บทที่ 210

ไป๋เจี๋ยได้ออกมานอกกำแพงเมือง เข้าประจันหน้ากับจ้านอู่ตี้ ก่อนจะเข้าปะทะกันในพลัน !

และในระหว่างที่ทั้งสองกำลังพุ่งตัวเข้าหากัน ก็เป็นจ้านอู่ตี้ที่ยกดาบสีม่วงในมือขึ้นชี้ ถามออกไปว่า “เจ้าคือใครกัน ! ”

“ไป๋เจี๋ย !” ไป๋เจี๋ยตอบตรงไปตรงมา

จ้านอู่ตี้เย้ยหยันและกล่าวว่า “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ?”

ไป๋เจี๋ยโกรธมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น หากแต่เขาก็ยังถามกลับไปว่า “ใคร ?”

“จ้านอู่ตี้ !”

“ห๊า !” ไป๋เจี๋ยหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความตกตะลึง ที่แท้แม่ทัพหนิงตรงหน้าก็คือนักรบ ‘อมตะ’ อันน่าเกรงขามคนน้องผู้ควบคุมกำลังพลกว่า 4 แสนนาย

ทว่าเมื่อไป๋เจี๋ยคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ จากท่าทีตกใจมันก็ได้เปลี่ยนเป็นความดีใจอย่างรวดเร็ว รีบยกหอกเงินขึ้น และตะโกนเสียงดังว่า “ศึกในครานี้ข้าจะทำให้ฉายานาม ‘อมตะ’ ของเจ้าจบลง !”

เมื่อเขาพูดอย่างนี้ สองเท้าก็พลันตบลงไปที่ตัวม้า กระตุ้นให้มันพุ่งตัวออกไป เช่นเดียวกับที่ปรากฏเกราะปราณขึ้นคลุมร่าง อาวุธในมือเปลี่ยนไป

เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นหอกปราณในมือของไป๋เจี๋ยก็แทงไปที่คอของจ้านอู่ตี๋แล้ว

ทว่าจ้านอู่ตี้ก็หาได้ให้ความสำคัญกับไป๋เจี๋ยแม้เพียงนิด เขาเรียกสวมเกราะปราณ จากนั้นก็โบกดาบยาวในมือ ส่งพลังปราณสีขาวให้พุ่งออกไปเป็นคมมีดในพลัน

เมื่อปลายหอกของไป๋เจี๋ยอยู่ห่างไม่ถึงปลายก้อย มันก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คลื่นปราณนั่นซัดเข้ามา บีบให้เขาต้องเอนตัวลงจนศีรษะเกือบสัมผัสกับม้า ก่อนที่คลื่นพลังปราณจะตวัดผ่านปลายจมูกเขาไป

ไป๋เจี๋ยอุทานในใจ ด้วยคิดว่าการโจมตีคงสิ้นสุดลงแล้ว หากแต่มันก็ได้มีใบดาบคมกริบตวัดผ่านซ้ำสอง หมายจะตัดแยกหัวของไป๋เจี๋ยออกครึ่งหนึ่งอีกครา

เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงลม ไป๋เจี๋ยก็ไม่แม้แต่จะคิด รีบใช้หอกในมือเข้าต้านการโจมตีนั่นในพลัน

ดาบสีม่วงในมือของจ้านอู่ตี้เข้าฟาดฟันไปที่ด้ามหอกของไป๋เจี๋ย ทำให้เกิดเสียงหนัก ๆ จากการชนกันของโลหะ ซึ่งการโจมตีที่ว่าก็รุนแรงนัก ราวกับเป็นหินก้อนใหญ่ที่กลิ้งลงจากภูเขาที่กระแทกเข้าใส่เขา

ร่างกายของไป๋เจี๋ยได้รับผลกระทบในทันที เขาพลันลอยกระเด็นขึ้นไปในอากาศกว่า 2 จั้ง แล้วจึงตกลงสู่พื้นจนทำให้พื้นที่บริเวณนั้นเกิดรอยแตกและฝุ่นควันปกคลุมไปทั่ว

