บทที่ 208

แม้ว่าชายคนนี้ดูเหมือนจะหุนหันพลันแล่น แต่เขาก็ระมัดระวังอย่างยิ่ง ในสถานการณ์เร่งด่วนเช่นนี้ เขายังสามารถคิดวิธียืนยันตัวตนเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกตลบหลังได้อีกงั้นหรือ ?

หากเป็นคนอื่นที่แอบอ้างเป็นคนในกองทัพหนิง พวกเขาคงจะไม่สามารถตอบคำถามของแม่ทัพคนนี้ได้อย่างแน่นอน แต่เมื่อใช้ไฟสังหารหน่วยสนับสนุน ถังหยินก็ได้รับรู้ถึงความทรงจำของพวกเขามาเช่นกัน ดังนั้นโดยไม่ต้องหยุดคิดแม้แต่น้อย เขาก็ได้ตอบกลับไปทันทีว่า “ข้า ? ข้ามาจากหน่วยสนับสนุนกองพันที่ 7 และแม่ทัพของข้าก็มีนามว่าซางเหวิน ท่านแม่ทัพซาง !”

เมื่อเห็นว่าคำตอบของเขาถูกต้อง คนถามก็เลิกสงสัยอย่างสมบูรณ์ หลังจากนั้นความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น รีบกระโดดขึ้นไปบนหลังม้า แล้วจึงตะโกนบอกทหารรอบ ๆ ว่า “ตามข้ามา ! ไล่ตามไป !”

“ขอรับท่านแม่ทัพ !”

กองทัพหนิงรับคำสั่ง พากันติดตามแม่ทัพหนิงนายนั้นเข้าไปในป่าเหมือนฝูงผึ้ง

แม่ทัพหนิงได้นำกองกำลังส่วนใหญ่ไล่ล่า ‘กองทัพเฟิง’ ที่ซุ่มโจมตีหน่วยสนับสนุน ในขณะที่ทหารไม่กี่คนที่อยู่ด้านหลังก็กำลังทำการเก็บกู้เสบียงที่โดนไฟไหม้ ทว่าด้วยพวกเขาไม่ได้พกน้ำติดตัวออกมา และไฟเองก็กำลังโหมกระหน่ำ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ใช้กิ่งไม้เพื่อดับไฟ

ในตอนนั้นทหาร 2-3 นายก็ได้ล้อมรอบถังหยิน เข้ามาช่วยรักษาบาดแผลของเขา อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับไม่พบบาดแผลที่ชัดเจนบนร่างกายของชายหนุ่ม และหลังจากทำการค้นหาอีก 2-3 ครั้ง พวกเขาก็พลันถามออกมาด้วยท่าทีสับสนว่า “นี่เจ้าบาดเจ็บที่ไหนกัน ?”

ถังหยินหัวเราะอย่างขมขื่นและพูดว่า “ที่หลังขอรับ …”

เมื่อได้ยินแบบนั้น คนอื่น ๆ ก็รีบช่วยเขาลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็มองไปที่หลังของชายหนุ่มโดยพร้อมเพรียงกัน ทว่าพวกเขาก็ไม่เห็นบาดแผลแต่อย่างใด กลับเป็นดาบวงพระจันทร์ 2 เล่มที่สะท้อนกับแสงไฟแยงเข้าตา และในขณะที่พวกเขากำลังจะพูด ชายหนุ่มก็พลันงอนิ้วทั้งสิบ เรียกเปลวไฟเข้าปกคลุมฝ่ามือนั่น แล้วจึงคว้าเอาใบหน้าของทหารหนิงสองคนนั้น

ทหารหนิงอีกคนที่เห็นเหตุการณ์ตกใจมาก และในขณะที่เขากำลังจะเปิดปากตะโกน ถังหยินก็พลันก้าวเข้ามาหา ใช้ฝ่ามือจับเข้าที่ลำคอของเขา เพียงบีบเบา ๆ ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงกระดูกแตกออก ก่อนที่พลังชีวิตจะหลุดออกมาจากร่างกายของอีกฝ่าย

ถังหยินยิ้มเยาะ เขายืนขึ้นจัดเกราะบนร่าง ก่อนเดินไปหาทหารหนิงที่ยังคงทำงานอยู่ และโดยไม่ทันให้อีกฝ่ายตั้งตัว ดาบวงพระจันทร์ก็ได้ปรากฏขึ้นในมือทั้งสอง เช่นเดียวกับรอยยิ้มกระหายเลือดบนใบหน้าที่เผยออกมา

ชายหนุ่มเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าใส่ทหารหนิงจากด้านหลัง ก่อนที่ในพริบตาจะมีสายหมอกโลหิตยาว 2 สายพุ่งขึ้นไปในอากาศ ทำให้ทหารหนิงสิบกว่าคนที่ไม่ทันได้รับรู้อะไรล้มลงกับพื้นไป

ผู้คนต่างสับสนกับการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันของถังหยิน พวกเขาไม่เข้าใจว่าชายที่เคยหายใจรวยรินใกล้ตายจะกลับมาแข็งแรงอีกครั้งได้ยังไง ?

