึงจุดที่สำคัญที่สุด ชวนให้รู้สึกอึดอัดใจ” ยิ่งนางวิเคราะห์มากเท่าใด ก็รู้สึกสนใจมากขึ้นเท่านั้น

หวังเสวียนจ้านมองอะไรไม่ออก

อันหลินใช้วิชาญาณทิพย์กับจอกศักดิ์สิทธิ์ วินิจฉัยได้ว่า ‘จอกศักดิ์สิทธิ์ผิวโลหะ ไม่อร่อย’ มันทำให้เขาสงสัยว่าวิชาญาณทิพย์ของตัวเองเป็นของปลอมหรือเปล่า

ทั้งคู่ต่างก็อับจนหนทาง จึงยกจอกศักดิ์สิทธิ์ให้หลิวเชียนฮ่วนศึกษาด้วยประการละฉะนี้

ทั้งสามคนมุ่งหน้าสู่หอคอยสีขาวต่อ

จากนั้นพวกเขาก็เห็นลำธารใสสะอาดไหลคดเคี้ยวผ่านไป

เมื่อหลิวเชียนฮ่วนเห็นลำธารเส้นนั้น ก็โยนจอกศักดิ์สิทธิ์ลงไป

ต๋อม!

ละอองน้ำกระเซ็นขึ้นสูง

อันหลิน “…”

หวังเสวียนจ้าน “…”

สองคนนี้จ้องหลิวเชียนฮ่วนอย่างงุนงง แต่หลิวเชียนฮ่วนกลับมองลำธารสายนั้นด้วยความคาดหวัง

“เอ๊ะ…บทไม่ถูกนี่นา เวลาแบบนี้ ควรจะมีเทพแห่งสายน้ำกระโดดออกมาถามข้าสิ”

“แม่สาวน้อยนักเวท ที่เจ้าทำตกเป็นจอกศักดิ์สิทธิ์ทองคำหรือจอกศักดิ์สิทธิ์เงิน”

หลิวเชียนฮ่วนลูบคางขาวหยวก พูดด้วยสีหน้าฉงนใจ

อันหลินเข้าใจทันที มองหลิวเชียนฮ่วนอย่างตะลึง นับถือมันสมองของนางจริงๆ

หวังเสวียนจ้านนวดหว่างคิ้ว ทอดถอนหายใจ ไม่อยากพูดจา

ผ่านไปหนึ่งนาที ลำธารใสสะอาดยังคงไหลเอื่อยๆ เช่นเคย ไม่มีการเคลื่อนไหวเลยสักนิด

ไม่มีเทพแห่งสายน้ำ

ไม่มีขวานทองหรือขวานเงิน

ยิ่งไม่มีทางมีจอกศักดิ์สิทธิ์ทองคำหรือจอกศักดิ์สิทธิ์เงิน

หลิวเชียนฮ่วนล้วงจอกศักดิ์สิทธิ์โลหะขึ้นมาอย่างผิดหวัง วิเคราะห์มันต่อด้วยความกลัดกลุ้ม

ทั้งสามมุ่งหน้าไปทางหอคอยสีขาว ขณะเดียวกันก็สังเกตสถานการณ์รอบตัวด้วย

แต่เมื่อเดินหน้าไปเรื่อยๆ นอกจากสัตว์ที่น่ารักไม่กี่ตัวแล้ว ไม่พบความผิดปกติอะไรเลย

ไม่นานพวกเขาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าหอคอยสีขาว

“หอคอยไข่มุก ไยชื่อนี้ถึงได้ละมุนปานนี้เล่า”

อันหลินมองป้ายที่แขวนอยู่บนประตูหอคอย พูดพลางขมวดคิ้วมุ่น

หอคอยที่โผล่มาในสถานที่แบบนี้ ควรจะเรียกว่าหอเซียน หอปีศาจ หอมารอะไรเทือกนั้นถึงจะถูก จากนั้นพวกเขาก็เข้าไปปราบมารกำจัดปีศาจในหอคอย ฝ่าฟันอุปสรรคนานา เพื่อให้ได้จอกศักดิ์สิทธิ์ทองคำมา

อืม…การเดินเรื่องแบบนี้สิจึงจะถูกจริต!

