บทที่ 203 ประสบการณ์ชีวิต

คู่ชะตาบันดาลรัก

เมื่อกลับมาที่ห้องเก็บศพหมิงเวยก็ถามขึ้นว่า “ฮูหยิน ท่านรู้สึกได้ถึงวิญญาณของโครงกระดูกไหนยังไม่แตกสลายหรือไม่” เชี่ยนเหนียงลอยไปรอบๆ และชี้ให้เห็นบางส่วน

เจี่ยงเหวินเฟิงสงสัย “ที่นี่มีกระดูกหลายร้อยชิ้น แต่มีเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่สามารถเรียกวิญญาณได้งั้นหรือ”

หมิงเวยพยักหน้า “การเรียกวิญญาณไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเจ้าค่ะ หลังจากความตาย วิญญาณส่วนใหญ่จะสลายไปแล้วเข้าสู่วัฏจักรการเกิดใหม่ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถเก็บรักษาไว้ได้ และสิ่งที่สามารถเก็บความทรงจำได้คือส่วนน้อยของส่วนน้อยไปอีก ดังนั้นไม่ใช่ทุกคดีที่สามารถใช้ประโยชน์จากการเรียกวิญญาณเพื่อสื่อสารกับคนตายได้”

เจี่ยงเหวินเฟิงตระหนักได้ว่า “มิน่าล่ะ หลายปีมานี้คดีที่เชี่ยนเหนียงสามารถสื่อสารกับวิญญาณที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมได้มีไม่กี่คดีเท่านั้น”

หมิงเวยยิ้ม “ไม่เพียงเท่านี้วิญญาณของฮูหยินถูกอาบไปด้วยจิตวิญญาณ ซึ่งจะทำให้วิญญาณหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณเจ้าค่ะ”

“อย่างนี้นี่เอง” กระดูกถูกนำมารวมกัน หมิงเวยเริ่มตั้งแท่นบูชาเพื่อออกค้นหาวิญญาณ

………….

ทางด้านจี้เสียวอู่ที่เล่นทั้งวันทั้งคืนก็ถูกฉีผิงพาไปเรือนใหญ่เพื่อพักผ่อน

ด้านนอกเรือนนั้นดูธรรมดา แต่เมื่อเข้ามาด้านในก็พบว่ามันหรูหรามาก ผ้าไหมจากทางใต้ ผ้าห่มจากทางเหนือ ของตกแต่งในห้องไม่ใช่หยกก็เป็นทองคำ เครื่องเรือนทำจากไม้หวางฮวาหลี ภาพวาดบนผนังก็เป็นผลงานชิ้นเอกเช่นกัน

จี้เสียวอู่มองของมากมายจนตาลาย เขาถามออกไปว่า “ที่นี่คือที่ใด เหตุใดถึงได้งดงามมากเช่นนี้”

ฉีผิงยิ้มแล้วถามกลับ “พี่กัว ครอบครัวของท่านมีชื่อเสียงในลั่วเฉิงมาก ไม่เคยมาสถานที่เช่นนี้หรือ”

จี้เสียวอู่ตอบอย่างเขินอาย “ข้าไม่ปิดบังพี่ฉี ท่านแม่ของข้าเข้มงวดมาก ถึงบ้านเราจะมีเงินแต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คนภายนอกคิด ยามเช้าท่านพ่อทานหมั่นโถวกับข้าวต้ม อะไรในครอบครัวประหยัดได้ก็ประหยัด หากข้าไม่พอใจอะไรก็จะถูกผู้อาวุโสในเรือนลดมื้ออาหาร พวกผู้อาวุโสมักเล่าความเป็นมาของครอบครัวให้ฟัง ถึงเราจะได้ดีแต่ห้ามลืมรากเหง้า ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพี่น้องมากมายที่ต้องดูแล หากเกิดปีไหนแล้งขึ้นมาจนถึงขนาดต้องจัดการกับความเป็นความตายนี้จะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายได้อย่างไร!”

