ตอนบ่ายอวี๋หลิวเหมยออกไปสัมภาษณ์งาน เย่เสียวอวี่ออกไปจ่ายตลาดท่ามกลางแดดเปรี้ยง เสี่ยวเชี่ยนอยู่ในห้องแอร์เล่นเกมกับเวยเวย
ดูเหมือนเกมจะทำให้เวยเวยมีอารมณ์ร่วมได้ เสี่ยวเชี่ยนเลือกเกมต่ออักษรของต่างประเทศที่สามารถช่วยพัฒนาความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวได้ นำมาเล่นกับเวยเวย
เย่เสียวอวี่รู้สึกว่าครีมกันแดดราคาแพงที่เธอซื้อมาอาจใช้ไม่ได้ผลแล้ว แดดข้างนอกแรงมาก อีกทั้งเธอยังต้องหิ้วของหนัก พอเข้าไปในบ้านก็รู้สึกถึงความเย็นจากแอร์ช่วยไล่ความร้อนจากข้างนอกไปได้ ทำให้สบายตัว เธอเห็นจานผลไม้ที่หั่นไว้อย่างดีวางอยู่หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ เสี่ยวเชี่ยนใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มกินอย่างสบายพลางป้อนเวยเวย เวยเวยตั้งใจเล่นเกมในคอมพิวเตอร์มาก
ความแตกต่างชัดเจนกับเย่เสียวอวี่ที่เหนื่อยแทบจะสลบ
ไฟโกรธในใจของเย่เสียวอวี่ปะทุขึ้นมา
เธอไปข้างนอกเหนื่อยแทบตาย ไปจ่ายตลาดตั้งไกลกลับมาบ้านยังต้องเก็บกวาดบ้านอีก แต่เหม่ยเหวยรักษาน้องสาวเธอแบบนี้น่ะเหรอ?
รู้สึกว่าตัวเองโดนหลอกเข้าแล้ว…
การรักษาแบบที่คิดไว้ควรเป็นนั่งเผชิญหน้ากัน หมอถือสมุดจดบันทึก คอยถามคำถามเวยเวย หรือไม่ก็เหมือนอย่างในโทรทัศน์ที่ให้น้องสาวเธอทำแบบทดสอบ หรือไม่ก็พูดคุยกับเวยเวยสอนแนวคิดปรัชญาอะไรแบบนั้น
ปรากฏว่าให้เล่นเกม กินผลไม้ ตากแอร์—อ้อ แล้วนั่นอะไร?!
รู้สึกได้ถึงสายตาของเย่เสียวอวี่ เสี่ยวเชี่ยนจึงชูขวดน้ำยาทาเล็บในมือ “ซีรี่ย์สีกุหลาบของชาแนล สีสวยดีนะ”
ยัง จะ ทา เล็บ ด้วย!!!
เย่เสียวอวี่รู้สึกเหมือนถูกโจมตีอย่างแรง
“เหม่ยเหวย มาคุยกันหน่อย!”
เสี่ยวเชี่ยนเป่าเล็บที่เพิ่งทาไปอย่างไม่แคร์เย่เสียวอวี่ เธอตบบ่าเวยเวยที่กำลังเล่นเกม “เดี๋ยวกลับมานะจ๊ะ สู้ๆ”
พอเห็นสายตาของเวยเวยที่มองมาอย่างเป็นกังวล เสี่ยวเชี่ยนจึงยิ้มให้ “ไม่เป็นไรนะ ก็แค่คุยกันปกติ พี่กับพี่สาวหนูสนิทกันม้ากมาก—ใช่ไหมเย่เสียวอวี่?”
“ใช่…” ตอบอย่างไม่เต็มใจเท่าไร
ทั้งสองคนไปคุยกันที่บ้านเย่เสียวอวี่ เมื่อเทียบกับบ้านเสี่ยวเชี่ยนที่ตกแต่งอย่างดีแล้ว ที่นี่เรียบง่ายมาก แต่สะอาด ข้าวข้องได้ถูกพนักงานที่แฟนเศรษฐีของเย่เสียวอวี่จ้างมาจัดเข้าที่เรียบร้อยแล้ว ที่สะดุดตาที่สุดก็คือขวดเล็กขวดน้อยที่อยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง
มีหลายขวดที่ยังไม่ได้แกะ สมกับเป็นผู้ป่วยโรคย้ำคิดย้ำทำชอบแต่งหน้า ปริมาณเครื่องสำอางเยอะจนน่าตกใจ
“เหม่ยเหวย ฉันชักสงสัยแล้วว่าเธอจะรักษาน้องฉันได้จริงๆหรือเปล่า ต่อให้เป็นคนที่ศาสตราจารย์หลิวแนะนำ ฉันก็ยังสงสัยในความสามารถของเธอ เธอพาน้องฉันเล่นเกมงั้นเหรอ?”
