ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต ผู้บำเพ็ญพรตมักจะรอให้มีอายุมากแล้วถึงจะรับศิษย์
นี่ก็เป็นหลักเหตุผลเดียวกับการที่ฮ่องเต้ยังไม่อยากมีพระโอรส ในนั้นย่อมต้องมีเหตุผลที่ลึกซึ้งอยู่อย่างแน่นอน
คนที่เริ่มรับศิษย์ตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวเหมือนอย่างจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยนับว่ามีน้อยมาก
“อาจารย์อาหญิงเล็ก!”
“อาจารย์อาเล็ก”
“เยาซงซานคารวะอาจารย์อาทั้งสอง”
……
……
ในขณะที่พูด จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยกำลังเดินอยู่บนทางขึ้นเขา
มองออกไปไกลๆ ล้วนแต่เป็นหมอก ศิษย์ของสำนักชิงซานคล้ายจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงริมทางขึ้นเขา เพราะที่นี่คือภูเขาลูกหนึ่ง
หมู่ขุนเขาตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของเมืองเจาเกอ มีงเรือนพักที่งดงามถูกสร้างเอาไว้มากมาย นี่คือสถานที่ที่ราชสำนักเตรียมเอาไว้ให้ผู้บำเพ็ญพรตใช้พักแรม มีนามว่าเรือนซีซาน[1]
ศิษย์ชิงซานพากันทำการคารวะ สายตาที่มองจิ๋งจิ่วดูค่อนข้างสับสน
พวกเขาต่างทราบข่าวฝ่าบาทเสินหวงจะเสด็จมาทอดพระเนตรการประลอง จึงรู้สึกวิตกกังวล
พวกเขากังวลว่าจิ๋งจิ่วจะวิตกกังวล
ความสัมพันธ์ของจิ๋งจิ่วกับศิษย์คนอื่นนั้นธรรมดา ในอดีตหลังจากที่เขาประลองกับกู้ชิงที่ริมธารสี่เจี้ยนแล้ว ความสัมพันธ์ของเขากับยอดเขาเหลี่ยงว่างก็แปรเปลี่ยนเป็นแย่ลง แต่ยอดเขาเหลี่ยงว่างนั้นคือสถานที่ที่ศิษย์หนุ่มสาวปรารถนาจะไปมากที่สุด
หลังจากที่เขาทำร้ายกู้หานจนบาดเจ็บและหักกระบี่ของกั้วหนานซานในงานชุมนุมซื่อเจี้ยน ความสัมพันธ์ที่ธรรมดาย่อมต้องกลายเป็นย่ำแย่
ที่ศิษย์ชิงซานเป็นห่วงเขา มิใช่เป็นเพราะเคารพเขาในฐานะอาจารย์ หากแต่เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติเวลาที่เจอกับศัตรูจากภายนอก
ยิ่งไปกว่านั้นคนที่จิ๋งจิ่วท้าประลองครั้งนี้คือถงเหยียน
ในฐานะที่เป็นสองสำนักที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาสำนักบำเพ็ญพรต ไม่ว่าจะเป็นการประลองครั้งไหน ไม่ว่าจะเป็นการประลองอะไรระหว่างสำนักชิงซานและสำนักจงโจวก็ล้วนแต่ไม่ต้องทำการปลุกใจอะไรเหล่าลูกศิษย์เลย
เหล่าศิษย์ชิงซานย่อมต้องหวังว่าจิ๋งจิ่วจะเดินไปได้ไกล อย่างน้อยที่สุดได้ไปเจอกับถงเหยียนก็ยังดี มิเช่นนั้นแล้วสำนักคงขายหน้าอย่างมาก
เมื่อเดินตามทางที่ปูด้วยแผ่นหินมาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของเรือนพักและเข้าไปในห้อง สาวน้อยจากยอดเขาชิงหรงที่เป็นคนนำทางก็ถอยออกมาอย่างเงียบๆ ในตอนที่ปิดประตูยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองดูจิ๋งจิ่ว
