บทที่ 179 สวยไม่สวย ไม่มองขาอ่อน?

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

จะอย่างไรอาหู่ก็คิดไม่ถึงว่า อันธพาลสามร้อยกว่าคนที่ตนเองส่งออกไปล้อมโจมตีเย่เทียนเฉินในซอยเล็กๆ จะถึงกับถูกเย่เทียนเฉินฆ่า ทำให้คนที่ได้ยินข่าวนี้ต้องหวาดผวาจริงๆ หากไม่ใช่หลูเซิ่งต๋าพาตำรวจหน่วยรบพิเศษติดอาวุธมาจับกุมเขา เขาจะต้องไม่เชื่อแน่ จะต้องคิดว่าลูกน้องคนนี้พูดจาเลอะเทอะ และยิงเขาให้ตายไปแล้ว

ความจริงอาหู่ไม่รู้ว่า ยอดฝีมือที่เป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันอย่างเย่เทียนเฉิน หากใช้พลังพิเศษขึ้นมา ไม่ต้องพูดถึงชายฉกรรจ์สามร้อยกว่าคนที่ใช้มีดตัดฟืนเลย ต่อให้เป็นพันคนก็เกรงว่าจะหยุดการก้าวเดินของเย่เทียนเฉินไม่ได้

เรื่องที่เย่เทียนเฉินเสียใจที่สุดก็คือ ตนเองคิดแต่จะบ่มเพาะกายเนื้อ เพื่อทำให้กายเนื้อนี้สามารถรองรับพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันได้มากยิ่งขึ้น แต่กลับไม่ได้คำนึงถึงอันตรายของเสี้ยวหยา และยังประเมินความสามารถของกายเนื้อในตอนนี้มากเกินไป กายเนื้อในตอนนี้ยังไม่แข็งแกร่งถึงขั้นที่ไม่ต้องพึ่งพาพลังพิเศษในการต่อสู้ จึงทำให้พละกำลังไม่เพียงพอตามต้องการและทำให้เสี้ยวหยาได้รับบาดเจ็บ

จนถึงท้ายที่สุด เย่เทียนเฉินก็ต่อฝ่าฟันออกมาได้ราวกับภูตผี ต่อสู้ฝ่าฟันออกมาด้วยความโกรธ ด้วยเลือดแห่งการต่อสู้ที่เดือดพล่าน ล้นทะลักออกมาอย่างรุนแรง ไหล่ซ้ายแบกเสี้ยวหยาเอาไว้ มือขวาถือมีดตัดฟืน ลืมเลือนว่าตนเองเป็นผู้มีพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชัน ลืมเลือนของบางอย่างที่ถูกพันธนาการเอาไว้ ใช้เพียงมีดในมือฆ่าฟันเพื่อเปิดเส้นทางออกไป

จินตนาการถึงสถานการณ์เช่นนั้นได้เลยว่า เมื่อผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมีภาพลักษณ์ของลูกผู้ชายที่แข็งแกร่ง เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด แบกผู้หญิงที่ตนเองรักที่สุดเอาไว้ที่ไหล่ซ้าย มือขวาถือมีดตัดฟืนที่มีเลือดไหลหยดลงมา ย่างก้าวไปท่ามกลางหยาดเลือด เดินสิบก้าวฆ่าหนึ่งคน นั่นจะเป็นภาพที่เยี่ยมยอดขนาดไหน เป็นความมีเสน่ห์ขนาดไหน

