เดิมทีเจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วก็เป็นจุดศูนย์กลางที่ผู้คนจับตามองอยู่แล้ว แต่วันนี้สถานการณ์เช่นนี้ยิ่งดูชัดเจนขึ้น เพราะหลายคนต่างได้ยินว่าจิ๋งจิ่วจะท้าถงเหยียนประลองหมากล้อม
ในสายตาที่มองดูเขามีอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ นาๆ มีทั้งหัวเราะเยาะเขาที่ไม่ประมาณตน มีทั้งเห็นใจเขา มีทั้งเป็นห่วงเขา ปะปนกันเต็มไปหมด
หากสายตาของผู้คนสามารถเปล่งแสงได้จริงๆ เวลาจิ๋งจิ่วที่ถูกคนมากมายขนาดนี้จับจ้องคงจะสว่างเป็นพิเศษอย่างแน่นอน
เจ้าล่าเยวี่ยคิดถึงคำพูดประโยคนั้นที่จิ๋งจิ่วเคยกล่าวเอาไว้ — ในประโยคนั้นกล่าวถึงพระอาทิตย์
ท่ามกลางสายตาจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งสี่คนเดินเข้าไปยังส่วนลึกของเขาฉีผาน
เซ่อเซ่อจูงมือเจ้าล่าเยวี่ยพลางคุยเรื่อยเปื่อย เจ้าล่าเยวี่ยนิสัยเย็นชา บางครั้งถึงจะตอบออกมาประโยคหนึ่ง แต่เซ่อเซ่อก็ยังชื่นชอบเป็นอย่างมาก ส่งเสียงพูดคุยไม่หยุด
ศิษย์พี่ชุ่ยแห่งสำนักเสวียนหลิงผู้นั้นกล่าวอธิบายให้จิ๋งจิ่วฟังอย่างรู้สึกผิด “ตอนอยู่ในสำนัก คุณหนูไม่ค่อยมีใครให้คุยด้วย”
จิ๋งจิ่วพยักหน้ากล่าวว่า “ถือว่าคุยกันถูกคอทีเดียว”
ศิษย์พี่ชุ่ยหลุดหัวเราะออกมา ก่อนกล่าวอย่างเป็นห่วง “เจ้าเตรียมจะเลือกศาลาไหน?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าไม่เข้าใจความหมายของท่าน”
ศิษย์พี่ชุ่ยตกใจ ในใจครุ่นคิด ในเมื่อเจ้าเตรียมจะท้าถงเหยียนประลอง หรือเจ้าไม่ได้เตรียมตัวอะไรล่วงหน้าเลย อย่างน้อยก็ควรทำความเข้าใจกฎการประลองหรือเปล่า?
กฎการประลองหมากล้อมของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยนั้นเรียบง่ายเป็นอย่างมาก — ศาลาที่ตั้งกระจัดกระจายอยู่บนภูเขาเหล่านั้นก็คือสนามที่ใช้ประลองหมากล้อม ผู้บำเพ็ญพรตที่ลงชื่อเข้าร่วมประลองสามารถเลือกเข้าไปนั่งในศาลาได้ตามใจ รอคอยให้คนอื่นมาท้าตัวเอง และแน่นอนว่าตัวเองก็สามารถเลือกเข้าไปในศาลาที่มีคนนั่งอยู่เหล่านั้นเพื่อท้าประลองอีกฝ่ายได้
อย่างไรเสียผู้ชนะในการประลองหมากล้อมก็มีแค่คนผู้นั้นเพียงคนเดียว จะเดินไปได้ไกลเท่าไรไม่สำคัญ แล้วก็ไม่ต้องไปสนใจเรื่องโชคชะตากับคู่ต่อสู้ด้วย
เจ้าล่าเยวี่ยได้ยินพวกเขาคุยกัน จึงกล่าวถามว่า “แล้วถ้าหากมีคนนั่งอยู่ในศาลา แต่กลับไม่มีใครมาท้าประลองจะทำอย่างไร?”
