ภาคที่ 1 บทที่ 166 เยียวยารักษาโรคด้วยโอสถคืนวิญญาณ

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 166 เยียวยารักษาโรคด้วยโอสถคืนวิญญาณ

หญิงสาวหน้าตาซีดเซียวคนนี้มีศักดิ์เป็นเหลนของปรมาจารย์ฮั่ว

“สวัสดีครับ”

ซูเย่ก้มศีรษะทักทาย ก่อนจะใช้สายตาสำรวจมองฮั่วเสี่ยวเหอด้วยความสงสัย

เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเต็ม ๆ ตา สีหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป

“สวัสดีค่ะ”

ฮั่วเสี่ยวเหอส่งยิ้มหวานกลับมาให้ซูเย่

“ไหนคุณช่วยลองวินิจฉัยอาการของเสี่ยวเหอให้ฉันดูหน่อยสิ” ฮั่วซือฉิงขยับไปนั่งลงที่โต๊ะหินตัวหนึ่ง ก่อนจะเฝ้ามองฮั่วเสี่ยวเหอเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ด้านข้างและรับการวินิจฉัยอาการจากซูเย่

ซูเย่วินิจฉัยอาการพื้นฐานทั้งสี่ชนิดด้วยความรวดเร็ว

เพียงนาทีเดียวเท่านั้น ซูเย่ก็ปล่อยมือออกจากข้อมือของหญิงสาว หัวคิ้วขมวดมุ่น

ในที่สุด เขาก็รู้แล้วว่าเพราะเหตุใดผู้เป็นเหลนของปรมาจารย์แพทย์แผนจีนอย่างฮั่วเสี่ยวเหอถึงได้มีหน้าตาซีดเซียวขนาดนี้

ชีพจรของเธออ่อนแอมาก ร่างกายของหญิงสาวบอบบางยิ่งกว่าดอกไม้ที่พร้อมจะปลิดปลิวไปตามสายลมได้ทุกเวลา

ซูเย่ลองโคจรพลังลมปราณเข้าไปในร่างกายของหญิงสาว จากนั้นจึงได้พบว่าในร่างกายของฮั่วเสี่ยวเหอแทบไม่มีธาตุหยินหยางหลงเหลืออยู่อีกแล้ว

ภาวะที่ร่างกายขาดธาตุหยินหยางเช่นนี้ บอกได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่า

เธอกำลังจะตาย!

“เหลือเวลามากสุดก็ไม่เกินสามเดือนครับ!”

ซูเย่พูดออกมาด้วยความเศร้า แต่เขาก็ยังเขียนใบสั่งยาด้วยหน้าตาที่เคร่งเครียด

ใช้เวลาไม่นาน ใบสั่งยาของเขาก็เสร็จสมบูรณ์

ซูเย่ทราบดีว่าใบสั่งยานี้ไม่สามารถรักษาอาการของฮั่วเสี่ยวเหอได้ แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่เขาพอทำได้เท่านั้น

ฮั่วซือฉิงรับใบสั่งยาไปดูด้วยความสนใจ

“หึ…มีฝีมือใช้ได้นี่”

เมื่อเห็นใบสั่งยาของซูเย่ ฮั่วซือฉิงก็พยักหน้าด้วยความประหลาดใจ และพูด “เหมือนใบสั่งยาที่หลี่เคอหมิงเขียนออกมาเป๊ะเลย ถือว่ามีความสามารถน่าพอใจ”

พูดจบ

หญิงสาวก็ขยำใบสั่งยาของซูเย่เป็นก้อนกลมและโยนทิ้งลงไปในถังขยะ

“เอาละ ในเมื่อนายจำสมุนไพรทั้งหมดได้แล้ว ก็ขอเชิญกลับไปได้”