ในตอนที่เย่เทียนเฉินขับรถตำรวจของหลูเซิ่งต๋าซึ่งเป็นผู้อำนวยการสำนักความปลอดภัยสาธารณะแห่งเมืองหลวงฝ่าไฟแดงไปโดยไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อพาเสี้ยวหยาไปส่งที่โรงพยาบาลนั้น อาหู่ก็ถูกหลูเซิ่งต๋าพาตำรวจหน่วยรบพิเศษหลายสิบคนมาล้อมเอาไว้ ปากกระบอกปืนจำนวนหลายสิบกระบอกเล็งไปที่อาหู่ หลูเซิ่งต๋าไม่กล้าลำพองใจเลยแม้แต่ครึ่งส่วน เดิมทีอาหู่ก็เป็นโจรชั่วที่น่ารังเกียจคนหนึ่งอยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำออกมาได้ เขาไม่อยากจะให้มีความเสียหายที่คาดไม่ถึง ในเมื่อจะลงมือก็ต้องกำจัดอาหู่ให้ราบคาบถึงจะถูก เนื่องด้วยอาหู่ที่เป็นคนของเซวียนเยวี๋ยนเถิงซึ่งเป็นคนที่ตัวเขาหลูเซิ่งต๋าไม่สามารถล่วงเกินได้

หากพูดกันถึงตำแหน่งหน้าที่แล้ว อาหู่เป็นแค่โจรชั่วที่มีอำนาจใต้ดินของเมืองหลวงเท่านั้น แต่ว่าอาหู่เป็นคนที่โหดเหี้ยมคนหนึ่ง บทจะโหดขึ้นมาก็ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น หลูเซิ่งต๋าไม่ใช่คนโง่และเขาก็ไม่มาหาเรื่องคนเหล่านี้มั่วซั่ว หากคนพวกนี้เกิดเล่นบทโหดขึ้นมาแล้วฆ่าพวกเขาทั้งหมดจะทำยังไง? นอกจากนี้ ชื่อของเซวียนเยวี๋ยนเถิงที่อยู่เบื้องหลังเป็นสิ่งที่หลูเซิ่งต๋ากังวลมากที่สุด เขาล่วงเกินไม่ได้จริงๆ

เซวียนเยวี๋ยนเถิงเป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเซวียนเยวี๋ยน แล้วตระกูลเซวียนเยวี๋ยนก็เป็นตระกูลที่อยู่ในโลกเบื้องหลังของจีน ในประเทศจีนนั้นไม่ขาดแคลนตระกูลโลกเบื้องหลังเช่นนี้เลย ก็เหมือนกับพรรควรยุทธโบราณและผู้มีพลังพิเศษที่ไม่มีใครรู้จัก ตระกูลโลกเบื้องหลังเหล่านี้ส่วนมากมีอำนาจแข็งแกร่ง บ้างก็ในด้านเศรษฐกิจ บ้างก็ในด้านการเมือง บ้างก็ในด้านการทหาร กระทั่งบางตระกูลเป็นเจ้านายของกลุ่มอำนาจในโลกมืด สาเหตุที่พวกเขาเร้นกายนั้นมีหลากหลายเหตุผล แต่กลับไม่มีใครกล้าดูแคลนพวกเขา ต่อให้เป็นรัฐบาลสมัยต่างๆ ก็ไม่กล้าไปหาเรื่องพวกเขาง่ายๆ เพราะตระกูลในโลกเบื้องหลังเหล่านี้ล้วนมีอำนาจมากพอที่จะทำให้ผู้คนต้องประหลาดใจ หากไปหาเรื่องเข้าจริงๆ อาจจะทำให้ประเทศรับไม่ไหว

ตระกูลเซวียนเยวี๋ยนเป็นตระกูลในโลกเบื้องหลัง ส่วนเรื่องที่มีอำนาจแข็งแกร่งขนาดไหนกลับเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ หากอำนาจของตระกูลในโลกเบื้องหลังเหล่านี้ถูกคนอื่นล่วงรู้ได้ง่ายถึงขนาดนั้นจริงๆ คงถูกประเทศควบคุมไปนานแล้ว ดังนั้นก็มีบางคนและบางเรื่องที่รัฐบาลของประเทศไปแตะต้องไม่ได้ มักจะต้องใช้การดำเนินการที่พิเศษเข้าไปจัดการ ซึ่งการให้เย่เทียนเฉินจัดการก็เป็นวิธีการดำเนินการพิเศษอย่างหนึ่ง

“เหอะ!”