“ก่อนเริ่มการประลองและหลังจบการประลองในแต่ละรอบ ประธานที่ดำเนินงานชุมนุมจะทำการปิดศาลา เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนจะมีคู่ต่อสู้”
เซ่อเซ่อยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา กล่าวว่า “อย่างนั้นก็เลือกคนที่อ่อนแอที่สุด จากนั้นก็ค่อยๆ ถ่วงเวลา ถ้าถ่วงไปจนถึงตอนสุดท้าย นั่นไม่เท่ากับว่าเราจะประหยัดแรงไปได้เยอะหรอกหรือ?”
หากทำเช่นนั้นจริงๆ จริงอยู่ที่มันจะช่วยประหยัดแรงไปได้สองสามกระดาน แล้วก็ไม่ถือเป็นการผิดกฎด้วย เพียงแต่มันดูไม่ค่อยดีเท่าไร
ศิษย์พี่ชุ่ยยิ้มพลางกล่าว “การประลองหมากเป็นเรื่องสง่างาม มีอาจารย์และเหล่าผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่จับตามองดูอยู่ ใครจะทำเรื่องน่าขายหน้าแบบนั้นได้ล่ะ?”
เซ่อเซ่อมุ่ยมาก กล่าวว่า “มีช่องโหว่กลับไม่ฉวยโอกาส นั่นไม่ได้เรียกมีมารยาท เรียกว่าโง่เขลาต่างหาก”
……
……
การเลือกศาลาในการประลองหมากล้อมนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความสำคัญ
อย่างเช่นผู้บำเพ็ญพรตที่คิดว่าใจแห่งเต๋าของตนเองมีความหนักแน่นมั่นคงก็มักจะเลือกศาลาที่อยู่ใกล้น้ำตก
— ตัวเขามิได้รับผลกระทบจากเสียงของน้ำตก แต่คู่ต่อสู้ของเขาไม่แน่ว่าจะมีความหนักแน่นมั่นคงเหมือนอย่างเขา
แต่ไม่ว่าเซ่อเซ่อจะคิดอย่างไร ในสายตาของผู้บำเพ็ญพรตและคนธรรมดาจำนวนมาก การเล่นหมอกล้อมนั้นยังคงเป็นเรื่องที่สง่างามอย่างมาก บางทีอาจจะเหนือกว่าการเขียนพู่กันจีน วาดภาพและการดีดพิณด้วยซ้ำ เวลาที่ผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมการประลองทำการเลือกศาลา พวกเขามักจะมองว่าสภาพแวดล้อมของศาลาที่ตนเองชื่นชอบนั้นมีเสน่ห์มากพอหรือเปล่า อย่างเช่นมีเงาไผ่ทอดลงมาหรือเปล่า หรือไม่ก็ได้ยินเสียงต้นสนไหวลู่ตามลมหรือไม่?
เขาฉีผานแห่งนี้มีข่ายพลังคุ้มครองอยู่ ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกฝนหิมะน้ำค้างรบกวน ต่อให้ลมแรงแค่ไหน เมื่อพัดเข้ามาในภูเขาก็จะกลายเป็นสายลมเย็นสบาย ท่ามกลางลมที่เย็นสบายและเสียงร้องของวิหค ผู้ชมการประลองสามารถเดินชมการประลองหมากล้อมบนภูเขาได้ตามอำเภอใจ นอกจากเรื่องที่ห้ามส่งเสียงพูดคุยรบกวนผู้ที่กำลังประลองหมากกันอยู่แล้วก็ไม่มีข้อห้ามอื่น ต่อให้อยากจะดื่มสุราก็ไม่เป็นไร ค่อนข้างให้ความรู้สึกรื่นรมย์
จิ๋งจิ่วจะเลือกศาลาไหน?
เซ่อเซ่อและศิษย์พี่ชุ่ยต่างรู้สึกใคร่รู้ ผู้บำเพ็ญพรตที่มองดูเขาจากที่ไกลๆ ก็รู้สึกสนใจเช่นเดียวกัน
เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจ เขาน่าจะเลือกศาลาที่สามารถตากแดดได้กระมัง?