ทหารหนิงหลายร้อยนายต่างตกอยู่ในความโกลาหล พวกเขาพากันวิ่งหนีกระจัดกระจายกันคนละทาง

เมื่อเห็นว่าไฟยังคงลุกลามต่อไปได้ ถังหยินก็ไม่คิดที่จะไล่ตามต่อ เขาเลือกที่จะขึ้นควบขี่ม้าศึกที่นำมาด้วย เพื่อมุ่งตรงกลับไปยังค่ายกองทัพหนิงในทันที

ระหว่างทาง ถังหยินก็พยายามควบม้าของเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำให้ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามเขาก็กลับมาถึงค่ายแล้ว และโดยไม่มีสัญญาณว่าจะชะลอตัวลง ถังหยินที่อยู่ห่างออกไปก็พลันตะโกนเสียงดังออกมา “เร็วเข้า ! เกิดเรื่องแล้ว ! สถานการณ์ฉุกเฉิน แม่ทัพอู๋กำลังถูกโจมตี !”

แม่ทัพอู๋ที่เขาหมายถึงคืออู๋ซีหยวน ผู้นำของกองกำลังเสริมที่ชายหนุ่มเพิ่งพบเจอไป

มันเป็นเรื่องหนึ่งสำหรับหน่วยสนับสนุนที่จะถูกซุ่มโจมตี แต่ทำไมแม่ทัพอู๋ที่นำกำลังเสริมไปถึงได้ถูกโจมตีจากศัตรูด้วย ? พวกมันมีกี่คนกัน ? แน่นอนว่าพวกทหารธรรมดาย่อมไม่กล้าที่จะถามอยู่แล้ว พวกเขารีบเร่งเปิดประตูค่าย ก่อนทำการอนุญาตให้ถังหยินเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว

หลังเข้ามาในค่าย ถังหยินก็เร่งควบม้าของเขา และเมื่อเห็นว่ามีทหารลาดตระเวนเดินตรงมาหา ชายหนุ่มก็แสร้งทำเป็นอ่อนแรง ทำการแกว่งม้าของเขา 2-3 ครั้งก่อนพลิกตัวลงจากหลังม้า

มีทหารลาดตระเวน 2-3 คนที่เห็นเขาชัดเจน ดังนั้นพวกเขาจึงรีบเข้ามาหา และเมื่อเห็นว่าร่างของถังหยินถูกปกคลุมไปด้วยเลือด พวกเขาก็พลันถามออกมาว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นเหรอ ?”

ดวงตาของถังหยินที่จ้องมองกลับมาเบิกกว้างขึ้น ก่อนที่เขาจะตอบกลับไปอย่างเฉยชา “เปล่า !” ว่าแล้วชายหนุ่มก็พลันชักดาบทั้ง 2 เล่มออกมา เข้าเฉือนไปทางซ้ายและขวา ทำให้ทหารหนิงที่เป็นเป้าเห็นเพียงประกายแสงแวบหนึ่ง จากนั้นก็เป็นร่างของพวกเขาที่กลายเป็นไอสีขาว ทิ้งให้ชุดเกราะและเสื้อผ้าตกลงกับพื้น

ถังหยินล้มตัวลงนั่งบนพื้น เขามองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ จากนั้นชายหนุ่มก็ก้มลงเก็บชุดเกราะและเสื้อผ้าทั้งหมด ก่อนจะดึงม้าของเขาไปยังที่เงียบสงบบริเวณด้านหลังของค่าย แล้วจึงถอดชุดเกราะกับเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดออก

หลังจากเช็ดหน้าและมือให้สะอาด เขาก็เปลี่ยนเป็นชุดเกราะที่สะอาดและเดินออกมาจากด้านหลังของค่ายอย่างช้า ๆ