ควันบางเบาสองสามสายลอยออกมาจากกระถางธูป กลิ่นธูปค่อนข้างมีความพิเศษ เทียบกับธูปทำสมาธิที่ผู้บำเพ็ญพรตชอบใช้แล้วแตกต่างกัน กลิ่นธูปนี้มีกลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้และผลไม้ หากดมให้ดีกลับคล้ายจะมีกลิ่นเค็มของลมทะเล
จิ๋งจิ่วรู้ว่านี่คือธูปที่ราบสูงที่ล้ำค่าของเผ่าคนป่าทางใต้ ครานั้นนางเคยส่งมาที่ยอดเขาเสินม่อเป็นจำนวนมาก
นางในที่นี่ก็คือนางที่อยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้ เจ้าแห่งยอดเขาชิงหรง — หนานว่าง
ภายในห้องเงียบสงัด ไม่มีใครเอ่ยอะไร
หนานว่างมองดูจิ๋งจิ่วเป็นเวลานาน คล้ายต้องการจะมองเห็นอะไรจากใบหน้าของเขา
จิ๋งจิ่วสบตานางอย่างสงบนิ่ง มิได้ลนลานและมิได้ถอยหนี
ผ่านมาแล้วหลายปี อดีตสาวน้อยที่ไร้เดียงสาและป่าเถื่อนได้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุขุมเยือกเย็น
ความรู้สึกทอดถอนใจเช่นนี้คล้ายเคยเกิดขึ้นมาแล้ว?
เขาครุ่นคิดเช่นนี้
หนานว่างเอ่ยออกมา
“เจ้าต้องชนะ”
น้ำเสียงของนางเฉยชา แต่ความรู้สึกกลับหนักอึ้ง
เพราะคำสามพยางค์นี้มิใช่การสนับสนุนและมิใช่การให้กำลังใจ หากแต่เป็นการร้องขอ
หนานว่างลุกขึ้นยืน จากนั้นเดินไปริมหน้าต่าง สายตามิรู้ทอดมองไปที่ใด ก่อนจะแค่นหัวเราะพลางกล่าว “มีคนคิดอยากจะแข่งกับพวกเรา เจ้าก็ต้องขยี้พวกมันให้ตาย ทำได้หรือเปล่า?”
เจ้าล่าเยวี่ยมองจิ๋งจิ่ว
ท่าทีของหนานว่างนั้นแข็งกร้าว นางไม่รู้ว่าจิ๋งจิ่วจะตอบสนองออกมาอย่างไร
การตอบสนองของจิ๋งจิ่วนั้นเรียบง่าย “ได้”
เขารู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้วแน่ๆ
สำนักชิงซานมีรากฐานมายาวนานแค่ไหน มีความมั่นใจเพียงใด ไม่มีทางที่จู่ๆ จะมาให้ความสำคัญกับการประลองหมากล้อมเพียงเพราะฮ่องเต้จะเสด็จมาทอดพระเนตรการประลองแน่
……
……
ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยทุกครั้งจะมีประเด็นที่ต้องหารือกัน นั่นก็คือสัดส่วนทรัพยากรที่จะจัดสรรให้กับสำนักต่างๆ ในช่วงเวลาอีกหลายปีหลังจากนี้
เดิมเรื่องแบบนี้มันควรจะตกลงเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนงานชุมนุมจะเริ่มแล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ สำนักกระบี่ซีไห่กลับเสนอความเห็นที่แตกต่างออกไป
นี่คือเรื่องใหญ่อย่างแท้จริงในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต ซับซ้อนเป็นยิ่งนัก เรียกได้ว่าเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว
สำนักกระบี่ซีไห่ไม่เห็นด้วยกับการจัดสรรทรัพยากรรายการหนึ่ง สุดท้ายผลที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นว่า…จำนวนหินผลึกที่สำนักชิงซานและสำนักจงโจวได้รับการจัดสรรมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย
ความแตกต่างที่ว่านี้เรียกได้ว่าเล็กน้อยเป็นอย่างมาก ปริมาณหินผลึกเพียงเท่านั้นมิได้ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไรสำหรับสองสำนักผู้นำของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตเลย
แต่นี่มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี หรือก็คือบารมี ไม่ว่าจะเป็นสำนักไหนก็ไม่มีทางยอมถอย นับประสาอะไรกับสองสำนักนี้
แล้วจะแก้ไขปัญหาจำนวนที่แตกต่างกันนี้อย่างไร? ที่ผ่านมาเคยมีตัวอย่าง โดยจะตัดสินจากผลแพ้ชนะในการประลองวิถีพรตรายการสุดท้าย
แต่ปีนี้…กลับเปลี่ยนมาใช้การประลองวิถีหมากล้อมตัดสินแทน
สำนักจงโจวย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่ยอมรับ
ส่วนสำนักชิงซานตามหลักแล้วไม่มีทางที่จะยอมรับได้
แต่ปีนี้ฝ่าบาทเสินหวงจะเสด็จมาทอดพระเนตรการประลอง กั๋วกงหลายๆ คนกลับฉวยโอกาสตัดสินใจเรื่องนี้ไปเรียบร้อย
ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก กั๋วกงเหล่านั้นจะต้องมีสัมพันธ์ที่ดีกับสำนักจงโจวมานานหลายปีอย่างแน่นอน
……
……
ทั้งสองคนออกมาจากเรือนซีซาน เดินตามทางขึ้นเขาไปในหมอกที่อยู่ด้านหน้า
เจ้าล่าเยวี่ยถาม “เพราะอะไร?”
นางย่อมต้องหมายถึงท่าทีที่เขารับปากหนานว่างอย่างใจเย็น
จิ๋งจิ่วกล่าว “หากใช้คำตามสำนักฌาน นี่คือกรรม หากใช้คำของพวกเรา มันคือใจแห่งเต๋ากลับคืนสู่ความเงียบสงบ”
ทำอย่างไรใจแห่งเต๋าจึงจะสงบอย่างแท้จริง?
มิคิดคำนึง
ทำอย่างไรจึงจะมิคิดคำนึง?
ตัดขาด
ท่าทางของหนานว่างตอนยืนอยู่ริมหน้าต่าง แขนเสื้อที่สั่นไหวแผ่วเบา เขาล้วนแต่คุ้นเคยเป็นอย่างดี
ยอดฝีมือขั้นแหวกทะเล แต่อารมณ์กลับแปรปรวนถึงเพียงนี้ ย่อมต้องเป็นเพราะนางกำลังโมโหอย่างมาก
ในตอนที่ถกเถียงกับกั๋วกงเหล่านั้น นางเถียงสู้อีกฝ่ายไม่ได้ สุดท้ายทำให้ข้อเสนอที่น่าขันเช่นนี้ผ่านออกมาได้
จิ๋งจิ่วรู้ว่านี่เป็นเพราะอะไร
หลายปีก่อน ภาษากลางของนางยังพูดได้ไม่ดี มิถนัดในการโต้แย้งกับคน ภายหลังดีขึ้นหน่อย แต่ทันทีที่ร้อนใจก็มักจะพูดจาติดๆ ขัดๆ จึงได้แต่ต้องเงียบไป
เมื่อไม่พูด ก็ย่อมพูดสู้อีกฝ่ายไม่ได้
ความรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้ก็คือการเชื่อมโยงระหว่างเขากับโลกใบนี้ ก็เหมือนกับเจ้าล่าเยวี่ยและสือซุุ่ยที่ต่างก็เป็นกรรมของเขา
ทางขึ้นเขาทอดยาวเข้าไปในสายหมอก เบื้องหน้าค่อยๆ สว่างขึ้น เมื่อสายลมเย็นสบายพัดมา สายหมอกสลายไป ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าพลันปรากฏขึ้น
ภายใต้แสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิอันงดงาม ขุนเขาเขียวขจีเต็มไปด้วยเสน่ห์ ริมผา ผืนป่า น้ำตก ทุกที่ล้วนแต่มีศาลาตั้งอยู่
ศาลาบนภูเขามีจำนวนมากมาย ยากที่จะนับได้หมดในชั่วระยะเวลาสั้นๆ
ศาลาบางหลังมีเสาขนาดใหญ่และหลังคาสองชั้น ดูโอ่อ่าเป็นอย่างมาก ศาลาบางหลังเรียบง่าย ใช้เพียงกิ่งไม้และฟางหญ้าสร้างขึ้นมา
ศาลารูปแบบต่างๆ กระจัดกระจายอยู่บนภูเขา คล้ายกับตัวหมากที่กระจายอยู่บน….
