เทียนจิ้นเหรินจากไปแล้ว งานชุมนุมเหมยฮุ่ยย่อมต้องดำเนินต่อไป เพียงแต่ผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากต่างรู้สึกเสียดายที่พลาดโอกาสที่จะได้รับคำชี้แนะจากปรมาจารย์
กั้วตงซึ่งเป็นศิษย์สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยคว้าอันดับที่หนึ่งในการประลองพิณ หลังจากนี้จะเป็นการประลองวิถีแห่งหมากล้อม
ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยที่ผ่านมา การประลองหมากล้อมเป็นรายการที่ได้รับความสนใจน้อยที่สุด มิใช่เป็นเพราะว่ามันไม่น่าสนใจ หากแต่เป็นเพราะผลการประลองได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
ก็เหมือนกับคำพูดที่บอกว่า ‘ยังไงผู้ชนะก็เป็นสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย’ ในการประลองหมากล้อมนี้…ยังไงผู้ชนะก็เป็นถงเหยียน
แต่สถานการณ์ในวันนี้เหมือนจะแตกต่างออกไปจากเดิมนิดหน่อย การประลองวิถีหมากล้อมได้รับความสนใจมากขึ้น
แต่แน่นอน ทุกคนต่างมั่นใจว่าสุดท้ายผู้ชนะยังไงก็ต้องเป็นถงเหยียน
เมื่อวานนี้เขาเพิ่งจะเอาชนะมหาบัณฑิตกัวซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในวิถีหมากล้อมของราชสำนักได้ตั้งแต่ช่วงกลางกระดาน จากนั้นก็เอาชนะยอดฝีมือแห่งวิถีหมากล้อมของเมืองเจาเกอไปอีกสิบกว่าคนติดต่อกัน ชื่อเสียงขจรขจาย ในอดีตจนถึงปัจจุบันไม่เคยมีผู้ใดทำได้เช่นนี้มาก่อน
แต่มีเรื่องเรื่องหนึ่งที่ทำให้หลายคนหันความสนใจที่ตัวคนอีกคนหนึ่ง นั่นก็คือจิ๋งจิ่ว
ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต จิ๋งจิ่วมีชื่อเสียงแล้ว
เพราะเขามีสถานะเป็นศิษย์สืบทอดของนักพรตจิ่งหยาง เขากับเจ้าล่าเยวี่ยคืออาจารย์รุ่นที่สองที่อายุน้อยที่สุดของสำนักชิงซาน
จิ๋งจิ่วคว้าอันดับหนึ่งในการประลองหมากล้อมของงานเลี้ยงซื่อไห่
แต่ในสมุดของเจวี่ยนเหลียนเหริน เขายังคงรั้งอยู่ในอันดับท้ายๆ มิได้แข็งแกร่งพอที่จะคุกคามถงเหยียนได้ เผลอๆ อาจจะไม่มีโอกาสได้เจอถงเหยียนในการประลองด้วยซ้ำ
หลายคนต่างสงสัย เหตุใดถงเหยียนจึงต้องให้จิ๋งจิ่วดูหมากกระดานนั้น ทั้งยังกล่าวประโยคเหล่านั้นกับเขา?
เหตุใดหลังจากจิ๋งจิ่ววางหมากสีดำที่ดูเหมือนจะฉลาดเล็กน้อยลงไปในตอนสุดท้ายแล้ว เขากับมหาบัณฑิตกัวถึงได้จ้องมองอยู่นาน?
มีคนไปถามมหาบัณฑิตกัว ทว่ามหาบัณฑิตกัวเพียงแต่ยิ้มๆ มิได้ตอบอะไร
เรื่องเหล่านี้ทำให้ผู้คนเกิดการคาดเดามากมาย จินตนาการไปต่างๆ นาๆ และยิ่งเกิดความรู้สึกสนใจการประลองวิถีหมากล้อมครั้งนี้
แต่เหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้การประลองหมากล้อมครั้งนี้กลายเป็นที่จับตามองก็คือเรื่องสองเรื่องที่เกิดขึ้นล่าสุด
เรื่องแรกคือเรื่องที่ฝ่าบาทเสินหวงจะเสด็จมาทอดพระเนตรการประลองหมากล้อม
ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยที่ผ่านมา ฝ่าบาทมักจะเสด็จออกมาในการประลองวิถีพรตซึ่งเป็นการประลองรายการสุดท้ายเท่านั้น แต่เหตุใดปีนี้พระองค์จึงเสด็จมาทอดพระเนตรการประลองหมากล้อมด้วย?
ครั้นฟังเจ้าล่าเยวี่ยบรรยายจบแล้ว จิ๋งจิ่วจึงส่ายศีรษะ ในใจพลางครุ่นคิดว่า ที่แท้การเป็นฮ่องเต้มันว่างขนาดนี้เลยหรือ?