เมื่อเปิดประตูหอไข่มุก สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาทั้งสามเป็นม่านลายน้ำที่บดบังทัศนวิสัย

ดวงตาของหวังเสวียนจ้านกระจายคลื่นสีทอง ทะลวงม่านลายน้ำ…

“อืม ยังไม่รู้สึกถึงอันตรายจากชั้นด้านใน แต่ชั้นบนของหอคอยอาจมีสิ่งมีชีวิตหรือกลไกอย่างอื่น” หวังเสวียนจ้านพูดขึ้นหลังจากที่สัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง

อันหลินกับหลิวเชียนฮ่วนได้ยินแล้วพยักหน้า ขอเพียงไม่ใช่กับดัก เช่นนั้นก็ควรค่าจะเข้าไปสำรวจ

ด้วยเหตุนี้ ทั้งสามจึงทะลุผ่านม่านลายน้ำ เข้าสู่หอไข่มุกอย่างเป็นทางการ

“ฮ่าๆ ๆ สุดท้ายคนพวกนี้ก็ติดกับอยู่ดี” ในพุ่มไม้ที่ไม่ไกลจากหอไข่มุก มนุษย์หินส่งเสียงหัวเราะเหมือนเครื่องจักรออกมา

เมื่อพวกมันเข้ามาในเทือกเขาจงหลง ก็วางหอไข่มุกที่เป็นอาวุธวิเศษชั้นสูงไว้ในที่สะดุดตา เพื่อดึงดูดให้ตัวแทนจากอิทธิพลอื่นเข้ามาติดกับด้วยตัวเอง

หอไข่มุกมีประสิทธิภาพการกำบังสูงมาก และไม่มีคุณสมบัติพิฆาต ทำให้คนอื่นลดความระแวดระวังลงได้ง่ายดาย และเข้าไปข้างในอย่างตกหลุมพราง

เมื่อเข้าไปข้างในแล้วจะออกมาได้ยาก หากไม่ได้รับการอนุญาตจากผู้ควบคุมหอคอย จะเป็นพื้นที่ปิดที่เข้าได้แต่ออกไม่ได้ ระดับความทนทานน่ากลัวยิ่งกว่าอาวุธวิเศษชั้นสูงทั่วไป

“พวกเราจะไปปิดล้อมตอนนี้เลยไหม” นกนางแอ่นที่มีปีกดุจดาบคมถามเสียงเย็น

หวงส่านส่ายหน้า “รออีกสักหน่อย หากตัวแทนจากอิทธิพลของสวนเอเดนติดกับด้วยละก็ พวกเราต้องชนะการแข่งรอบนี้แน่”

พวกมันไม่เห็นตัวแทนของเมืองพุทธอยู่ในสายตาเลย สิ่งที่เป็นภัยคุกคามอย่างยิ่งสำหรับพวกมันในตอนนี้ก็คือสวนเอเดน

เพราะต่อสู้ก็สู้พวกเขาไม่ไหว แถมคะแนนก็รั้งท้ายไม่น้อย หากคิดจะชิงที่หนึ่งในสถานการณ์แบบนี้ ความยากของมันไม่ใช่แค่น้อยนิด

ในขณะนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงแว่วมาจากท้องฟ้า “ชิงเหยียนแห่งเมืองพุทธตกรอบ”

ตัวแทนทั้งสามของหอสร้างโลกที่อยู่ในพุ่งไม้ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นหงโต้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะอีกครั้ง “มีคนตกรอบเร็วปานนี้เลย นับว่าเมืองพุทธรับตำแหน่งรั้งท้ายแล้ว!”

มีเสียงประกาศดังขึ้นอีกครั้ง “ขอแสดงความยินดีกับเมืองพุทธ ได้ไปสองคะแนน!”

หงโต้ว “…”

นัยน์ตาของหวงส่านเย็นเยือกขึ้นมา “หงโต้วไอ้บัดซบ ขืนเจ้ายังหัวเราะ ข้าฟาดเจ้าตายแน่!”

หงโต้วตัวหดทันทีเมื่อได้ยิน เปลวไฟตรงหน้าอกสลัวลงตามไปด้วย พยักหน้ารัวๆ ไม่กล้าปริปากอีก

ตงเยี่ยนถอนหายใจ “ตอนนี้คะแนนรวมของเราเป็นที่โหล่แล้ว จะรอพวกเขามาติดกับอยู่ที่เดิมอีกหรือ”

แผนการนี้ของพวกมันไม่ต่างอะไรกับเฝ้าต้นไม้รอกระต่ายเลย[1] แม้จะล่อลวงศัตรูให้มาติดกับได้ แต่ขณะเดียวกันก็สูญเสียการเคลื่อนไหวอย่างอิสระและความสามารถในการช่วงชิงจอกศักดิ์สิทธิ์ไป

เมืองพุทธได้คะแนนไป ลั่นระฆังปลุกสติของพวกมันเข้าให้แล้ว

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่มีใครติดกับไม่พอ จอกศักดิ์สิทธิ์ก็คงถูกแย่งไปหมดเกลี้ยง แบบนั้นต่อให้พวกมันจับคนได้มากแล้วจะมีประโยชน์อะไร

ลมปราณกระเพื่อมบนมือของหวงส่าน ควบคุมพลังผนึกหอไข่มุก ใบหน้าฉายความลังเล

ครู่หนึ่งมันก็พูดขึ้นมาว่า “รออีกหน่อย รออีกสักหนึ่งชั่วยาม!”