ในเวลานี้ ในที่สุดไป๋เจี๋ยก็ตระหนักได้ว่าจ้านอู่ตี้มีพลังมากเพียงใด …ดูท่าการฝึกฝนของอีกฝ่ายนั้นจะลึกล้ำมากกว่าเขาอย่างไม่อาจที่จะเทียบได้

ทว่าในขณะที่ไป๋เจี๋ยพยายามจะลุกขึ้นจากพื้น ก็เป็นจ้านอู่ตี้ที่เร่งม้าเข้ามา ก่อนใช้ใบดาบตัดผ่านอากาศจนเกิดเสียงแหลมอันน่าขนลุก

ไป๋เจี๋ยกัดฟันแน่น พยายามใช้พลังปราณทั้งหมดในร่างกายของเขาเพื่อเปลี่ยนหอกในมือให้กลายเป็นอาวุธปราณ แล้วจึงใช้ออกด้วยคมหนามรอบตัวหอกที่เกิดขึ้นดั่งลูกศรเล็งไปที่ร่างของจ้านอู่ตี้

“คมหนามล่าวิญญาณงั้นหรือ ?” จ้านอู่ตี้หัวเราะเยาะ ก่อนทำการโบกดาบในมือ ส่งคลื่นปราณเข้าปะทะกับหนามวิญญาณด้วยท่าทีสบาย ๆ

คลื่นปราณปะทะกับหนามวิญญาณเข้าอย่างจัง ทำให้เกิดเสียงแตกหักออกมา เปลี่ยนให้หนามวิญญาณพวกนั้นกระเด็นออกไป ก่อนเป็นคลื่นปราณที่ยังคงพุ่งทะยานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ใบหน้าของไป๋เจี๋ยเปลี่ยนสีในพลัน ร่างของเขายืนตรง ทำการหลบซ้ายขวา และกระโดดขึ้นลงเพื่อหลบการโจมตี แต่ก่อนที่เขาจะได้พักหายใจมันก็ได้มีคลื่นปราณอีกสายพุ่งเข้ามา …ซึ่งมันก็สายเกินไปแล้วที่จะหลบ

เสียงแตกหักดังขึ้นอีกหลายครั้ง ก่อนร่างของไป๋เจี๋ยจะหยุดชะงัก เช่นเดียวกับเกราะและหอกปราณของเขาที่กลับคืนสู่สภาพเดิม ทำให้เลือดมากมายพุ่งออกจากบาดแผลราวกับน้ำพุ

“เหอะ !” จ้านอู่ตี้นั่งอยู่บนหลังม้า ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยท่าทีเยาะเย้ย ทำการถือดาบในมือคว่ำลง ก่อนหันกลับไปมองกองทัพเฟิงทั้ง 2 พันนายที่ยืนอยู่หน้าประตูเมืองด้วยสีหน้าพึงพอใจ แล้วจึงตะโกนเสียงดังออกไปว่า “ฆ่าให้หมด !”

ขณะที่พูดเขาก็ควบม้าไปข้างหน้า

เมื่อสังหารแม่ทัพเฟิงไปนายหนึ่ง มันก็ทำให้ขวัญกำลังของพวกเขากลับมาอีกครั้ง ดังนั้นหลังจากได้ยินเสียงของจ้านอู่ตี้ พวกทหารหนิงด้านหลังก็พลันขาดรับเสียงดัง ก่อนทำการพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

เมื่อพวกเขาเห็นจ้านอู่ตี้ฆ่าท่านแม่ทัพไป๋และสั่งให้คนที่เหลือพุ่งไปข้างหน้า กองทัพเฟิงทั้ง 2 พันคนก็ดูเหมือนจะเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝัน พวกเขาทั้งหมดรีบหันหลัง วิ่งหนีในเวลาเดียวกันนั้นทันที

แม้ว่าคน 2 พันคนจะไม่มากนัก แต่ก็ยังต้องใช้เวลาพอสมควรก่อนที่พวกเขาจะผ่านประตูเมืองแคบ ๆ ไปได้อย่างสมบูรณ์ แล้วมีหรือที่จ้านอู่ตี้จะปล่อยโอกาสนี้หลุดไป ? ทว่าทันใดนั้นเอง ก็เป็นซีเฉินที่อยู่บนกำแพงเมืองที่กรีดร้องออกมา “พลธนู เตรียม ! ยิง !”