ชายหนุ่มทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นขณะที่เขาเดินอยู่ในฐานที่มั่นของกองทัพหนิง ซึ่งในขณะที่เขาเดินผ่านพวกทหารลาดตระเวน ก็เป็นถังหยินเองนี่แหละที่เป็นฝ่ายทักทายพวกเขาและชวนพูดคุย

ถังหยินในตอนนี้ดูไม่ต่างจากชาวหนิงเลยแม้แต่น้อย และตราบใดที่ไม่มีใครใช้เนตรทิพย์ มันก็คงไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเขาเป็นตัวปลอม

เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ถังหยินตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยงค่ายหลัก เขาใช้ทางอ้อมขนาดใหญ่และมุ่งหน้าไปยังประตูค่ายทหารที่ด้านหน้าค่าย

ทว่าในขณะที่เขากำลังเดินอยู่ มันก็มีเสียงตะโกนดังมาจากด้านหน้าถังหยิน

หลังจากเดินไปได้ไม่ไกลมากนัก เขาก็เห็นชายและหญิงแปลก ๆ มากกว่า 20 คนในเครื่องแบบทหารยืนอยู่ พวกเขาต่างถือคันธนูและลูกศรไว้ พากันใช้สายตาจ้องมองหุ่นไม้ที่อยู่ห่างจากพวกเขาไป 20 ถึง 30 ก้าว

เมื่อเห็นคนเหล่านี้ ถังหยินก็ต้องขมวดคิ้วแน่น ด้วยสงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ที่นี่ !

จากความทรงจำของชาวหนิงที่ชายหนุ่มได้รับมา เขาก็รู้ได้ในทันทีถึงตัวตนของชายและหญิงเหล่านี้ ที่แท้พวกเขาทั้งหมดก็เป็นลูกศิษย์จากแคว้นหนิง บางคนเป็นเด็กจากตระกูลชั้นสูง ในขณะที่บางคนก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่มีพรสวรรค์ ทว่าพวกเขาก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน และนั่นก็คือการบ่มเพาะพลังปราณที่ไม่ได้อ่อนแอเลย !!!

เมื่อครั้งสถาบันฝึกยุทธ์ทำลายการปิดกันของผู้ฝึกยุทธ์ พวกเขาเหล่านั้นก็สามารถเรียนรู้ทักษะการต่อสู้ขั้นสูงจากกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งได้ฝึกฝนอย่างเป็นระบบ ทำให้คนพวกนี้เก่งกาจขึ้นอย่างรวดเร็ว และตราบใดที่พวกเขาฝึกฝนในกองทัพเป็นเวลา 2-3 ปี พวกเขาก็สามารถกลายเป็นแม่ทัพได้ในทันทีที่เรียนจบ !

คนพวกนี้คือพวกที่อยู่ในสถาบันฝึกยุทธ์ ! ถังหยินพึมพำในใจ ก่อนเขาจะเดินเร็วขึ้นยิ่งกว่าเดิม แต่เมื่อชายหนุ่มเดินผ่านคนกลุ่มนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปาก

ด้วยการฝึกฝนของศิษย์พวกนี้ไม่ได้อ่อนแอเลย และถ้าหากถังหยินสามารถเปลี่ยนพวกเขาให้เป็นพลังปราณ งั้นแล้วมันก็ถือว่าเขาได้รับประโยชน์มากทีเดียว

แต่ตอนนี้คงไม่เหมาะนัก ด้วยยังคงอยู่ภายในค่ายของศัตรู ดังนั้นถังหยินจึงทำได้แค่รอ รอจนกว่าพวกเขาจะได้พบกันในสนามรบ !

ในขณะที่เขาครุ่นคิด ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนว่า “นั่นใคร ! หยุดอยู่ตรงนั้น !”

ถังหยินตกใจ หากแต่ฝีเท้าของเขาไม่หยุด ยังคงเดินไปข้างหน้า

“เห้ย ! หูหนวกหรือไง ! ข้าบอกให้หยุด !” ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชนและตะโกนใส่ถังหยิน

หลังจากถูกเรียกถึง 2 ครั้ง หากเขายังคงทำหูทวนลมต่อไปคงไม่ดีแน่ ดังนั้นชายหนุ่มจึงรีบเปลี่ยนสีหน้า หันกลับไปมองอีกฝ่าย แล้วจึงชี้ไปที่ตัวเองด้วยความไม่แน่ใจ

เมื่อเห็นเช่นนั้น ชายหนุ่มผู้นั้นก็หัวเราะออกมา เขาโบกมือให้ถังหยินและพูดว่า “ใช่ เจ้านั่นแหละ มานี่ !”

