“เอาล่ะ ๆ พวกเราไม่ได้มาเล่นกันนะ เพราะฉะนั้นเลิกเถียงกันได้แล้ว !” ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาหญิงสาว เอาแขนโอบไหล่นางอย่างเป็นธรรมชาติ

คิ้วของนางย่นโดนพลัน ก่อนทำการสะบัดแขนอีกฝ่ายทิ้งและเดินปึงปังจากไปด้วยความโกรธ เมื่อเห็นเช่นนั้น ชายหนุ่มก็ลืมยิงธนูและทิ้งเรื่องถังหยินไป เขาวิ่งไล่ตามผู้หญิงคนนั้นอย่างกระวนกระวาย ปากร้องถาม “อาหลิงทำไมเจ้าถึงโกรธอีกแล้ว ?”

เมื่อเห็นทั้งสองจากไป พวกศิษย์คนอื่น ๆ ก็ยิ้มให้กัน ก่อนจะมีคนหนึ่งโบกมือให้ถังหยินและพูดว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ไปได้แล้ว !”

ถังหยินเกือบจะระเบิดความโกรธออกมาอยู่แล้ว โชคดีที่เขาระงับมันไว้ได้ …ไม่งั้นแล้วก็ไม่อยากคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ศิษย์จากสถาบันฝึกยุทธ์ไม่แม้แต่จะหันมามองชายหนุ่มอีกเลย พวกพากันสนทนา พร้อม ๆ กับใช้เสาไม้เพื่อฝึกยิงธนูต่อไป

เมื่อถังหยินออกมาจากตรงนั้นได้ เขาก็เร่งฝีเท้าและเดินไปที่กำแพงค่าย ก่อนพูดพึมพำกับตัวเองออกมา ว่าคงเป็นการดีที่สุดแล้ว ที่จะไม่ปล่อยให้เด็กขุนนางพวกนั้นมาพบกันตนในสนามรบ ไม่เช่นนั้นเขาคงอดไม่ได้ที่จะไปเด็ดหัวเด็กพวกนั้น !

ตลอดทางหลังจากนั้นชายหนุ่มไม่พบปัญหาอื่นใดอีก มาถึงกำแพงค่ายอย่างราบรื่น และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ เขาก็พลันเปิดใช้งานวิชาสลับเงา รีบออกจากค่ายของพวกหนิงในทันที

แม้ว่าผู้ใช้ศาสตร์มืดจะไม่เหมือนกับผู้ใช้ปราณแสง ที่เกิดมาพร้อมกับความสามารถในการทำความเสียหายวงกว้าง แต่พวกเขาก็นับได้ว่าเป็นหน่วยสอดแนมที่เก่งกาจยิ่ง

ในที่สุดถังหยินก็กลับมาถึงเมืองจินฮั๋วได้อย่างปลอดภัย เขาเงยหน้าขึ้นมองด้านบน แล้วจึงใช้วิชาสลับเงาอีกคราเพื่อกลับไปที่ด้านบนกำแพงเมือง

ด้วยชายหนุ่มไม่ได้ตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยงหน่วยลาดตระเวนบนกำแพงเมือง จึงทำให้เขาถูกพวกทหารลาดตระเวนจับได้ “ศัตรู ?”

ขณะที่พวกเขาตะโกนไปครึ่งประโยค ก็เป็นฝ่ายถังหยินที่ทิ้งหมวกเกราะของเขาแล้วโบกมือไปทางคนพวกนั้น “อย่ากระโตกกระตากไป ข้าเอง !”

พวกทหารเฟิงเหล่านั้นตาเบิกกว้าง พากันยื่นหัวออกไปเพื่อดูใกล้ ๆ และเมื่อพวกเขาเห็นใบหน้าของชายหนุ่มอย่างชัดเจน คนเหล่านั้นก็พลันแสดงอาการตกใจ จากนั้นก็รีบเดินไปข้างหน้าและพูดว่า “นายท่าน ! ไม่ใช่ว่าท่านกลับไปพักผ่อนแล้วหรือขอรับ ? เหตุใดจึงใส่เสื้อผ้าของพวกชาวหนิงกันได้เล่าขอรับ ? ”

ถังหยินหัวเราะ โบกมือให้กับเหล่าทหาร และพูดออกมาว่า “ข้าไปแอบสืบการเคลื่อนไหวที่ค่ายของศัตรูมา”

“ขอรับ !? ไปบุกค่ายศัตรูคนเดียว ? แล้วนายท่านได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าขอรับ ?” พวกทหารถามอย่างกังวล

“ฮ่า !” ถังหยินหัวเราะ “แค่บุกค่ายของศัตรูเท่านั้น ใครจะทำร้ายข้าได้กัน !”

ด้วยกลัวว่ามันจะรบกวนเวลาพักผ่อน ชายหนุ่มจึงเตือนทหารพวกนั้นว่ารีบไปได้แล้ว ก่อนที่เขาจะกลับไปยังที่พักของตัวเองเพื่อเข้านอน

ในคืนนี้เมืองจินฮั๋วที่เงียบสงบ แต่กลับที่ค่ายหนิงหาได้เป็นเช่นนั้น !