เหตุการณ์ที่ไป๋เจี๋ยถูกสังหารนั้นสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนบนกำแพงเมือง ซึ่งผลลัพธ์ของมันก็ทำให้ซีเฉินตกใจเป็นอันมาก ก่อนที่เขาจะรวบรวมสติ และร้องสั่งให้ทั้งกองทัพยิงลูกธนูเพื่อช่วยสนับสนุนทหารทั้ง 2 พันนายด้านล่างนั่น

เมื่อได้รับคำสั่ง ทหารเฟิงทั้ง 8 พันนายก็ได้ยิงธนูออกไปทั้งหมดในครั้งเดียวจากด้านบนของกำแพงเมือง ซึ่งเป้าหมายของพวกเขาก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น …และนั่นคือจ้านอู่ตี้ที่นำหน้าพวกกองทัพหนิงมา

จ้านอู่ตี้มีทักษะสูงมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับผลกระทบจากลูกศรแต่อย่างใด ทว่าอย่างไรก็ตามม้าศึกที่เขาขี่นั้นก็ไม่สามารถยืนอยู่ภายใต้ฝนลูกศรจำนวนมากเช่นนี้ได้ ดังนั้นมันจึงล้มลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว ทำให้จ้านอู่ตี้ต้องใช้สองเท้าในการวิ่งเข้าไปเผชิญหน้ากับห่าฝนธนูแทน

ลูกศรยังคงพุ่งเข้าใส่เกราะปราณของเขาเป็นระยะ ๆ ทำให้เกิดเสียงที่คมชัด ทว่าจ้านอู่ตี้ก็ได้เพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เขารีบวิ่งไปกำแพงเมืองโดยไม่สนสิ่งใด ก่อนเงื้อดาบในมือขึ้นสูงแล้วจึงเหวี่ยงขึ้นไปข้างบนอย่างแรง

ฉั่วะ !!

ด้วยการเฉือนเพียงครั้งเดียว ทหารเฟิงมากกว่าหนึ่งโหลก็ได้ถูกตัดออกเป็นสองส่วนจากคลื่นปราณ

เมื่อเห็นเช่นนั้น พวกทหารเทียนหยวนส่วนหนึ่งก็พลันตัดสินใจ พวกเขาพากันใช้ร่างกายของตัวเองเข้าขัดขวางจ้านอู่ตี้ เพื่อให้สหายของตัวเองมีเวลาหลบหนีเข้าไปในเมือง

แม้ว่าระเบียบวินัยของกองทัพจะหละหลวม แต่ในช่วงเวลาเช่นนี้ พวกเขากลับเลือกที่จะเสียสละตัวเองเพื่อช่วยสหายร่วมรบ

ซึ่งก็แน่นอนว่าทหารเฟิงธรรมดาทั่วไปนั้นไม่สามารถเทียบได้กับจ้านอู่ตี้เลย พวกเขาได้แต่ใช้ร่างเข้าปะทะกับคมดาบ ปล่อยให้เลือดเนื้อสาดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง

ทว่าถึงแม้จะไม่สามารถหยุดจ้านอู่ตี้ หากแต่สหายคนอื่น ๆ ก็สามารถที่จะเข้าไปภายในเมืองได้สำเร็จ ก่อนตามมาด้วยเสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูเมืองที่กำลังจะปิดลง

เมื่อเห็นเช่นนั้นหัวใจของจ้านอู่ตี้ก็เริ่มกระวนกระวาย ถ้าเขาปล่อยให้พวกกองทัพเฟิงปิดประตูเมือง มันจะเป็นเรื่องยากมากที่จะไล่ทำการโจมตีต่อไป ดังนั้นมีหรือที่เขาจะพลาดโอกาสดีงามเช่นนี้ ? และด้วยความคิดนั้นเอง จ้านอู่ตี้ก็พลันร้องคำรามลั่น ส่งพลังปราณเข้าใส่คมดาบในมือ ก่อนส่งคลื่นปราณพุ่งตรงออกไป

ใบดาบปราณที่มองไม่เห็นถูกยิงออกไปในทุกทิศทาง ทำให้เกราะและร่างกายของทหารเฟิงขาดออกจากกัน ส่งแขนขาและเลือดเนื้อให้กระจัดกระจายไปทั่ว