จิ๋งจิ่วพาทั้งสามคนเดินผ่านทะเลไผ่และป่าสน เดินผ่านน้ำตก มุ่งหน้าต่อเข้าไปในภูเขา ระหว่างทางเจอคนเล็กน้อย
ลูกศิษย์ของสำนักที่เป็นมิตรที่ดีกับสำนักชิงซานรีบเข้ามาทำการคารวะ สำนักเล็กๆ บางสำนักทางภาคใต้ค่อนข้างเคารพนอบน้อม
บางสำนักที่เป็นมิตรกับสำนักกระบี่ซีไห่ สำนักคุนหลุนเพียงแค่ยกมือขึ้นมาส่งๆ และมักจะมาพร้อมกับเสียงเหอะในลำคอ
ส่วนสำนักที่เป็นมิตรกับสำนักจงโจวแม้นภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่ในสายตาที่มองดูจิ๋งจิ่วกลับทำให้คนรู้สึกหงุดหงิด เพราะท่าทีหยอกล้อเยาะเย้ยที่แฝงอยู่ในนั้นมันเด่นชัดมากเกินไป
……
……
“ข้าหงุดหงิด”
บนใบหน้าเจ้าล่าเยวี่ยมิได้แสดงอารมณ์อะไรออกมา แต่สายตากลับดูเย็นยะเยือก
“ทำไม?”
จิ๋งจิ่วไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องโมโหเพราะสายตาเยาะเย้ยและดูถูกของคนอื่นด้วย
เขาเชื่อว่าเจ้าล่าเยวี่ยก็เป็นคนเช่นเดียวกับตน
ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกหงุดหงิด
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้าเอาชนะได้ แต่ก็มีข้าเพียงคนเดียวที่รู้ว่าเจ้าเอาชนะได้ ความรู้สึกแบบนี้ไม่ดี”
จิ๋งจิ่วกล่าว “พูดให้ชัดหน่อย?”
เจ้าล่าเยวี่ยครุ่นคิด ก่อนกล่าวว่า “ไม่ใช่พยัคฆ์ซ่อนเล็บ แล้วก็ไม่ใช่อีกคำหนึ่ง ข้าเองก็คิดคำบรรยายที่เหมาะสมไม่ออก”
เซ่อเซ่อกล่าวเสียงเบาๆ “ดูเหมือนจะเป็นอารมณ์ที่ซับซ้อนจริงๆ”
ศิษย์พี่ชุ่ยฟังคำสนทนานี้อยู่ข้างๆ ในใจครุ่นคิดว่าสหายสำนักชิงซานนั้นคิดถึงแต่เรื่องบำเพ็ญพรตจริงๆ ด้วย ไม่ค่อยรู้เรื่องอื่นเลย
คิดอยากจะคว้าชัยชนะในการประลองหมากล้อมของงานชุมนุมเหมยฮุ่ย ไหนเลยจะง่ายดายเพียงนั้น?
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะเอาชนะคุณชายถงเหยียนผู้นั้น ต่อให้จิ๋งจิ่วอยากจะเจออีกฝ่าย หากว่ากันตามความน่าจะเป็นแล้ว อย่างน้อยก็ต้องเอาชนะให้ได้ห้าถึงหกกระดาน
ปัญหาอยู่ที่ว่าเจ้าจะเอาชนะได้หรือเปล่า?