หน่วยสนับสนุนถูกโจมตี และไม่เพียงแต่อาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ที่ถูกทำลาย เพราะแม้แต่เสบียงก็ถูกเผาไหม้ ! ทำให้จ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้โกรธมาก !!!

ด้วยเรื่องเสบียงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องจัดการ ดังนั้นเขาจึงส่งคนไปที่แคว้นเปิงเพื่อขอเสบียง และร้องขอให้ซ่งเทียนจัดส่งอาวุธปิดล้อมมาด้วย

หลังจากส่งแม่ทัพ 2 คนออกไป อารมณ์ของจ้านอู่ตี้ก็สงบลง ก่อนที่เขาจะทำการพิจารณาว่ากองทัพเฟิงซุ่มโจมตีหน่วยสนับสนุนของพวกเขาได้อย่างไร ?

และหลังจากทำการสอบสวนตลอดทั้งคืน ในที่สุดเรื่องราวทั้งหมดก็กระจ่าง พวกเขาพบว่ามีเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้นที่ซุ่มโจมตีพวกเขา ซึ่งนี่ก็แสดงว่าอีกฝ่ายนั้นเก่งกาจพอตัว

ก่อนที่หลังจากนั้นไม่นาน ปอดของจ้านอู่ตี้ก็แทบจะระเบิด เมื่อมีคนเข้ามารายงานว่ามีการพบชุดเกราะและเสื้อผ้ากระจัดกระจายไปทั่วค่าย ทั้งยังมีคนหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นหรือตาย

เมื่อได้รู้เรื่องชุดเกราะที่ว่างเปล่า จ้านอู่ตี้ก็พึมพำกับตัวเองสักครู่ ก่อนที่เขาจะเข้าใจถึงเรื่องราวทั้งหมดในชั่วขณะนั้น

โดยไม่จำเป็นต้องตรวจสอบใด ๆ เพิ่มเติมอีก หลักฐานทั้งหมดนี้ก็ได้แสดงว่าศัตรูเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืด อาจมีคนเดียวหรือสองคน ส่วนเจ้าของชุดเกราะที่ว่างเปล่าก็คงเสียชีวิตไปแล้วด้วยเปลวเพลิงสีดำ ซึ่งในกองทัพเฟิงก็ไม่มีใครอื่นนอกจากถังหยินที่มีชื่อเสียงในด้านนี้

เมื่อคิดได้เช่นนั้น จ้านอู่ตี้ก็รีบส่งคำสั่งให้ปิดประตูค่ายในทันที จากนั้นก็ใช้เนตรทิพย์เพื่อตรวจสอบ ก่อนที่เขาจะหันคุยกับผู้เป็นพี่ ว่าตนนั้นต้องการที่จะบุกโจมตีเมืองจินฮั๋วด้วยกำลังทั้งหมดที่มีในคืนนี้ !

ทว่าเมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้านอู่ฉางก็พลันส่ายหัว เพราะนี่อาจเป็นแผนของถังหยินที่ต้องการจะล่อให้พวกเขาบุกโจมตี แล้วไหนจะเรื่องของเสบียงที่ถูกเผานั่นอีก !

จึงเป็นเขาที่หยุดจ้านอู่ตี้และกล่าวว่า “เรายังไม่พร้อม ตอนนี้เสบียงในค่ายยังไม่เพียงพอ ดังนั้นเราจึงต้องชะลอการโจมตีไปก่อน เอาไว้ค่อยเริ่มศึกเมื่อตอนได้รับเสบียงจากซ่งเทียนมาแล้วเท่านั้น !”

“เหอะ ?” จ้านอู่ตี้โบกมืออย่างไม่ไยดีและพูดว่า “เราจะรอไปทำไมกัน ? ยังไงมันก็แค่เมืองจินฮั๋วเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้พี่ใหญ่ลงมาจัดการเองหรอก แค่เราบุกเต็มอัตราครั้งเดียวพวกมันก็ราบเป็นหน้ากลองแล้ว”

จ้านอู่ฉางที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้แสดงสีหน้าใดออกมา เขาเพียงพูดเบา ๆ กลับไปว่า “ข้าไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้น และข้าถ้าคาดการณ์ไม่ผิด ถังหยินก็น่าจะอยู่ที่นี่เป็นแน่ ดังนั้นการบุกเมืองอาจจะไม่ง่ายอย่างนั้น ”

“พี่ใหญ่ ท่านกลัวอะไรกัน ?! ดีเสียอีกไม่ใช่เหรอที่ถังหยินอยู่ที่นี่ เราจะได้ฆ่าเขาไปด้วยเลย !” จ้านอู่ตี้กล่าวอย่างมั่นใจ “พี่ใหญ่ ให้ข้าไปเถอะ ! ไม่ว่าจะยังไงเราก็ไม่อาจปล่อยให้เรื่องเป็นเช่นนี้ !”