“พวกท่านก็รู้สึกว่ามันคล้ายกระดานหมากล้อมใช่ไหมล่ะ? ข้าเพิ่งจะรู้ ที่แท้เขาลูกนี้ชื่อเขาฉีผาน[2]
เสียงที่สดใสไพเราะเสียงหนึ่งดังขึ้น
ในเขาฉีผานมีผู้บำเพ็ญพรตหลายคนเดินทางมาถึงแล้ว
ศิษย์หนุ่มสาวที่เตรียมจะลงประลองหมากล้อมมิได้ติดตามอาจารย์ไปพูดคุยกับสหายสำนักอื่น หากแต่แยกตัวไปตามที่ต่างๆ บนภูเขา
พวกเขาบางคนหลับตาทำสมาธิ บางคนถือหมากมาวางเรียงตามบันทึกการเดินหมาก ทำการเตรียมตัว
สาวน้อยที่มาดูเรื่องสนุกสนานผู้นั้นดูเบื่อหน่ายอย่างมาก เมื่อเห็นพวกเขาปรากฏตัวจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปยืนตรงหน้าพวกเขา
เจ้าล่าเยวี่ยและศิษย์พี่แห่งสำนักเสวียนหลิงทำการคารวะกัน ก่อนจะมองเซ่อเซ่อพลางกล่าว “ไหนเจ้าบอกว่าไม่ชอบเล่นหมากล้อม?”
เซ่อเซ่อชี้ไปที่จิ๋งจิ่วพลางกล่าว “ข้าชอบดูเรื่องสนุก อีกอย่างเขาเองก็จะลงประลองด้วยมิใช่หรือ?”
นางมิได้เข้าร่วมประลองพิณ วันนี้เป็นครั้งแรกที่ปรากฏตัวในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย
ในฐานะที่เป็นบุตรสาวของเจ้าสำนักเสวียนหลิง และเป็นหลานสาวที่เหล่าไท่จวินรักใคร่เอ็นดูมากที่สุด นางย่อมต้องตกเป็นเป้าสายตาของใครหลายคน
เวลานี้ สายตาเหล่านั้นต่างมองตามการพุ่งตัวและการชี้นิ้วของนางไปยังจิ๋งจิ่ว
บางคนเคยเจอจิ๋งจิ่วในวันที่มีการประลองพิณ บางคนวันนั้นอยู่ไกลมองไม่ชัดเจน แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ล้วนแต่จำเขาได้ เพราะใบหน้านั้นของเขา
เซ่อเซ่อรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมาจากทุกทิศทุกทาง รู้สึกประหม่าเล็กน้อย ก่อนจะมองเจ้าล่าเยวี่ยพลางกล่าวอย่างเห็นใจ “ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดพวกท่านจึงต้องสะพายหมวกลี่เม่าเอาไว้ตลอด”
………………………………………………………
[1]ซีซาน หมายถึง ขุนเขาตะวันตก
[2]เขาฉีผาน แปลว่า เขากระดานหมาก