อาหู่ใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นยืนจากบนโซฟา ใช้เท้าถีบผู้หญิงข้างกายออกไป มองไปยังหลูเซิ่งต๋าอย่างโหดเหี้ยม กำหมัดแน่น เขาต้องการจะต่อย อยากจะต่อยหน้าหลูเซิ่งต๋าแรงๆ สักครั้งถ้า

อาหู่ในตอนนี้ หากจะบอกว่าไม่โกรธไม่แปลกใจนั่นคงเป็นไปไม่ได้ แม้ในฝันเขาก็คิดไม่ถึงว่า ลูกน้องมากฝีมือที่ตนเองส่งออกไปล้อมฆ่าเย่เทียนเฉินจะพ่ายแพ้ และคิดไม่ถึงว่าหลูเซิ่งต๋าถึงกับกล้าพาคนมาจับตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีท่าทางราวกับจะทำให้เขามีโทษถึงตาย ดูท่าเขาจะประเมินเย่เทียนเฉินต่ำไปแล้ว

“ทำไม? แกคิดจะสู้กับฉันเหรอ?” หลูเซิ่งต๋าหัวเราะเสียงเย็น มองไปที่อาหู่แล้วกล่าวขึ้น

“หลูเซิ่งต๋า แกคิดให้ดี เย่เทียนเฉินมันก็แค่ลำพองใจไปครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนเถิงโดยเด็ดขาด พอคุณชายใหญ่เซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาถึงเมืองหลวง ก็จะเป็นวันตายของมัน!” อาหู่มองหลูเซิ่งต๋าอย่างดุดันแล้วพูดออกมาเสียงต่ำ

หลูเซิ่งต๋าได้ยินคำพูดของอาหู่ก็ขมวดคิ้ว เขาเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีสมอง และไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดถึงปัญหานี้ แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่า การยืนอยู่ข้างเย่เทียนเฉินเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง มิฉะนั้นตัวเขาเองก็อาจจะตายอย่างอนาถได้ บางทีเมื่อเปรียบเทียบเซวียนเยวี๋ยนเถิงกับเย่เทียนเฉินแล้ว แม้ว่าหลังจากที่เย่เทียนเฉินกลับมายังเมืองหลวงจะก่อเรื่องที่ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้างมากมาย โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลฉินและตระกูลลั่วตกต่ำลงในคืนเดียว จนถึงกับทำให้ผู้คนต้องสูดหายใจเย็นยะเยือก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่อาจเทียบได้กับเซวียนเยวี๋ยนเถิง

เนื่องจากว่า ต่อให้เย่เทียนเฉินจะร้ายกาจขนาดไหนก็เป็นเพียงแค่คนคนเดียว ตระกูลเย่ตกต่ำลงไปนานแล้ว ไม่สามารถให้การสนับสนุนอันแข็งแกร่งต่อเขาได้ แต่เบื้องหลังของเซวียนเยวี๋ยนเถิงมีตระกูลเซวียนเยวี๋ยนที่เป็นตระกูลแห่งโลกเบื้องหลังอยู่ ดูเหมือนว่าขอแค่เป็นคนที่มีความคิดสักหน่อยก็จะยืนอยู่ข้างตระกูลเซวียนเยวี๋ยน

แต่ว่าหลูเซิ่งต๋าเป็นคนที่แปลกประหลาด ครั้งนี้ฝ่ายที่เขาเลือกกลับเป็นฝ่ายของเย่เทียนเฉิน สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือ เย่เทียนเฉินทำให้เขารู้สึกสั่นสะท้าน เย่เทียนเฉินทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่า ต่อให้เหลือเขาเพียงคนเดียว ไม่มีอำนาจและเบื้องหลังใดๆ ก็ไม่อาจไปหาเรื่องได้ และหาเรื่องเขาไม่ได้ พลังอำนาจเช่นนี้ ทั่วทั้งโลกเกรงว่าจะหาได้แค่ไม่กี่คน