ฮั่วซือฉิงเอ่ยปากไล่แขกอย่างไม่เกรงใจ

ระหว่างที่พูด

เธอก็หันไปสบตามองฮั่วเสี่ยวเหอด้วยแววตาเจ็บปวดรวดร้าว

ยัยเด็กคนนี้เป็นหลานของเธอทั้งคน

มีหรือที่ฮั่วซือฉิงจะไม่รู้ว่าสภาพร่างกายของฮั่วเสี่ยวเหอย่ำแย่ขนาดไหน

ซูเย่ลุกขึ้นยืนและส่งเสียงรับคำในลำคอ

แต่เมื่อเดินผ่านข้างกายฮั่วซือฉิง ชายหนุ่มก็พูดด้วยเสียงกระซิบที่ฮั่วเสี่ยวเหอไม่มีทางได้ยินว่า “แต่ผมอาจมีวิธีที่ช่วยเหลือหลานคุณ ต่อให้ไม่สามารถรักษาหายขาด แต่อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องตาย”

หญิงสาวผู้ป่วยลุกขึ้นตั้งใจจะกลับไปรดน้ำต้นไม้ต่อจากเดิม ส่วนฮั่วซือฉิงหยุดชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงกระซิบของซูเย่

สีหน้าของเธอเปลี่ยนแปลงไป

ฮั่วซือฉิงค่อย ๆ หันหน้ากลับมาสบตามองซูเย่

“เสี่ยวเหอ วันนี้เธอไม่ต้องรดน้ำต้นไม้แล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า ประเดี๋ยวจะเหนื่อยเกินไป”

ฮั่วซือฉิงรีบพูดออกมาทันที

“รับทราบค่ะ”

ฮั่วเสี่ยวเหอหันกลับมาส่งยิ้มให้ฮั่วซือฉิง “งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ”

เมื่อเธอหันหน้ามาโบกมือบ๊ายบายซูเย่เรียบร้อย ก็เดินออกไปจากเรือนกระจก

เมื่อได้อยู่ในเรือนกระจกกันตามลำพัง ฮั่วซือฉิงถึงได้หันกลับมาจ้องหน้าซูเย่และถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ที่นายพูดเมื่อกี้นี้หมายความว่าไง?”

“เหลือเวลาอีกแค่สามเดือนเองนะครับ”

ซูเย่บอกถึงเวลาที่ฮั่วเสี่ยวเหอเหลืออยู่บนโลกใบนี้โดยไม่ต้องอธิบายสิ่งใดเพิ่มเติม

ดวงตาคู่งามของฮั่วซือฉิงเบิกโตทันที

สีหน้าของเธอฉายแววของความเหลือเชื่อ

เมื่อจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างพินิจพิจารณาเต็มที่ หญิงสาวถึงได้ถอนหายใจออกมา และพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้น “ดูเหมือนฉันคงดูถูกนายมากเกินไปสินะ คิดไม่ถึงเลยว่าหลี่เคอหมิงจะมีลูกศิษย์เก่งขนาดนี้ แต่ถึงยังไงก็เถอะ ฉันไม่มีวันเชื่อคำพูดของนายเด็ดขาด”

ฮั่วซือฉิงกล่าวต่อโดยไม่ปิดบัง “ขนาดคุณปู่ของฉันที่เป็นถึงยอดปรมาจารย์แห่งวงการแพทย์แผนจีนก็ยังรักษาเธอไม่ได้ แล้วนายที่เป็นแค่เด็กมหาลัยคนหนึ่งจะรักษาได้ยังไง? แถมนายไม่ได้เรียนคณะแพทย์แผนจีนด้วยซ้ำ!”

“ผมเข้าใจ”

ซูเย่พยักหน้าและรับฟังสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวต่อไป

“ถึงฉันจะไม่เชื่อนาย แต่ก็ถือว่านี่เป็นความหวังเล็ก ๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีหวังเลย ฉันจะให้โอกาสนายได้ลองบอกออกมา นายจะสามารถรักษาอาการของเสี่ยวเหอได้ยังไง?”

ฮั่วซือฉิงมองหน้าซูเย่ด้วยแววตามีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย

“คุณเป็นห่วงเธอใช่ไหมครับ?”