……
……
ฝนฤดูใบไม้ผลิที่ตกติดต่อกันย่อมต้องมีช่วงเวลาหยุดพัก
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามาในพระราชวัง ขอบของใบไม้สีเขียวที่อยู่นอกหน้าต่างมีหยดน้ำห้อยอยู่ แสงแดดส่องทะลุตรงกลางหยดน้ำ หักเหออกมาเป็นจุดแสงจำนวนมากตกกระทบไปบนกำแพง
พระสนมหูโบกมืออย่างหงุดหงิด เพื่อบอกนางกำนัลว่าอย่ามารบกวนตนเอง
— แค่ล้างหน้าไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย
นางฟุบหมอบอยู่ข้างหน้าต่างอย่างเกียจคร้าน สูดกลิ่นอากาศที่สดชื่น มองดูทิวทัศน์ภายในสวนดอกไม้ จิตใจรู้สึกเบิกบานยิ่งนัก งดงามเสียยิ่งกว่าใบหน้าตัวเองอีก
อารมณ์ที่เบิกบานเช่นนี้ ส่วนหนึ่งมาจากคำพูดที่เทียนจิ้นเหรินให้เด็กรับใช้นำมาบอกนางเมื่อวานนี้ตอนที่อยู่ในสวนดอกเหมยเก่า อีกส่วนหนึ่งนั้นมาจากค่ำคืนอันแสนงดงามเมื่อคืนนี้
พวงแก้มของนางแดงเรื่อเล็กน้อย สีหน้าดูเขินอาย บางครั้งนางเองก็รู้สึกกลุ้มใจ เหตุใดพรสวรรค์พิเศษของเผ่าพันธุ์ที่ร่ำลือกันถึงไม่ปรากฏขึ้นบนตัวนางเลยแม้แต่นิดเดียว?
แน่นอน ความรักความโปรดปรานที่ฝ่าบาทมีต่อนางมิได้แสดงออกมาแต่ในเรื่องเหล่านี้เท่านั้น
เมื่อคืนนี้นางพูดออดอ้อนอยู่ข้างหมอนไม่กี่ประโยค ฝ่าบาทก็ทรงรับปากว่าจะพานางไปชมการประลองหมากล้อม นี่ต่างหากถึงจะเป็นความรักใคร่โปรดปรานที่แท้จริง
เช่นนี้แล้ว งานชุมนุมเหมยฮุ่ยก็จะเป็นที่จับตามองของทุกคน เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าเด็กที่ชื่อจิ๋งจิ่วจะต้องพ่ายแพ้ย่อยยับด้วยฝีมือของถงเหยียน นั่นจะเป็นความอับอายขายหน้าแบบไหนกัน?
เมื่อคิดถึงภาพเหตุการณ์นั้น พระสนมหูก็ยิ้มอย่างสะใจออกมา ปลายจมูกย่นเล็กน้อย ดูน่าหลงใหลยิ่งนัก
นางทราบดีว่าสำนักชิงซานมีสถานะอย่างไรบนแผ่นดินเฉาเทียน
หลังฉานจึปฏิเสธที่จะพบตัวเอง นางก็ล้มเลิกความคิดที่จะล้างแค้นแทนจู๋กุ้ยไป
แต่นางยังคิดที่จะทำอะไรเพื่อคนที่น่าสงสารผู้นั้นหน่อย แล้วก็เพื่อเป็นการระบายความโกรธให้ตัวเองด้วย
—- นี่คือการตอบแทนบุณคุณ แล้วก็เป็นการตัดกรรม
คำพูดที่ฉานจึเคยสั่งสอนนางเมื่อกาลก่อน นางมิกล้าลืมเลือน
แสงอาทิตย์ยามเช้าค่อยๆ เจิดจ้าขึ้น หยดน้ำที่อยู่ริมใบไม้สีเขียวตกลงมา ในที่สุดพระสนมหูก็จะลุกจากเตียงแล้ว
พระราชวังในช่วงกลางวันมักจะน่าเบื่อ ทั้งยังเงียบเหงาวังเวง
นางดึงสายตากลับมาจากทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก ก่อนจะมองไปยังขันทีแก่ที่ยืนรอรับใช้อยู่ด้านข้าง พลางกล่าวว่า “เอายามา”
รุ่งเช้าของทุกวันนางต้องกินยา ชื่อของยานี้คือยาต้วนหลี[1]
ยาต้วนหลีไม่มีอันตรายใดๆ ต่อมนุษย์ ในทางกลับกัน มันกลับช่วยปรับสมดุลจิตใจ นอกจากนี้ัยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งก็คือ มันทำให้สตรีไม่สามารถตั้งครรภ์ได้
วันแรกที่นางเข้าวังมา ฝ่าบาททรงมีรับสั่งกับนางประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นทุกวันตอนเช้านางต้องกินยาต้วนหลี แม้นคืนนั้นฝ่าบาทจะมิได้เสด็จมาก็ตาม
ฝ่าบาทมิได้ส่งคนมาคอยจับตาดูว่านางกินยาหรือไม่ แล้วก็มิได้ส่งคนมาคอยบังคับให้นางกินยา แต่นางกลับมิกล้าหยุดกินยาแม้แต่วันเดียว