“อย่างนี้นี่เอง!” ฉีผิงคิดในใจ เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้เหมือนกันว่าตระกูลกัวขี้เหนียว ตอนแรกนึกว่าพวกเขาแค่เล่นละคร แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นความจริง! โอ้ ท่านผู้เฒ่าเก๋อช่างมีสายตาที่กว้างไกลนัก สถานะของคุณชายน้อยกัวไม่มีอะไรน่าสงสัยเลย

เขาพาจี้เสียวอู่เข้าไปเล่นในเมืองหลวงจงใจลองทดสอบพื้นฐานของเขาว่าเป็นตัวปลอมหรือไม่

“ไม่เพียงแค่นั้นนะ!” จี้เสียวอู่พูดอีก “พี่ชายข้าออกไปทำงานข้างนอก อย่างไรเสียก็ต้องเข้าสังคมยังได้มีอิสระเป็นของตนเอง แต่ข้าร่างกายอ่อนแอถูกขังอยู่ตลอด ในเรือนนอกจากตัวฝูแล้วก็ไม่มีสาวใช้หน้าตางดงามเลย…”

ฉีผิงหัวเราะเสียงดังแล้วตบไหล่อีกฝ่าย “กัวฮูหยินเข้มงวดจริงๆ พี่กัวโตขนาดนี้แล้วควรติดต่อกับผู้คนบ้าง บุรุษน่ะ สิ่งที่ต้องการไม่ใช่เงิน อาหารและสตรีหรอกหรือ”

จี้เสียวอู่ยังคงยิ้มอย่างเขินอาย “มาๆๆ” ฉีผิงดึงเขามาอย่างกระตือรือร้น

“วันนี้ข้าจะพาท่านไปสัมผัสประสบการณ์ชีวิตเอง”

ตัวฝูที่เดินตามอยู่ข้างหลังอดไม่ได้ที่จะพูดแทรก “คุณชายเจ้าคะ! ฮูหยินกำชับไว้ว่าห้ามทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมนะเจ้าคะ!”

ฉีผิงพูด “อะไรเรียกว่าพฤติกรรมไม่เหมาะสมกัน มีบุรุษคนไหนไม่เข้าสังคมบ้าง นี่เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”

จี้เสียวอู่ลังเลอยู่สักพักแล้วบอกกับตัวฝูว่า “ข้าแค่ออกไปสัมผัสประสบการณ์ชีวิตพวกท่านพี่ก็ทำเช่นนั้นด้วยมิใช่หรือ”

“แต่ร่างกายของท่านไม่แข็งแรง…”

“ข้าไม่แข็งแรงตรงไหนกัน ตอนเด็กข้าอาจป่วยง่าย แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว!”

“คุณชาย…” ตัวฝูไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมอย่างไรจึงทำได้แต่มองเขาอย่างอ้อนวอน

จี้เสียวอู่มีสีหน้าลำบากใจ

ฉีผิงพูดว่า “สาวใช้นางนี้จะยุ่งเรื่องของเจ้านายอะไรมากขนาดนั้นไม่รู้กฎระเบียบหรืออย่างไร”

จี้เสียวอู่รีบพูด “พี่ฉี ตัวฝูไม่ใช่ไม่รู้ความ นางเพียงแค่เป็นห่วงข้าเท่านั้น” แล้วเขาก็ปลอบตัวฝู “ข้าบอกเจ้าว่าข้าแค่ออกไปสัมผัสประสบการณ์ชีวิต ไม่ได้ออกไปก่อเรื่องวุ่นวายอะไร หากไม่วางใจเจ้าก็คอยมองอยู่ข้างๆ เถอะ”

ตัวฝูพยักหน้า “เจ้าค่ะ”

จี้เสียวอู่หันหน้าไปยิ้ม “พี่ฉีเห็นรึยัง นาง…”

ฉีผิงฉีกยิ้ม “ข้าเข้าใจแล้ว” ในใจคิดว่าเขาเป็นคุณชายตัวน้อยที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเอาแต่ใจเสียจริง ตอนนี้เขาไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของจี้เสียวอู่แล้ว หากมีผู้อื่นมาแอบอ้างเหตุใดต้องมีสาวใช้มาถ่วงแข้งถ่วงขาด้วยเล่า

เมื่อเข้ามาภายในห้องก็พบว่ามีงานเลี้ยงรออยู่แล้ว มีเด็กสาวสองคนอายุไม่เกินสิบห้าสิบหก ใบหน้างดงาม ผิวขาวราวกับหิมะ สวมเครื่องประดับสีทองอร่าม คนหนึ่งถือพิณ อีกคนถือขลุ่ย เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามาก็ลุกขึ้นทำความเคารพ

จี้เสียวอู่ถูกพาตัวไปที่งานเลี้ยงด้วยความงุนงงหลังจากดื่มสุราไปก็หันไปถามฉีผิงว่า “พวกนางดูไม่ด้อยไปกว่าคุณหนูชนชั้นสูงเลยเหตุใดถึง…”