ซูเย่ถาม

“ก็ใช่น่ะสิ! ถ้าไม่ให้ห่วงเธอแล้วฉันจะห่วงใคร อาการป่วยของเซียวเหอ แม้แต่ปูฉันก็รักษาไม่ได้ เด็กคนนี้เกิดมาอ่อนแอตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ โรงพยาบาลบอกว่าเธอจะมีอายุอยู่ไม่ถึงห้าขวบด้วยซ้ำ แต่ปู่ฉันก็เริ่มทำยาสมุนไพรให้เธอกินมาตลอด จนเสี่ยวเหอสามารถเติบโตขึ้นมามีอายุถึง 20 ปี และอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญก็คือเสี่ยวเหอได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่บริสุทธิ์อย่างที่นี่ ไม่งั้นพวกเราก็คงต้องเสียเธอไปนานแล้ว” ฮั่วซือฉิงตอบ

“ผมอยากจะบอกว่านอกจากจะช่วยหลานคุณได้แล้ว ผมยังช่วยแก้ปัญหาต้นไม้ในเรือนกระจกขาดสารอาหารได้อีกด้วยครับ”

ซูเย่ยิ้มออกมาด้วยความมั่นใจ

“ว่าไงนะ?”

สีหน้าของฮั่วซือฉิงเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง ความประหลาดใจปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน

ปัญหาต้นไม้ในเรือนกระจกขาดแคลนสารอาหารนับว่าเป็นเรื่องใหญ่ ด้วยความที่เป็นเจ้าของเรือนกระจกแห่งนี้ ฮั่วซือฉิงเคยคิดหาวิธีแก้ไขปัญหานี้มาแล้วหลายรอบ แต่ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จเลยสักที

แล้วเด็กมหาลัยคนนี้จะแก้ปัญหานั้นได้ยังไง?

หมอนี่มั่นใจในตัวเองมากเกินไปหรือเปล่านะ?

“นายจะแก้ปัญหาได้ยังไง?”

ฮั่วซือฉิงขมวดคิ้วถาม

ซูเย่ไม่ตอบ แต่นั่งลงหยิบปากกามาเขียนข้อความบนแผ่นกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะหินอีกครั้ง หลังจากนั้น ใบสั่งยาใบใหม่จึงถูกเขียนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

สมุนไพรในใบสั่งยาประกอบไปด้วย : โสมแดงร้อยปี เขากวางป่าสดใหม่ บัวหิมะป่าอายุสิบปีขึ้นไป หญ้าฝรั่น และต้นโซวู 100 ปี

เมื่อเขียนใบสั่งยาเสร็จแล้ว เขาก็ยื่นส่งให้แก่หญิงสาวเจ้าของเรือนกระจก

“ผมต้องการของพวกนี้เพื่อรักษาหลานสาวคุณ”

ฮั่วซือฉิงรับใบสั่งยามาดูรายชื่อสมุนไพร ก่อนจะต้องเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง

“แน่ใจนะว่าเขียนไม่ผิด?”

“แน่ใจครับ”

“เป็นไปไม่ได้!”

ฮั่วซือฉิงส่ายหน้าอย่างแรง “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าสรรพคุณของยาพวกนี้จะช่วยรักษาอาการของเสี่ยวเหอได้จริงหรือเปล่า เอาแค่ว่าบัวหิมะอย่างเดียวมันก็มีอายุสูงสุดไม่เกินแปดปี แล้วฉันจะไปหาบัวหิมะที่มีอายุสิบปีมาจากไหน?”

“ส่วนโสมแดงกับโซวู 100 ปีนั่นอีก ถึงจะพอหาได้ แต่ก็ไม่ใช่จะหากันง่าย ๆ สักหน่อย แล้วเขากวางป่าสดใหม่อะไรนั่น มันจะสดใหม่ได้ยังไง? ต่อให้เพิ่งฆ่าตายได้ไม่นาน ก็ยังต้องขนส่งผ่านเครื่องบินอยู่ดี”

ด้วยความที่เกิดในครอบครัวแพทย์แผนจีนและเป็นเจ้าของเรือนกระจกสมุนไพร ฮั่วซือฉิงจึงมีความคุ้นเคยกับสมุนไพรเหล่านี้อยู่พอสมควร เธอจึงมองออกว่าใบสั่งยาใบใหม่ของซูเย่มีปัญหาที่ยากต่อการแก้ไข และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครสามารถรวบรวมสมุนไพรเหล่านี้ได้สำเร็จ

“คุณแค่บอกตำแหน่งของกวางป่าให้ผมรู้ก็พอครับ เดี๋ยวผมไปเอาเขาของมันเอง พอตัดเขาของมันออกมาแล้ว ผมก็จะรีบปรุงยาตรงนั้นเลย”

ซูเย่ตอบ

“ถ้างั้นก็แล้วไป”

ฮั่วซือฉิงพยักหน้าและถามต่อ “ว่าแต่ต้นหญ้าฝรั่นนายต้องการแบบไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า ไม่เห็นระบุเลยว่าต้องมีคุณสมบัติพิเศษเหมือนสมุนไพรตัวอื่น?”