บริเวณหนึ่งของเทือกเขาจงหลง ที่นี่มีเมฆหมอกปกคลุม กลิ่นอายของความอันตรายแผ่ไปทั่ว

ชิงซินพยุงชิงจือเดินไปข้างหน้าทีละก้าว เนื้อตัวของพวกเขาเต็มไปด้วยคราบเลือด กลิ่นอายของพลังก็เบาบางลงเช่นกัน

ชิงจือเหลียวมองข้างหลังแวบหนึ่ง ใบหน้าแสดงความเจ็บปวดรวดร้าว “ศิษย์น้อง…”

ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งสามถูกสัตว์ล้านปีตามล่า หลุดเข้าไปในเขตต้องห้ามที่มีอันตรายซุกซ่อนอยู่โดยไม่รู้ตัว

ในเรื่องร้ายยังมีเรื่องดีๆ พวกเขาเจอจอกศักดิ์สิทธิ์เงินที่นี่

แต่ระหว่างที่กำลังชิงจอกศักดิ์สิทธิ์อยู่นั้น ชิงจือก็ใช้เคล็ดวิชาบางอย่างที่ต้องเสียสละอย่างใหญ่หลวง และชิงเหยียนก็พลีชีพไปด้วย…

“เฮ้อ จะทำอย่างไรดี เหลือแค่เราสองคนแล้ว” ชิงจือรู้สึกเจ็บใจที่ตัวเองไร้ความสามารถ

ชิงจอกศักดิ์สิทธิ์เงินต้องแลกมาด้วยการตกรอบของคนคนหนึ่ง สองคนบาดเจ็บสาหัส แถมยังไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการแทรกแซงของอิทธิพลอื่นด้วย

หากอิทธิพลอื่นแทรกแซง พวกเขาจะได้จับจอกศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ…

ในจัตุรัสฟ้าคราม นักเรียนหลายหมื่นชีวิตที่กำลังชมศึกอยู่จับจ้องพวกอันหลินอย่างลุ้นระทึก

พวกเขาเห็นหวงส่านใช้หอไข่มุก และเห็นพวกอันหลินตกหลุมพรางติดกับด้วยเช่นกัน หากถูกปิดล้อมเช่นนี้จนถึงตอบจบ มันช่างน่าอึดอัดใจเหลือเกิน!

“เจ้าว่าพวกเทพอันจะออกไปได้ไหม”

“ต้องได้แน่ๆ ข้าไม่เชื่อว่าแค่หอคอยกระจอกงอกง่อยจะกำราบพวกเขาสามคนได้”

“ทำไมพวกตัวแทนของหอสร้างโลกยังไม่ไป หรือพวกมันยังคิดจะรอให้ตัวแทนอื่นมาติดกับอีก”

“หึ ตัวแทนของหอสร้างโลกไร้ยางอายจริงๆ ไม่ชิงจอกศักดิ์สิทธิ์ เอาแต่ใช้แผนสกปรก” มีนักเรียนบางส่วนพูดเสียงกร้าว

ส่วนผู้ติดตามของหอสร้างโลกกลับกระหยิ่มยิ้มย่อง ไม่รู้สึกละอายใจไม่พอ กลับภาคภูมิใจเสียด้วยซ้ำ

ในสายตาของพวกมัน คิดเพียงแต่ว่า ‘ตัวแทนของสรวงสวรรค์เก่งนักไม่ใช่หรือ แต่ก็ถูกพวกเราจับอยู่ดี มีแค่ตัวแทนที่ดิ้นรนเอาตัวรอดได้เท่านั้นที่เป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง!’

“รีบดูนั่นเร็วเข้า เทพอันลงมือแล้ว!” มีนักเรียนอุทานขึ้นมา

…………..

[1] เฝ้าต้นไม้รอระต่าย หมายถึง คนที่ไม่คิดจะลงแรงหรือพยายามทำงาน แต่กลับหวังได้ผล