ดังนั้น ในเมื่อหลูเซิ่งต๋าพาคนมาจับกุมอาหู่แล้วก็นับว่าเป็นการยืนอยู่ข้างเย่เทียนเฉิน และเขาก็จะไม่ปล่อยอาหู่ไป เพราะหากไม่ฆ่าอาหู่ เมื่อเซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมา เกรงว่าชีวิตของเขาหลูเซิ่งต๋าจะไม่ดีอะไรนัก ถ้าฆ่าอาหู่ไปแล้วหาข้ออ้างสักหน่อย ต่อให้เซวียนเยวี๋ยนเถิงรู้ว่าเขาฆ่าอาหู่ ก็เกรงว่าจะไม่มีเหตุผลใดมาสร้างความวุ่นวายให้เขา ยิ่งไปกว่านั้นความโกรธทั้งหมดของเซวียนเยวี๋ยนเถิงก็จะไปลงที่เย่เทียนเฉิน นี่เป็นความคิดของหลูเซิ่งต๋า เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีความคิดความสามารถคนหนึ่งเลยทีเดียว

“จะเป็นวันตายของเย่เทียนเฉินหรือไม่ ฉันหลูเซิ่งต๋าไม่รู้ แต่ฉันรู้วันตายของแก…” หลูเซิ่งต๋ามองอาหู่อย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้น

“แกจะฆ่าฉันเหรอ?” ทันใดนั้นอาหู่ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาจึงเอ่ยถามออกไปด้วยความแตกตื่นที่อยู่ในใจ

“แกจำเป็นต้องตาย ถ้าแกไม่ตาย หากเซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับมาเมืองหลวงและไปฆ่าเย่เทียนเฉินแล้ว ถึงตอนนั้นฉันก็จะมีปัญหาใหญ่!” หลูเซิ่งต๋าพูดด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม

“แต่หากแกฆ่าฉันตอนนี้ เซวียนเยวี๋ยนเถิงก็จะไม่ปล่อยแกไปแน่ ต่อให้ฉันจะเป็นสุนัขตัวหนึ่งของเซวียนเยวี๋ยนเถิง แต่ก็เกี่ยวพันไปถึงศักดิ์ศรีหน้าตาของเขา จุดจบของแกคงไม่ดีแน่!” อาหู่พูดเสียงต่ำ

“งั้นเหรอ? คิดไม่ถึงว่าอาหู่ที่โหดเหี้ยมน่ารังเกียจฆ่าคนเป็นผักปลาจะกลัวตายด้วย น่าตลกจริงๆ น่าตลกจริงๆ…” หลูเซิ่งต๋าหมุนตัว ส่ายหน้าไปพลางพูดไปพลาง

“น่าตลกแม่แกสิ…”

ทันใดนั้น อาหู่ระเบิดโทสะยื่นมือออกหมายจะจับคอของหลูเซิ่งต๋า เขารู้ว่าหลูเซิ่งต๋าจะไม่ปล่อยเขาไป คืนนี้เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย มีแค่ต้องต่อสู้อย่างถึงที่สุด จับหลูเซิ่งต๋าเป็นตัวประกันถึงจะหนีออกไปได้

ปัง!

ไหนเลยจะรู้ว่า ในตอนที่อาหู่เพิ่งจะทะยานออกไป มือขวายื่นออกไปยังหลูเซิ่งต๋า กลับมีเสียงปืนดังขึ้น ระหว่างคิ้วของอาหู่ถูกลูกปืนเจาะทะลวง ล้มหงายลงไปบนโซฟา ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง จ้องมองหลูเซิ่งต๋าอย่างตายตาไม่หลับ

ในมือขวาของหลูเซิ่งต๋าปรากฏปืนพกกระบอกหนึ่ง เขาระวังการโจมตีกะทันหันของอาหู่อยู่นานแล้ว ด้วยนิสัยมุทะลุของอาหู่ ไม่มีอะไรที่ไม่กล้าทำ โดยเฉพาะในตอนที่ชีวิตตกอยู่ในอันตราย กระทั่งพ่อแท้ๆ ก็ยังกล้าฆ่า หลูเซิ่งต๋าไม่ได้ลำพองใจจนคิดว่าอาหู่ไม่กล้าลงมือกับตน