จิ๋งจิ่วได้ที่หนึ่งในการประลองหมากล้อมของงานเลี้ยงซื่อไห่ แต่งานเลี้ยงซื่อไห่จะมาเทียบกับงานชุมนุมเหมยฮุ่ยได้อย่างไร? ในสายตาของผู้บำเพ็ญพรตหลายๆ คน งานเลี้ยงซื่อไห่เป็นแค่เพียงงานที่ทางซีไห่ทำเลียนแบบงานชุมนุมเหมยฮุ่ยเท่านั้น สำนักบำเพ็ญพรตที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานอย่างแท้จริงแทบจะไม่เข้าร่วม ส่วนเรื่องผลงาน…
ผู้ชนะจากการประลองหมากล้อมในงานเลี้ยงซื่อไห่เมื่อก่อนนี้ กระทั่งสามสิบอันดับแรกของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยก็ยังเข้ามามิได้ด้วยซ้ำ
ศิษย์พี่ชุ่ยกังวลว่าจิ๋งจิ่วจะไม่ทราบเรื่องเหล่านี้ คิดอยากจะเตือนเขาว่านอกจากถงเหยียนแล้ว ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยยังมีคู่ต่อสู้ที่เขาไม่อาจจะเอาชนะได้อยู่อีกมากมาย
ในเวลานี้พวกเขาเดินผ่านทุ่งดอกไม้ผืนหนึ่ง มาถึงที่โล่งแห่งหนึ่งตรงริมผา รอบด้านมีศาลาตั้งอยู่กระจัดกระจาย ไม่รู้เหตุใดที่นี่จึงแทบจะไม่มีคน ให้ความรู้สึกวังเวง
ศิษย์พี่ชุ่ยแนะนำจิ๋งจิ่ว “นางชื่อเชวี่ยเหนียง เป็นศิษย์รุ่นสามของสำนักจิ้งจง ได้รับการสืบทอดวิถีหมากล้อมจากมหาบัณฑิตเฮ่อในราชวงศ์ก่อนหน้านี้”
เด็กสาวใบหน้ากลมมนนางหนึ่งยืนอยู่หน้าศาลา ท่าทางสงบเรียบร้อย บนใบหน้ามีกระอยู่เล็กน้อย ให้ความรู้สึกทะเล้นน่ารัก
นางยิ้มเล็กน้อยพลางคารวะจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ย “คารวะอาจารย์อาทั้งสอง”
ความสัมพันธ์ของสำนักจิ้งจงและสำนักชิงซานถือว่าไม่เลว จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยพยักหน้าตอบรับการคารวะ
ทั้งสี่คนเดินไปข้างหน้าต่อ ศาลาด้านหน้ามีบัณฑิตสองคนยืนอยู่
บัณฑิตคนนั้นสวมชุดเก่าที่ถูกซักจนซีดขาว ในมือถือหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นคัมภีร์ปรัชญาหรือเป็นบันทึกการเดินหมาก เขากำลังโยกศีรษะอ่านหนังสือเล่มนั้นอย่างเงียบๆ
ศิษย์พี่ชุ่ยกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ซั่งจิ้วโหลว เป็นศิษย์ของเรือนอี้เหมา ระดับฝีมือทางวิถีหมากล้อมสูงส่ง ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งที่แล้วพ่ายให้ถงเหยียนเพียงสามหมาก”
ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้า บัณฑิตผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมากล่าวว่า “ศาลาหลังนี้ข้าเลือกไว้แล้ว พวกเจ้าไปที่อื่นซะ”
คำพูดนี้แข็งกร้าว หากมิเป็นเพราะสีหน้าเขาดูเฉื่อยชาเหม่อลอย เกรงว่าคงทำให้คนฟังรู้สึกโกรธมากกว่านี้
เซ่อเซ่อกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ได้ยังไง? พวกเราก็ท้าเจ้าได้เหมือนกันนะ!”
บัณฑิตผู้นั้นมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวว่า “ถ้าอยากแพ้กลับไปชิงซานเร็วๆ มันก็แล้วแต่เจ้า”
“ถูกต้อง”
ด้านหน้าไม่ไกลมากมีเสียงที่ฟังดูเหลาะแหละไม่จริงจังเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
ตรงนั้นมีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ด้านหน้าต้นไม้มีศาลาหลังหนึ่ง แสงแดดส่องไปไม่ถึง แลดูอึมครึม
เด็กหนุ่มที่ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ทะเล้นไร้เดียงสายืนอยู่ด้านหน้าศาลา เขามองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวเยาะเย้ยว่า “ได้ยินว่าเจ้าจะท้าถงเหยียน สองวันนี้พวกเราจึงไปหาบันทึกการเดินหมากของเจ้ามาดู ดูไม่ได้เลยจริงๆ หากวันนี้เจ้าอยากจะมีชีวิตอยู่ให้นานขึ้นอีกหน่อย ก็อย่าได้รั้งอยู่ที่นี่ อยู่ห่างจากพวกข้ายิ่งไกลยิ่งดี มิเช่นนั้นแล้วเจ้าจะตายได้อย่างอนาถเสียยิ่งกว่าหมากของเจ้า”
………………………………………………………….