บทที่ 202 เข้าเมืองหลวง

คู่ชะตาบันดาลรัก

ตอนแรกหมิงเวยคิดจะให้เจี่ยงเหวินเฟิงได้เข้าร่วมกับพวกคนชั่วก่อน

ขุนนางผู้มีชื่อเสียงในภายภาคหน้า มีทั้งความสามารถและคุณธรรม หากต้องการหาผู้ช่วยถือว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมาก

เจี่ยงเหวินเฟิงเห็นแววตาของนางมองเขาด้วยความนับถือเลยอดไม่ได้ที่จะถามนางอย่างจริงจัง “แม่นางต้องการให้ข้าทำอะไรหรือ หากข้าทำได้ก็จะทำ”

หมิงเวยยิ้ม “ใต้เท้าไม่ต้องกังวลไป เป็นเรื่องดีเจ้าค่ะ”

นางชะงักแล้วพูดว่า “คดีโครงกระดูกที่อุโมงค์ใต้สะพาน ข้าจะช่วยท่านไขคดีให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ข้าจะช่วยลากกลุ่มยาจกออกมาและกวาดล้างพวกเขาให้พ้นออกไปจากเมืองหลวง ด้วยคุณงามความดีทั้งสองอย่างนี้ ฝ่าบาทต้องมองใต้เท้าเจี่ยงในแง่ดีมากขึ้นใช่หรือไม่”

เจี่ยงเหวินเฟิงไม่เข้าใจ “แม่นางคิดจะทำอะไรกันแน่”

“ข้าต้องการให้ท่านได้เลื่อนตำแหน่ง” หมิงเวยพูดช้าๆ “ใต้เท้าประสบความสำเร็จในการสอบแข่งขันต่างๆ ตอนอายุสิบแปด ตลอดสิบสองปีที่ผ่านมาท่านมีความสุขุมรอบคอบ ระมัดระวัง มีทั้งชื่อเสียงในงานราชการและคุณงามความดี ฝ่าบาทคงชื่นชมใต้เท้ามากถึงได้ย้ายท่านไปตำแหน่งจิงจ้าวอิ่น เชื่อว่าหากใต้เท้าทำผลงานได้ดีก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งทันทีที่หมดวาระการดำรงตำแหน่ง หากโชคดีท่านอาจได้เข้าราชสำนักด้วย”

เจี่ยงเหวินเฟิงกล่าวอย่างใจเย็น “ฝ่าบาททรงมีพระปรีชาในการเลือกใช้คน แต่ข้ายังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเข้าราชสำนักได้”

เมื่อหมดวาระเขามีอายุเพียงสามสิบสามปี ในตำแหน่งอัครเสนาบดีเขาถือว่ายังเด็กเกินไปนัก

หมิงเวยยิ้ม “แม้ว่าสามปีหลังจากนี้จะยังไม่ได้ แต่ท่านได้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญอย่างแน่นอน”

“ดังนั้น…” เจี่ยงเหวินเฟิงไม่สามารถเข้าใจความคิดของนางได้

เขาได้เลื่อนตำแหน่งแล้วดีต่อนางอย่างไรกัน หากเป็นผู้อื่นคงบอกว่าเป็นที่พึ่งพิงให้กับครอบครัว ตระกูลหมิงตอนนี้ได้แตกแยกจากกันแล้ว นางก็ถอนตัวออกมาด้วยตนเองแล้ว สำหรับตระกูลจี้นั้นปลอดภัยและมั่นคงไม่ต้องการการปกป้องจากเขาด้วยซ้ำ

“ใต้เท้าคงสงสัยใช่หรือไม่เจ้าคะ ว่าเคล็ดวิชาของข้ามาจากที่ใดกัน” เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า เรื่องพวกนี้เขาไม่ถามไม่ได้แปลว่าเขาไม่สังเกตเห็น

“เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วข้าบอกใต้เท้าแน่นอนเจ้าค่ะ แต่ข้ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ ยิ่งตำแหน่งของใต้เท้าสูงเท่าไรยิ่งช่วยข้าได้มากขึ้นเท่านั้น”

“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้…”

หมิงเวยโบกมือ “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องนี้เจ้าค่ะ ในเมื่อใต้เท้ารับปากตกลงตามคำขอของข้าแล้ว พวกเรามาจัดการธุระสำคัญกันก่อนเถอะ ฮูหยิน ท่านเป็นวิญญาณซึ่งจะรับรู้ต่อวิญญาณได้ไว พวกเรามาเรียกวิญญาณกันดีหรือไม่”

…………

จี้เสียวอู่ในตอนนี้มีชีวิตที่มีความสุขมากในที่สุดเขาก็ตระหนักถึงชีวิตที่เขาโหยหา การเป็นจอมยุทธ์พเนจรมันรู้สึกดีมาก