“ยกศพกลับไป บอกไปว่าตอนควบคุมตัวเขาถูกสไนเปอร์คนหนึ่งลอบยิงตาย!” หลูเซิ่งต๋าสั่งกับตำรวจหน่วยรบพิเศษที่อยู่ข้างหลังอย่างเย็นชา

“ครับ ท่านผู้อำนวยการหลู!” ตำรวจหน่วยรบพิเศษที่อยู่ข้างหลังหลูเซิ่งต๋าตอบรับ

หลูเซิ่งต๋าหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง เรื่องที่เหลือย่อมให้ลูกน้องไปจัดการ ส่วนเขากำลังคิดว่า การช่วยเย่เทียนเฉินฆ่าอาหู่ในครั้งนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเย่เทียนเฉินแน่นแฟ้นขึ้นหรือไม่? นอกจากนี้ หลังจากที่เซวียนเยวี๋ยนเถิงกลับเมืองมา เย่เทียนเฉินจะตายหรือไม่?

ในวันเดียวกันตอนกลางคืน เย่เทียนเฉินพาเสี้ยวหยามาส่งที่โรงพยาบาลแห่งเมืองหลวง โชคดีที่เสี้ยวหยาได้รับบาดเจ็บที่ผิวหนังชั้นนอก ไม่ได้ร้ายแรงอะไร มิฉะนั้นเย่เทียนเฉินคงไม่อาจให้อภัยตนเองได้ คืนนั้นทั้งคืนเย่เทียนเฉินไม่ได้กลับบ้าน เฝ้าอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยของเสี้ยวหยา มองดูเสี้ยวหยาที่ยังคงมีใบหน้าขาวซีดค่อยๆ หลับไป ทันใดนั้นเย่เทียนเฉินรู้สึกว่า การที่ตนปฏิบัติต่อเสี้ยวหยาเช่นนี้ ดูเหมือนไม่ใช่แค่เพราะว่าเธอมีหน้าตาเหมือนผู้หญิงที่เขารักที่สุดในช่วงยุคสิ้นโลกง่ายๆ เพียงเท่านั้น แน่นอนว่าไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีปัจจัยนี้รวมอยู่ด้วย กล่าวได้เพียงว่าความรู้สึกของเย่เทียนเฉินเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปเรียบง่ายขึ้น เขาแค่อยากจะปกป้องผู้หญิงที่งดงามและบริสุทธิ์คนนี้เท่านั้น

ในตอนนี้เอง ใจกลางเมืองของเมืองแห่งหนึ่ง ภายในคลับที่หรูหราแห่งหนึ่ง ชายคนหนึ่งที่สวมสูทสีเงิน สูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ร่างกายผอมมาก ผอมจนใบหน้าดูซีดขาว สิ่งเดียวที่ทำให้ต้องตกใจก็คือ สายตาคมกริบของเขามีไอสังหารอยู่ หากสบตากับเขาจะให้ความรู้สึกราวกับมีไอสังหารซึมลึกไปถึงกระดูก

เบื้องหน้าของชายในชุดสูทสีเงินคนมีสาวสวยยืนอยู่สิบแปดคน ทุกคนสวมถุงน่องเซ็กซี่ เปลือยไหล่เปิดหลัง สะโพกงามขาอ่อนงามราวน้ำนม ด้านหลังของพวกเธอมีบอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำยืนอยู่แปดคน บอดี้การ์ดแปดคนนี้ยืนเอามือไขว้หลัง ยืนอยู่หลังชายสวมชุดสูทสีเงินอย่างเรียบร้อยเป็นนระเบียบ เหมือนกับขุนศึกแปดคนอย่างไรอย่างนั้น หากไม่มีคำสั่งของเจ้านาย ก็ไม่เคลื่อนไหวบุ่มบ่าม

“หันหลังไปให้หมด ฉันจะดูสิว่าบันท้ายใครใหญ่ที่สุด…” ชายในชุดสูทสีดำ สูบซิการ์ นั่งไขว่ห้าง มุมปากประดับไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

…………………………..