เย่เสียวอวี่โวยวายไม่พอใจ ตอนที่เธอทำงานเหนื่อยแทบตายหยาดเหงื่ออย่างกับสายฝน แต่เหม่ยเหวยกลับพาน้องสาวเธอเล่นเกม?
“อืม แผนในตอนนี้คือให้เล่นหนึ่งอาทิตย์ ทุกวันจะมีช่วงหนึ่งให้เล่นเกม”
“เธอเห็นฉันเป็นแรงงานทาสเหรอ ถึงได้ให้น้องฉันเล่นเกมน่ะ?!”
“แรงงานทาสอะไรของเธอ แค่ไปจ่ายตลาดทำหน้าเหมือนจะตาย? งั้นต่อไปถ้าฉันให้ซ่อมห้องน้ำเธอจะทำไง ให้ขัดส้วมจะทำไง?
“ฉันจะเปลี่ยนหมอให้น้องสาวฉัน!” แบบนี้มันไม่ใช่แล้ว
“คนเราตอนที่เล่นเกมภายในสมองจะมีส่วนที่เรียกว่าสมองส่วนอยาก รวมถึงฮิปโปแคมปัสที่เกี่ยวข้องในเรื่องการเรียนรู้และความจำจะถูกกระตุ้นเป็นอย่างมาก การจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานานจะช่วยในเรื่องสมาธิ จนเกิดเป็นแรงจูงใจและการตัดสินใจ และสิ่งพวกนี้จำเป็นกับเวยเวยในตอนนี้มาก”
“การตัดสินใจต้องได้มาจากการเล่นเกมด้วยเหรอ?” สีหน้าของเย่เสียวอวี่ตอนนี้ชัดเจนมากว่า ตลกน่า?
“แน่นอน แต่ใช่ว่าเกมทั้งหมดจะใช้รักษาได้นะ เกมที่เขาเล่นฉันเลือกมาอย่างดีแล้ว สิ่งที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ายังขาดก็พวกนี้นี่แหละ เมื่อเขาผ่านไปได้แต่ละด่านเขาก็จะเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ สมองส่วนอยากก็จะเปล่งประกายขึ้นมา”
พูดจาเป็นตุเป็นตะฟังดูเหมือนมีเหตุผล เย่เสียวอวี่เข้าใจอยู่แค่เรื่องเดียว เหม่ยเหวยบอกรักษาเวยเวยได้ด้วยการให้เล่นเกม ในยุคสมัยที่คนทั่วไปต่างคิดว่าเกมทำให้เสียการเรียน ยุคสมัยที่ผู้ปกครองส่วนหนึ่งคิดว่าลูกตัวเองติดเกมแล้วจะเสียการเรียนจึงส่งไปสถานที่พิเศษเพื่อบำบัด แนวคิดของเสี่ยวเชี่ยนนั้นยังเป็นเรื่องใหม่
“แล้วถ้าเขาติดเกมจนเสียการเรียนล่ะจะทำยัไง?”
“เธอคงไม่คิดจะให้เขาไปโรงเรียนทั้งสภาพแบบนี้หรอกนะ? ไปทำเรื่องขอพักการเรียนไว้ก่อนเถอะ เขายังไปโรงเรียนไม่ได้ ต้องอยู่แต่บ้าน”
“เขาก็ดูปกติดีออก เธอจะใช้วิธีประหลาดนี่รักษาเขาฉันไม่คัดค้าน แต่จะทำเสียการเรียนไม่ได้ เลิกเรียนแล้วค่อยรักษาไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ได้ เรียนซ้ำชั้นได้ แต่ชีวิตเกิดซ้ำไม่ได้”
“เธอจะให้น้องสาวฉันเล่นเกมทั้งเทอม?!” คุณพระช่วย เย่เสียวอวี่รู้สึกเหมือนถูกหลอกหนักกว่าเดิม
“แน่นอนว่าคงไม่ได้มีแต่เล่นเกม มันเป็นแค่ขั้นตอนหนึ่ง ต่อไปยังมีรักษาด้วยการออกกำลังกาย รักษาด้วยแสงแดด ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าต้องการการออกกำลังกายมากที่สุด อย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ร่างกายเขายังอ่อนแอมาก รอฟื้นตัวอีกสักสองวันก่อน แล้วเธอจะต้องตื่นเช้าไปวิ่งเป็นเพื่อนเวยเวย หลิวเหมยทุกวันจะไปออกกำลังตอนเช้า พอดีเลยเขาเป็นพวกชอบหลงทาง เธอก็พาพวกเขาไปวิ่ง วิ่งตอนเช้าสักรอบสมองจะได้ตื่น ตอนเย็นวิ่งอีกรอบจะได้แข็งแรง ดีจะตาย”
“แล้วเธอล่ะ?”