“เอาต้นหญ้าฝรั่นที่คุณปลูกไว้ที่นี่นั่นแหละครับ”

ในที่สุดก็มาถึงประเด็นนี้สักที ชายหนุ่มไม่รอให้หญิงสาวพูดจบ เขาก็กล่าวต่อโดยเร็ว “ตอนที่เดินสำรวจเรือนกระจกเมื่อกี้ ผมเห็นพุ่มหญ้าฝรั่นขึ้นอุดมสมบูรณ์มาก ถ้าคุณถอนพวกต้นที่โตเต็มวัยขึ้นมา ปัญหาเรื่องต้นไม้ในเรือนกระจกขาดแคลนสารอาหารก็จะหายไปทันที”

“หญ้าฝรั่นพวกนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้นอื่น ๆ ขาดสารอาหารงั้นเหรอ?”

ฮั่วซือฉิงขมวดคิ้วด้วยความไม่อยากเชื่อ

ทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้มีความไม่น่าไว้ใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ

“ใช่แล้วครับ”

ซูเย่พยักหน้าและอธิบายว่า

“ความจริง คุณไม่ต้องสงสัยในความสามารถของผมก็ได้นะ เพราะว่าผมมีอาจารย์ชื่อหลี่เคอหมิง และผมก็กำลังจะได้เป็นลูกศิษย์ของคุณปู่คุณ เพราะฉะนั้น เห็น ๆ กันอยู่ว่าผมมีอนาคตสดใสรออยู่ข้างหน้า แล้วผมจะมาหลอกลวงคุณเพื่อทำลายอนาคตของตัวเองทำไม?”

ฮั่วซือฉิงชะงักกึกเมื่อได้ยินคำพูดของซูเย่

จริงด้วยสินะ

เธอไม่ควรสงสัยในตัวเขาเลย

เพราะซูเย่ไม่มีเหตุผลให้ต้องโกหกเธอสักหน่อย

“นายแน่ใจนะว่าจะสามารถรักษาเสี่ยวเหอได้?” ฮั่วซือฉิงถามออกมาอีกครั้งขณะมองหน้าซูเย่อย่างพิจารณา

“ไม่รับปากว่าจะรักษาได้หายขาด แต่อย่างน้อยก็ช่วยทำให้เธอมีชีวิตต่อไปได้ครับ”

ซูเย่ตอบสวนทางกับความเป็นจริง เพราะเขามั่นใจว่าตนเองต้องรักษาอาการป่วยของฮั่วเสี่ยวเหอได้หายขาดแน่นอน!

เพราะเขากำลังจะรักษาเธอด้วยยาลูกกลอนที่มีชื่อว่าโอสถคืนวิญญาณ!

นี่คือวิธีเดียวเท่านั้น

เพราะถ้าใช้ยาตัวอื่น ร่างกายของหญิงสาวก็คงรับไม่ไหว

มีแต่โอสถคืนวิญญาณเท่านั้นถึงจะช่วยฟื้นฟูธาตุหยินหยางในร่างกายของฮั่วเสี่ยวเหอกลับคืนมาได้

อีกอย่าง ซูเย่ก็กำลังต้องการหลอมโอสถคืนวิญญาณอยู่พอดี

ครั้งนี้ นอกจากมีโอกาสได้ช่วยชีวิตคนและสร้างความประทับใจให้แก่ตระกูลฮั่วแล้ว ซูเย่ยังได้หลอมโอสถคืนวิญญาณตามความต้องการของตนเองอีกด้วย คงมีแต่คนโง่เท่านั้นล่ะที่จะปฏิเสธโอกาสนี้ได้ลงคอ

“ไม่มีปัญหา!”