อันที่จริงจ้านอู่ฉางเองก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล แต่เนื่องจากมีตัวแปรมากเกินไป มันจึงต้องอาศัยความระมัดระวัง ห้ามประมาท และหลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็พูดออกมาว่า “เอาล่ะ เจ้านำทหารแสนคนออกไปได้”

“ไว้ใจข้าได้เลยพี่ใหญ่ !” เมื่อเห็นว่าในที่สุดผู้เป็นพี่ก็เห็นด้วย มันก็ทำให้จ้านอู่ตี้ดีใจมาก

“เดี๋ยวก่อน !” จ้านอู่ฉางเรียกน้องของเขาอีกครั้ง ปากกล่าวว่า “ประตูทางทิศใต้ของศัตรูน่าจะมีป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นเจ้าจึงควรเข้าโจมตีทางทิศเหนือแทน !”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นจ้านอู่ตี้ก็จับมือของผู้เป็นพี่และพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้วพี่ใหญ่ รอฟังข่าวดีจากข้าได้เลย !”

คนที่เฝ้าประตูทางเหนือคือซีเฉินและไป๋เจี๋ย ซึ่งตัวซีเฉินนั้นก็เป็นที่รู้จักในเรื่องของทักษะการวางแผนที่เก่งกาจ ในขณะที่ไป๋เจี๋ยเป็นแม่ทัพที่กล้าหาญ มีความสามารถในการต่อสู้ระดับสูง มีพลังปราณที่แข็งกล้า เป็นคนตรงไปตรงมา และเป็นแม่ทัพที่มีค่าที่สุดของถังหยิน

เมื่อเวลาเช้าตรู่มาถึง พวกทหารเฟิงก็พากันทำอาหาร ก่อนที่พวกเขาจะเข้าต้านทานพวกหนิงที่บุกเข้ามาหลังจากนั้นไม่นาน

เพื่อสนับสนุนการโจมตีของจ้านอู่ตี้ จ้านอู่ฉวงก็ได้ส่งแม่ทัพอีก 3 คนออกไปโจมตีทางด้านตะวันออก ตะวันตก และด้านใต้ของเมืองจินฮั๋วตามลำดับ ซึ่งก็แน่นอนว่าการโจมตีทั้ง 3 ด้านนี้เป็นเพียงการหลอกลวงเท่านั้น พวกทหารหนิงไม่ได้รีบร้อนที่จะเข้าโจมตีแม้แต่น้อย เอาแต่ยิงลูกศรเข้าใส่กองทัพเฟิงที่อยู่ด้านบนของเมือง

ในเวลาเดียวกันนั้น ประตูทางเหนือก็ได้เปิดออก เป็นจ้านอู่ตี้ที่ขี่ม้าตัวใหญ่ของเขาและนำกลุ่มทหารออกจากค่าย ก่อนจะควบม้าและชี้ไปยังกำแพงเมือง “มีคนอยู่บนนั้นหรือไม่ ? ใครเป็นแม่ทัพประจำจุดนี้ กล้าออกมาสู้กับข้าหรือไม่ ? ”

เมื่อเห็นการกระทำของศัตรู พวกทหารเทียนหยวนที่อยู่ด้านบนสุดของกำแพงเมืองก็ไม่คิดที่จะรอช้าอีกต่อไป รีบวิ่งไปตามกำแพงเมืองอย่างรวดเร็วเพื่อรายงานซีเฉินและไป๋เจี๋ย

เมื่อพวกเขาได้รับรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งสองคนก็ขึ้นไปที่ด้านบนของกำแพงเมือง และเมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าด้านล่างเต็มไปด้วยพวกหนิง โดยข้างหน้าของกองทัพหนิงนั้นมีคนขี่ม้าคนหนึ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ด้วยเขาผู้นี้ดูซูบผอม ทั้งยังมีใบหน้าที่ซีดเซียว และมีแววตาที่ดูเฉยเมย

หลังสังเกตเห็นอีกฝ่าย ไป๋เจี๋ยก็หัวเราะอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ซูบผอมเช่นนี้ยังจะกล้าออกมาแสดงท่าทีหยิ่งผยองอีกหรือ !” ก่อนที่เขาจะหันไปพูดกับซีเฉิน “เจ้าช่วยดูจากข้างบนนี้ที ข้าจะลงไปจัดการกับศัตรูข้างล่างนั่นเอง !”

“ไม่ได้ !” ซีเฉินร้องห้ามปราม เนื่องด้วยพวกศัตรูมีมากนัก ถ้าไป๋เจี๋ยลงไปจริงอาจถูกล้อมสังหารได้ง่าย ๆ

ไป๋เจี๋ยเห็นความกังวลของอีกฝ่าย หากแต่เขาก็ยังพูดต่ออย่างเฉยเมย ” ข้าจะไม่เข้าไปในขบวนทัพของศัตรู ทั้งยังจะพาทหารไปด้วย 2 สองพันคน ! ดังนั้นไม่ต้องห่วงไป ” พูดจบเขาก็ไม่สนใจคำห้ามอีก รีบเดินไปตามกำแพงเมือง ก่อนร้องสั่งให้ทหารจำนวน 2 พันนายตามมา