ฉีผิงหัวเราะเสียงดัง “ก็แค่เด็กสาวมาบรรเลงเพลงและขับร้อง ตัวหลักจริงๆ ยังไม่มา!” กล่าวจบเขาก็ปรบมือจากนั้นก็มีแม่เฒ่าเดินเข้ามารับคำสั่ง

ฉีผิงตอบ “เชิญคุณหนูของเจ้าเข้ามา”

แม่เฒ่าตอบรับแล้วเดินออกไป ไม่นานนักม่านก็ถูกเลิกขึ้นกลิ่นหอมพัดโชยเข้ามา ตามด้วยสาวงามที่เดินถือพัดเข้ามาในห้องนี้ ฉีผิงเห็นจี้เสียวอู่มองตาค้างก็ลอบยิ้มในใจ

เด็กสาวสองคนนั้นเป็นสาวงามระดับต้นๆ และยังมีอีกคนที่งดงามยิ่งกว่าพวกนางแล้วจะไม่ให้คุณชายกัวสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวได้อย่างไร ดูสิ ขนาดสาวใช้ที่รั้งเจ้านายอยู่หลายครั้งยังไม่พูดอะไรเลย

“กุ้ยเหนียง นี่คือคุณชายกัว” เขาแนะนำจี้เสียวอู่ให้กับนาง

กุ้ยเหนียงโค้งกายอย่างนวยนาด เสียงของนางดั่งนกร้องขับขาน “คารวะคุณชายกัวเจ้าค่ะ”

จี้เสียวอู่ถูกฉีผิงผลักจนสติของเขากลับมาเขาพยักหน้ารัวๆ “ไม่ต้องมากพิธีหรอก”

กุ้ยเหนียงนั่งลงรินสุราคีบอาหารให้พลางถามที่มาของเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่น่าสนใจในเมืองหลวง นางไม่เหลาะแหละ แค่พูดคุยเป็นเพื่อนเขาช้าๆ ทำให้บรรยากาศยิ่งผ่อนคลายมากขึ้น ฉีผิงเห็นว่าได้โอกาสจึงเอียงแก้วจนสุราหกใส่จี้เสียวอู่

เขาแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “ขอโทษด้วย ข้าดื่มหนักไปหน่อยมือเลยไม่นิ่ง กุ้ยเหนียง ยังไม่รีบพาคุณชายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก”

“คุณชาย…” ตัวฝูคิดจะตามไปด้วยแต่ก็ถูกฉีผิงรั้งไว้ “ก็แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ได้คิดจะทำอะไรคุณชายเจ้าสักหน่อย!”

จี้เสียวอู่เองก็พูดว่า “ตัวฝู เจ้ารออยู่ที่นี่เถอะแล้วข้าจะรีบกลับมา”

ตัวฝูพูดอย่างไม่เต็มใจ “คุณชายเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วรีบกลับมานะเจ้าคะ”

“แน่นอน”

…………

ควันค่อยๆ ก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือของหมิงเวย นางตวัดนิ้วแล้วควันนั้นก็ร่วงสู่พื้นก่อรูปกลายเป็นเด็กสาวนางหนึ่ง

รูปลักษณ์ของเด็กสาวนางนี้จางกว่าเชี่ยนเหนียงอยู่มาก ท่าทางซึมกระทือ ดวงตาเลื่อนลอยไร้แววเป็นประกาย

“ท่านเป็นใคร” เด็กสาวไม่ตอบกลับอะไรเลย

หมิงเวยถามอย่างอดทนหลายครั้งก่อนที่จะเห็นนางอ้าปาก “ข้า…ข้าไม่รู้…”

เมื่อนางเปิดปากหมิงเวยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พูดได้ก็ดีแล้วแสดงให้เห็นว่านางยังคงมีสติอยู่บ้าง

หมิงเวยพูดเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ใช่คนไม่ดี ท่านลองนึกดูว่าจำเรื่องราวก่อนหน้านี้ได้หรือไม่”

หลังจากที่ถามออกไปอยู่หลายครั้ง หมิงเวยก็ได้ยินอีกฝ่ายพูดอีกครั้งว่า “เหมือนฝัน…หลิงหลงร้องเพลงเหมือนฝัน…”

“หลิงหลง คือชื่อของท่านงั้นหรือ”

“ไม่รู้…” นางหลับตาแล้วร้องเพลงเสียงเบาบทเพลงนั้นมีนามว่าเหมือนฝัน

…………