“ฉันน่ะเหรอ…” เสี่ยวเชี่ยนถอนหายใจ “เพื่อปกป้องเซลล์สมองไว้สำหรับรองรับบริการของทุกท่าน ฉันต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดังนั้นตอนพวกเธอไปวิ่งตอนเช้าฉันก็จะนอนให้พอ หลังจากพวกเธอกลับมาแล้วก็ทำอาหารเช้าได้พอดี ทำเบาๆนะ เดี๋ยวจะรบกวนเซลล์สมองของฉัน”
ดังนั้นหมายความว่าทำให้คนอื่นเหนื่อยแทบตายแต่ตัวเองกลับหลับสบายใจเฉิบ? อีกทั้งตื่นขึ้นมายังต้องให้คนที่เพิ่งไปวิ่งมาปรนนิบัติด้วย!
“ฉันรู้สึกว่าเธอกำลังปั่นหัวฉัน”
“ถูกต้อง” เสี่ยวเชี่ยนยอมรับอย่างหน้าไม่อาย
เธอ ยอม รับ แล้ว!
เห็นท่าทางเย่เสียวอวี่เหมือนควันออกหูเสี่ยวเชี่ยนก็พูดเสริม
“แต่ฉันก็ตั้งใจรักษาเวยเวยนะ” เพียงแต่วิธีรักษามีตั้งเยอะแยะ แต่เธอเลือกวิธีที่จะได้สั่งสอนเย่เสียวอวี่ไปในตัวด้วย
“ตอนนี้ฉันแยกไม่ออกแล้วว่าเธอเป็นคนยังไง” เย่เสียวอวี่กัดฟันพูด
ที่เธออดทนได้มากขนาดนี้ก็เพราะคำพูดของหมอประสาทที่สั่งยาให้เวยเวย
โรคซึมเศร้าแค่กินยาเพื่อควบคุมอาการแค่นั้นยังไม่พอ ถ้าได้จิตแพทย์ช่วยชี้แนะด้วยจะดีที่สุด ใช่ว่าหมอประสาทจะรักษาไม่ได้ เพียงแต่หมอในโรงพยาบาลงานยุ่งมาก ใส่ใจในรายละเอียดได้ไม่เท่าจิตแพทย์ โดยเฉพาะหลังจากที่หมอประสาทพูดจบแล้วได้แนะนำศาสตราจารย์หลิวให้กับเธอ
บอกว่าในมณฑลนี้หรือทั้งเขตอีสานนี้จิตแพทย์ที่เก่งที่สุดก็คือศาสตราจารย์หลิว เพียงแต่ท่านอาจไม่มีเวลา หากนัดเวลาได้จะดีที่สุด อ้อมไปอ้อมมา สุดท้ายศาสตราจารย์หลิวก็แนะนำเสี่ยวเชี่ยน เพราะเวยเวยเกิดความรู้สึกดีๆด้วย ผลการรักษาน่าจะดีกว่าให้ศาสตราจารย์หลิวรักษาเอง ดังนั้นเย่เสียวอวี่จึงหนีไม่พ้นเสี่ยวเชี่ยน
แต่ดูจากท่าทางของเสี่ยวเชี่ยนแล้ว เย่เสียวอวี่ก็ยังคงสงสัย ผู้หญิงที่แสดงสีหน้าแย่งผู้ชายของฉันไปอย่าคิดว่าจะรอดแบบไม่มีปิดบังเลยแบบนี้จะรักษาน้องสาวเธอได้จริงๆเหรอ?
เสี่ยวเชี่ยนใช้เวลาพิสูจน์ไม่นานว่าเธอไม่ใช่คนดี แต่ฝีมือการรักษาของเธอนั้นไร้เทียมทาน!