ในวันนั้นเขาและขอทานชรารับประทานอาหารด้วยกัน ต่างคนต่างพูดลองใจกัน ซึ่งทั้งสองเจอกันครั้งแรกก็รู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนกันมานาน เขาเดินตามขอทานชรากลับไปยังที่ตั้งของกลุ่มยาจกที่ชานเมือง

ทุกวันที่ออกไปพเนจรข้างนอก กลับมาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน มันน่าสนใจกว่าการเรียนมาก ตอนนี้เขามีงานอดิเรกอย่างหนึ่งก็คือการพาตัวฝูไปนั่งที่สนามฝึกซ้อมต่อสู้ที่ลานกว้าง ผู้ใดเข้ามาเขาก็จะไปเดิมพันด้วย และมองอีกฝ่ายต่อสู้กับตัวฝู

การละเล่นนี้ไม่ได้มีเพียงแค่จี้เสียวอู่ที่รู้สึกสนุก เหล่าพี่น้องยาจกที่อยู่ชานเมืองต่างเพลิดเพลินไปกับมันด้วยเช่นกัน

คุณชายกัวผู้นี้ใจกว้างมาก! หากการเดิมพันชนะเงินรางวัลก็จะถูกแจกจ่ายให้กับพวกเขา หรือหากพวกเขาชนะพวกเขาก็จะได้รับเงินเป็นจำนวนมาก

เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นจี้เสียวอู่ก็พาตัวฝูไปเล่นการละเล่นนี้อีกครั้งโดยไม่รู้ว่ามีใครบางคนเฝ้าดูเขาอย่างใกล้ชิดในห้องที่ไม่ไกลจากสนามต่อสู้

“ผู้เฒ่าเก๋อ คุณชายผู้นี้เป็นคุณชายน้อยกัวจริงๆ หรือ เป็นตัวปลอมหรือเปล่า” ขอทานหนุ่มถามด้วยความเคารพ

ผู้เฒ่าเก๋อเป็นขอทานชราที่ได้สนทนากับจี้เสียวอู่ในวันนั้น เขาจิบสุราพลางเหล่มองจี้เสียวอู่แล้วยิ้ม “ทำไม เจ้าสงสัยข้างั้นหรือ”

ขอทานหนุ่มกล่าวว่า “ข้าน้อยไม่ได้สงสัยในตัวผู้เฒ่า แต่ไม่เข้าใจว่าคุณชายน้อยกัวมาทำอะไรที่เมืองหลวง ครอบครัวของเขามีอิทธิพลอยู่ที่ลั่วเฉิง แต่มาที่เมืองหลวงพร้อมกับสาวใช้ไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาขึ้นงั้นหรือ”

“คนหนุ่มสาวมักจะโหยหาโลกภายนอก” ผู้เฒ่าเก๋อยิ้ม “ข้าได้ทดสอบเขาแล้ว วรยุทธ์ของเขาเป็นรูปแบบของตระกูลกัวจริง แต่พื้นฐานยังไม่ค่อยดีนัก แค่ดูก็รู้ว่าไม่ได้ตั้งใจร่ำเรียน คุณชายน้อยกัวเกิดมาร่างกายอ่อนแอ คนในครอบครัวต่างประคบประหงมมาก ตามหลักเหตุผลแล้ววรยุทธ์ของเขาไม่น่าจะดี”

“เช่นนั้นไม่ใช่ว่าผู้อื่นจะลอกเลียนแบบได้ง่ายหรือ”

ผู้เฒ่าเก๋อชี้ไปที่ตัวฝู “เจ้าคิดว่าความสามารถของสาวใช้ผู้นั้นเป็นอย่างไร”

ขอทานหนุ่มตอบ “สาวใช้นางนั้นแปลกมากพลังในกายแข็งแกร่งมากแต่พื้นฐานวรยุทธ์นั้นธรรมดาไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอย่างไรดี”

“เจ้าคิดว่าวรยุทธ์ของนางถูกจัดอยู่อันดับไหนในยุทธภพ”

แม้ว่าเขาจะไม่อยากยอมรับ แต่ขอทานหนุ่มก็ยังคงพูดว่า “ด้วยความสามารถภายในของนางสามารถถูกจัดอยู่ในอันดับหนึ่ง…”

“ต้องเป็นอันดับหนึ่งแน่นอน!” ผู้เฒ่าเก๋อตะโกนขึ้น “พูดตามตรงหากต้องสู้กันจริงๆ ข้าไม่สามารถเอาชนะนางได้”

“ผู้เฒ่าเก๋อถ่อมตัวเกินไปแล้ว…”