บ้าเอ้ย ! ถึงจะคิดเช่นนั้น หากทว่าถังหยินก็ได้แต่ต้องเดินเข้าไปหา ก่อนที่เขาจะหันมองไปที่ชายตรงหน้า ยิ้มออกมา และเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพ มีอะไรรึเปล่าขอรับ ?”

ศิษย์พวกนี้ยังไม่ได้เข้าสู่กองทัพอย่างเป็นทางการ ดังนั้นการเรียกพวกเขาว่าแม่ทัพจึงเป็นเพียงการให้เกียรติตามมารยาท ทว่าเพียงแค่นี้มันก็ทำให้ชายผู้นั้นพยักหน้าด้วยความพึงพอใจไม่น้อย ก่อนที่เขาจะหยิบเสาไม้ขึ้นจากพื้นและยื่นให้ถังหยิน “เอานี่ไป เห็นเสาไม้ตรงนั้นไหม ? เดินตรงไป !”

คิ้วของถังหยินขมวดเป็นปม เขาสงสัยว่าชายหนุ่มคนนี้ต้องการอะไรกัน ?

เมื่อเห็นว่าเขาไม่ขยับ ชายหนุ่มผู้นั้นก็รีบเร่ง “เร็วเข้า ! ข้ารออยู่นะ !”

‘ให้ตายสิ !’ ถังหยินด่าในใจ ก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ หยิบเสาไม้ขึ้นมา และหลังจากเดินไปได้ระยะหนึ่ง เขาก็ได้ยิงเสียงชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เอาล่ะ การยิงเป้ามันไม่มีอะไรยากหรอก เรามาดูกันว่าใครกันที่สามารถยิงหมอนั่นให้ตายก่อนได้ !”

เมื่อได้ยินคำนั้น ถังหยินก็ได้แต่สวดถึงบรรพบุรุษของชายหนุ่มทั้ง 8 ชั่วอายุคนในใจ และโดยไม่ต้องเดา มันก็เห็นได้ชัดแล้วว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นผู้สูงศักดิ์ของสถาบันฝึกยุทธ์

ด้วยมีเพียงขุนนางเท่านั้นที่สามารถทำสิ่งนี้และปฏิบัติต่อทหารธรรมดาด้านล่างเหมือนสิ่งของเช่นนี้

เขากำลังเดินไปข้างหน้า ทว่าก็มีหญิงสาวคนหนึ่งหยุดไว้เสียก่อน นางไม่ได้มองไปที่ถังหยิน กลับหันไปพูดกับชายหนุ่มอย่างไม่พอใจแทน “เหาหยาน เจ้าทำมากเกินไปแล้ว ถ้าเจ้าพลาดขึ้นมามันจะเกิดอะไรขึ้น ? ”

เมื่อได้ยินเสียงนั่น ถังหยินก็พลันหันศีรษะไปมอง ก่อนพบว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงสาวที่ดูจะอายุราว ๆ 17-18 ปี ซึ่งก็เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ นางเองก็กำลังสวมชุดเกราะเหล็กหนักเช่นกัน หากแต่ด้วยร่างกายที่ดูบอบบาง และผิวขาวเนียนละเอียด มันก็ทำให้ยากนักที่ชายทั้งหลายจะลืมได้ลง

…หากมีใครมองไปที่ชุดเกราะของหญิงสาวอย่างใกล้ชิด พวกเขาก็จะพบว่ามันเป็นของชั้นดีที่เดียว แสดงให้เห็นว่านางนั้นมาจากตระกูลขุนนางชั้นสูง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มผู้นั้นก็ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด เขาเพียงหัวเราะและพูดเบา ๆ “อาหลิง เขาเป็นแค่ทหารระดับล่างเท่านั้น ! นอกจากนี้ด้วยทักษะการยิงธนูของข้า ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ข้าจะยิงพลาด หรือเจ้าจะบอกว่าฝีมือของข้าแย่กัน ?”

“ข้าเผื่อในกรณี ‘พิเศษ’ ก็เท่านั้น !”

“มันไม่มีโอกาสนั้นหรอก !”

ทั้งสองคนโต้เถียงกันไปมา ทำให้ศิษย์คนอื่น ๆ หัวเราะ “ดูซิ ! คู่รักคู่นี้เถียงกันอีกแล้ว !”

ใบหน้าขาวราวกับหยกของหญิงสาวแดงขึ้นด้วยความโกรธ ขณะที่ใบหน้าของชายหนุ่มก็เผยให้เห็นถึงความภาคภูมิใจ