การโจมตีครั้งนี้นับว่ารุนแรงพอควร ทำให้ไม่ใช่แค่ทหารที่อยู่บริเวณหน้าประตูที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะแม้แต่ทหารที่อยู่ภายในนั้นเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

เมื่อเห็นว่าไม่อาจหยุดยั้งแม่ทัพของศัตรูได้ ซีเฉินที่อยู่บนกำแพงเมืองก็พลันหัวใจเต้นแรง เขาไม่คิดสนใจทหารที่เหลืออยู่นอกเมืองอีกต่อไป ร้องตะโกนออกไปในทันที “ยิงต่อไป ! ห้ามให้พวกหนิงเข้ามาในเมืองได้ !”

เมื่อได้ยินคำสั่งของเขา พวกทหารบนกำแพงเมืองก็พลันเกิดอาการชะงักงัน ให้พวกเขายิ่งต่อไปงั้นหรือ ? นี่ไม่เท่ากับว่าพวกเขากำลังยิงใส่พี่น้องของพวกเขาเองหรอกเหรอ ?

เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ขยับ ซีเฉินก็พลันขึ้นเสียงอีกครั้ง “ใครที่ขัดคำสั่งจะต้องถูกลงโทษ !”

ทหารเฟิงที่ได้ยินคำนั้นก็ได้แต่ตัวสั่นเทา ยกคันธนูและยิ่งลูกศรออกไป พร้อม ๆ กันกับหัวใจของพวกเขาที่ถูกฉีกแหวกออกไปตามลูกธนูพวกนั้น

พวกเขาเสียสละใช้เนื้อและเลือดของตัวเองเพื่อหยุดจ้านอู่ตี้ที่เก่งกาจดุจเทพเจ้า หากแต่พวกเขากลับได้รับผลตอบแทนเป็นลูกศรเหล่านี้งั้นหรือ ?

ภายใต้การโจมตีของจ้านอู่ตี้ และฝนธนูที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง มันก็ทำให้มีซากศพของพวกเฟิงนับไม่ถ้วนที่หน้าประตูเมือง

และเมื่อได้ความช่วยเหลือจากพลธนู พวกคนภายในประตูเมืองก็สามารถปิดประตูเมืองได้สำเร็จ !

จ้านอู่ตี้ที่เห็นเช่นนั้นก็เร่งปัดป้องลูกศร ก่อนรีบวิ่งไปที่ประตู หากแต่มันก็ไม่มีช่องว่างให้เขาผ่านไปได้อีกแล้ว ทำให้จ้านอู่ตี้โกรธจนคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้า ยกดาบขึ้นและฟันลงหลายครั้ง

โครม !

แคร้ง !

ใบดาบกระแทกประตูทองแดง ทำให้เกิดเสียงดังสนั่น ประกายไฟ และรอยขีดข่วนที่หน้าประตู ทว่ามันก็มีเพียงแค่นั้น ด้วยเขาไม่อาจทำลายประตูตรงหน้าได้

ในเวลานี้ทหารหนิงจำนวน 1 แสนนายก็ได้พุ่งเข้าสู่ระยะการโจมตี พวกเขาพากันง้างคันศรและยิงธนูใส่กองทัพเฟิงเหนือกำแพงเมืองในทันที

ลูกศรของพวกหนิงนั้นรวดเร็ว รุนแรง และต่อเนื่องเป็นระลอกคลื่น มันจึงไม่เพียงแต่จะแทงทะลุเกราะหนังบนร่างกายของพวกเฟิงเท่านั้น หากแต่มันยังทะลุไปถึงกระดูกเลยทีเดียว !

ทำให้ทหารเฟิงนับหลายร้อยคนที่ไม่สามารถหลบได้ทันเวลาถูกยิงจนตกลงจากกำแพงเมือง และก่อนที่พวกเขาจะได้รับการช่วยเหลือจากสหายคนอื่น ๆ ร่างของพวกเขาก็ได้ถูกปกคลุมไปด้วยลูกศรหลายดอกที่ถูกยิงออกมา จนกลายเป็นเหมือนตัวเม่นไปแล้ว