ผู้เฒ่าเก๋อโบกมือขัดจังหวะอีกฝ่าย “ผู้เชี่ยวชาญมือหนึ่งเช่นนี้จะพาออกมาตามใจชอบได้อย่างไรหากไม่ใช่ตระกูลที่มีอิทธิพล”

“ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าพวกเขาเป็นคนจากตระกูลกัวหรือไม่”

ผู้เฒ่าเก๋อพยักหน้า “ใช่ เพราะฉะนั้นข้าถึงรั้งให้พวกเขาอยู่ที่นี่และแอบถามสหายร่วมทางในลั่วเฉิง”

เขายิ้มแล้วพูดว่า “ทางฝั่งลั่วเฉิงแจ้งมาว่าช่วงนี้ตระกูลกัวได้ส่งพี่น้องออกไปจำนวนมากดูเหมือนจะให้ออกมาตามหาคน”

ในที่สุดขอทานหนุ่มก็เข้าใจเขาพูดประจบประแจงไปว่า “เป็นเช่นนี้นี่เอง ผู้เฒ่าเก๋อช่างมีสายตาที่เฉียบคมจริงๆ…”

จากนั้นก็พูดต่อว่า “แล้วการที่ท่านรั้งเขาไว้เพื่ออะไรหรือ จะแจ้งทางตระกูลกัวเลยหรือว่าเก็บไว้ใช้ประโยชน์…”

ผู้เฒ่าเก๋อเขย่าขวดน้ำเต้าในมือ “น่าเสียดายจริงๆ ตระกูลกัวให้ประโยชน์กับพวกเรามากมายแค่ไหนมันก็แค่การค้าขายอย่างหนึ่ง”

“ผู้เฒ่าเก๋อ…”

ผู้เฒ่าเก๋อเหล่มองเขา “เรื่องนี้ได้แพร่ออกไปแล้วหากทางการตรวจสอบพบ พวกเราก็ผลักเขาออกไป เมื่อถึงเวลานั้นหากตระกูลกัวได้รับข่าวคงทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขาแน่…”

ดวงตาของขอทานหนุ่มเป็นประกาย “ให้พวกเขาได้รับความสูญเสีย เช่นนั้นพวกเราก็จะได้…”

“ลั่วเฉิงจบสิ้นแน่!” ผู้เฒ่าเก๋อหัวเราะแล้วตบไหล่อีกฝ่าย “เจ้าก็คุยกับเขาดีๆ แล้วพาเขาเข้าไปในเมืองเรื่องไม่ดีพวกนั้นก็ให้เขาเป็นคนจัดการ”

“ขอรับ!”

………….

“พี่กัว!” เมื่อได้ยินเสียงเรียกจี้เสียวอู่ก็หันศีรษะไปมองและเห็นว่าเป็นขอทานหนุ่มเดินเข้ามาหาเขาพร้อมอวดรอยยิ้มยิงฟัน

“อ้อ พี่ฉี ทำไมวันนี้ถึงเพิ่งมาหรือ เร็วๆๆ พวกเรามาเดิมพันกัน”

ขอทานหนุ่มโบกมือ “เถอะน่า สาวใช้ของเจ้าเก่งกาจมาก ข้าเดิมพันกับเจ้าไม่ไหวหรอก”

ได้ยินเช่นนั้นจี้เสียวอู่ก็หมดความสนใจ “แล้วทำอะไรดี เล่นเช่นนี้มาทั้งวันข้าก็รู้สึกเบื่อนิดหน่อยแล้ว”

ขอทานหนุ่มโน้มตัวไปข้างหน้า “หากพี่กัวรู้สึกเบื่อ ถ้าเช่นนั้นพวกเราไปเล่นในเมืองหลวงดีหรือไม่เมืองนี้สนุกกว่าข้างนอกเยอะเลย!”

จี้เสียวอู่รู้สึกสนใจมาก “เอาสิ! ข้าอยากไปเมืองหลวงมานานแล้ว แต่ผู้เฒ่าเก๋อเชื้อเชิญข้าอย่างอบอุ่นมิอาจหักหน้าเขาได้”

“ดีเลย! ไม่มีสถานที่ใดในเมืองหลวงที่ข้าไม่คุ้นเคย! อย่างสระฉางเล่อ ถนนหลักผิงอัน…”

ยิ่งพวกเขาคุยกันมากเท่าไรยิ่งคุยถูกคอกันมากเท่านั้นทั้งสองเข้ากันได้ดี และวางแผนกันเข้าเมืองหลวง ตัวฝูได้แต่เกลี้ยกล่อมอย่างอ่อนแรง “คุณชายเจ้าคะ ฮูหยินบอกว่าไม่ให้ท่านก่อเรื่อง”

แต่มีหรือที่คุณชายจะฟังนาง เขาจัดการเตรียมตัวเข้าเมืองหลวงไปกับขอทานหนุ่มเรียบร้อยแล้ว

……………