ในตอนแรกสุด นางย่อมต้องมีความรู้สึกเสียใจหรือกระทั่งโกรธเคือง แต่นานวันเข้าก็กลายเป็นความเฉยชา กระทั่งกลายเป็นความเคยชินอย่างหนึ่ง วันใดหากตื่นขึ้นมาแล้วลืมกินยา นางจะรู้สึกจิตใจไม่สงบ มักจะรู้สึกมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง จนกระทั่งคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วกินยาลงไปในท้อง นางถึงจะรู้สึกสบายใจ
แต่ในช่วงหลายวันมานี้ พอนางคิดถึงเรื่องที่ต้องกินยา ภายในใจนางกลับรู้สึกอึดอัดและหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
นางเป็นปีศาจจิ้งจอก ไหนเลยจะกล้าคาดหวังเรื่องที่จะมีลูกกับฝ่าบาท แต่ในช่วงสองปีมานี้ สายตาที่องค์รัชทายาทมองนางยิ่งดูแปลกขึ้นทุกวัน รวมไปถึงเหตุการณ์ในสวนดอกเหมยเมื่อวานนี้ด้วย
เมื่อคิดถึงคำพูดของเทียนจิ้นเหริน ภายในใจนางเกิดความหวังขึ้นมาเล็กน้อย หากฝ่าบาททรงเห็นด้วยจริงๆ ล่ะ? พระองค์ทรงรักใคร่เอ็นดูตัวเองขนาดนี้ เพียงแต่…คำพูดนี้ควรจะพูดออกไปอย่างไรดี?
ขณะที่ครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้ นางไม่ทันสังเกตเห็นว่าขันทีแก่ผู้นั้นมิได้นำยาและน้ำเปล่าเข้ามาเหมือนอย่างทุกวัน
“ก่อนฝ่าบาทเสด็จออกไปทรงมีรับสั่งว่า หลังจากนี้ไม่ต้องเสวยยานั่นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีแก่กล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน
พระสนมตะลึงลาน ก่อนกล่าวถามอย่างสับสนว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”
ขันทีแก่มองนางอย่างรักใคร่ กล่าวว่า “ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ พระสนม”
เวลานี้พระสนมหูจึงได้สติขึ้นมา ใช้สองมือปิดปากตัวเองเอาไว้ ตกตะลึงจนไม่อาจบรรยายได้
ฝ่าบาท…ฝ่าบาท…ทรงอนุญาตให้ตัวนางมีลูกได้แล้ว?
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ใครกันที่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของฝ่าบาทได้?
ความรู้สึกปิติยินดีอย่างรุนแรงไหลทะลักเข้ามาในใจของนาง
ความสุขมาอย่างกะทันหันเกินไป
เสียงวิ๊งดังขึ้นมา
นางเป็นลมสลบไป
……
……
“ข้าไม่ชอบองค์ชายคนนี้”
จิ๋งจิ่วกล่าว “กาลเทศะและการวางตัวของเขาไม่ดี”
เจ้าล่าเยวี่ยคล้ายฟังไม่ค่อยเข้าใจ แล้วก็รู้สึกแปลกๆ จึงกล่าวว่า “นี่ดูไม่เหมือนเรื่องที่เจ้าจะสนใจเลย”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าเองก็ไม่อยากคิด แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร”
เจ้าล่าเยวี่ยยังคงฟังไม่เข้าใจ
เสินหวงองค์ปัจจุบันมีองค์ชายเพียงคนเดียว นั่นก็คือชายหนุ่มสวมชุดแพรที่วางตัวสูงศักดิ์ในสวนดอกเหมยเก่าเมื่อวานนี้
ในราชสำนักมีขุนนางหลายคนและคนอีกนับหลายร้อยคนที่คิดว่าเขาจะต้องเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์อย่างแน่นอน หลายๆ ครั้งก็มักจะเรียกเขาว่ารัชทายาท
ทว่าจิ๋วจิ่วมิได้คิดเช่นนี้
ด้วยสภาวะการบำเพ็ญเพียรขององค์ฮ่องเต้ หากพระองค์ทรงต้องการมีผู้สืบทอดก็สามารถมีได้ตลอด เพียงแต่พระองค์ไม่คิดอยากมีเท่านั้น
ตอนนี้เขาแสดงเจตนาของตัวเองไปแล้ว เช่นนั้นอีกไม่นานฮ่องเต้ก็น่าจะมีพระโอรสคนที่สองกระมัง?
……………………………………………………….
[1]ต้วนหลี หมายถึง ตัดขาด