บทที่ 203 สำนัก

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 203 สำนัก

ละอองหิมะปกคลุมต้นไม้ใหญ่ เกล็ดหิมะมากมายเกาะใต้ต้นไม้หยาบใหญ่ เหมือนกับพิณหลายคัน

ลู่เซิ่งนั่งในรถเทียมวัว ตรงหน้าวางเตาถ่านเล็กจิ๋ว ความร้อนที่มันปล่อยออกมาทำให้พื้นที่เล็กๆ ในตัวรถอบอุ่น

เขาใส่เสื้อคลุมสีดำ มัดผมด้วยผ้าสีดำ ข้อมือสวมสร้อยไข่มุกสีทองเข้มเส้นหนึ่ง

สตรีกางร่มนั่งอยู่ด้านหน้าเขา กำลังจิบนมร้อนถ้วยหนึ่งในมือช้าๆ

ตอนนี้นางอยู่ในสภาพอิงอิง สมควรบอกว่าในระยะนี้นางอยู่ในสภาพที่อิงอิงควบคุมร่างตลอด หงฟางไป๋คล้ายละทิ้งการแลกเปลี่ยนกับลู่เซิ่ง ไม่ยอมโผล่หน้ามาอีก เวลามีเรื่องอะไรก็ให้อิงอิงบอกแทน

ลู่เซิ่งยกชานมขึ้นจิบเบาๆ จากนั้นหันไปมองนอกหน้าต่างรถ

เห็นละอองหิมะที่ล่องลอยตกโปรยปรายผ่านม่านหน้าต่าง ล้อรถกับรองเท้าคนจมในหิมะ ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด

“ออกจากแดนเหนือมาห้าวันแล้ว ภัยหิมะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกที” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ

เขาออกจากแดนเหนือในครั้งนี้ นอกจากสตรีกางร่มแล้ว ก็พามาแค่สวีชุยกับนิ่งซาน เขาใช้คนสนิทสองคนนี้จนชิน สั่งอะไรไปก็สะดวกสบาย

ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นองครักษ์ใกล้ชิดกับหญิงรับใช้ ทั้งขบวนมีทั้งหมดสิบกว่าคน รถสี่คันมีม้าหลายตัว สำหรับชื่อเสียงของยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ สภาพแบบนี้ไม่ได้ใหญ่โตนัก

เขาวางแผนไว้ว่าจะไม่แจ้งซั่งหยางจิ่วหลี่ เดินทางไปจงหยวนด้วยตัวเองก่อน

“จงหยวนกับแดนเหนือมีระยะห่างเท่าไหร่กันแน่ อิงอิงเจ้าทราบหรือไม่” ลู่เซิ่งถามเบาๆ

อิงอิงหยิบกระดาษพู่กันออกมาเขียน แล้วชูขึ้น

‘จงหยวนเป็นแม่น้ำใหญ่ แดนเหนือเป็นบ่อน้ำ ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากร จำนวนคน ยอดฝีมือ หรือปราการเมือง ล้วนแตกต่างอย่างใหญ่หลวง”

“ใหญ่ขนาดนี้เชียว” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว “หมายความว่ามียอดฝีมือมากมายเหมือนกัน ระดับหงฟางไป๋มีกี่คน เจ้ารู้หรือไม่”

อิงอิงส่ายหน้า ลบทิ้งอย่างรวดเร็ว แล้วเขียนใหม่

‘แม้ท่านพี่มีพลังแข็งแกร่งมาก แต่ถ้าอยู่อยู่ในจงหยวน เปรียบเทียบกับเก้าตระกูลจงหวน ท่านพี่จะเทียบได้กับผู้สืบทอดประมุขตระกูลที่อ่อนแอเล็กน้อย กระนั้นเก้าตระกูลจงหยวนก็มีศักยภาพแข็งแกร่งมาก ประมุขตระกูลไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นแค่คนดูแลเท่านั้น’

“อย่างนี้นี่เอง…” ลู่เซิ่งเข้าใจพอประมาณแล้ว พลังของตนแข็งแกร่งกว่าหงฟางไป๋ในตอนนั้นหนึ่งเท่า ทว่าไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนัก ยังคงอยู่ในขอบเขตสามขั้นต่ำหรือสามขั้นกลาง ในเก้าขั้นของระดับอสรพิษมีระยะการแบ่งระดับห่างกันมาก พลังระหว่างบน กลาง ล่าง แตกต่างกันมหาศาล

ยากจะบอกได้ว่าเหนือกว่าระดับอสรพิษเก้าเศียรมีระดับอะไรที่แข็งแกร่งกว่า

‘ดูเหมือนจะต้องซ่อนตัวให้ดี…’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย

เต๊ง… เต๊ง… เต๊ง…

ทันใดนั้นในพายุหิมะที่ไกลออกไป แว่วเสียงเคาะโลหะหลายครั้ง

ลู่เซิ่งเลิกม่านรถออกมองไปด้านหน้า มองเห็นผ่านพายุหิมะที่ปกคลุมทั่วฟ้าว่า ขวามือของเส้นทางมีขบวนรถขบวนหนึ่งหยุดอยู่ คนด้านในขบวนกำลังถือฆ้องทองแดงพลางเคาะอย่างแรง

“เกิดอะไรขึ้น” ด้านนอกแว่วเสียงถามของสวีชุย จากนั้นก็มีองครักษ์ใกล้ชิดเข้าไปสอบถาม

รถเทียมวัวเคลื่อนผ่านไปจากด้านข้างขบวนรถขบวนนี้

ไม่นานองครักษ์ใกล้ชิดที่ไปถามก็กลับมารายงานสถานการณ์ให้สวีชุยกับนิ่งซานฟังด้วยเสียงแผ่วเบา หลังนิ่งซานทราบ ก็ลงจากรถม้า มาถึงด้านนอกรถเทียมวัวที่ลู่เซิ่งนั่งอยู่

“คุณชาย มีขบวนรถขบวนหนึ่งจะไปจงหยวนเหมือนกัน เพลารถเกิดหักกลางทาง อยากจะอาศัยขบวนของพวกเราไปยังเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดด้วย พวกเขาบอกว่าตัวเองเป็นคนในเมืองหิรัญ ยินดีจ่ายค่าโดยสารตอบแทน”

“อ้อ?” ลู่เซิ่งมองขบวนรถขบวนนั้น ม้าไม่กี่ตัวลากรถสองคัน รอบๆ มีคนแบกสัมภาระและพกอาวุธ ปกป้องเด็กและสตรีสองสามคนที่กางร่มอยู่ตรงกลาง

“ให้พวกเขาขึ้นรถคันที่ว่าง” รอบนี้ลู่เซิ่งไปจงหยวน ได้ปลอมตัวเป็นคุณชายบ้านรวยที่มุ่งหน้าไปแสวงหาความรู้ นับว่าแสดงเป็นตัวเอง ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกมองออก

เวลาไม่ลงมือ ลู่เซิ่งความจริงมีนิสัยอ่อนโยน ถ้าหากไม่ส่งผลต่อสถานการณ์ของตัวเอง เขาก็ยินดีลงมือช่วยเหลือคนอื่นๆ เพื่อความสบายใจ

“ขอบคุณท่านเจ้าบ้านด้วย” ไกลออกไป ลู่เซิ่งเห็นชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งในขบวนรถขบวนนั้นประสานมือให้ตน

เขาพยักหน้าให้น้อยๆ แล้วปล่อยม่านรถลง เรื่องหยุมหยิมเหล่านี้มีสวีชุยกับนิ่งซานจัดการ ด้วยความสามารถของคนทั้งสอง สามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างสบายๆ

ขบวนรถมุ่งหน้าต่อไป ขบวนคนกลุ่มนั้นเข้าร่วมขบวนรถลู่เซิ่ง ติดตามอยู่ด้านหลังสุดอย่างไม่เร็วไม่ช้า

พอถึงยามกลางอู่ พายุหิมะก็เบาลงมาก เริ่มเห็นแอ่งน้ำขนาดต่างๆ ได้บนพื้น พื้นผิวยังมีชั้นน้ำแข็งบางๆ คลุมอยู่ ไม่ใช่พื้นหิมะสีขาวอีกต่อไป

พวกข้ารับใช้เริ่มก่อกองไฟ สถานที่ที่เลือกตั้งค่ายคือใกล้ด้านหลังเนินเล็กๆ ข้างป่า ป้องกันลมหนาวได้ด้านหนึ่ง

ขบวนรถสองขบวนก่อไฟทำอาหารบนถนนกลางป่าหิมะผืนใหญ่ในฟ้าน้ำแข็งดินหิมะ

ลู่เซิ่งลงจากรถ นั่งลงข้างกองไฟ สวีชุยรับหน้าที่ลาดตระเวนระวังภัย นิ่งซานจัดการเรื่องราวน้อยใหญ่

สตรีสูงศักดิ์ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในขบวนรถขบวนนั้นนั่งลงพร้อมกับเด็กผู้หญิงสองคนหนึ่งเล็กหนึ่งโต หัวหน้าองครักษ์ที่ติดตามอยู่ข้างพวกนาง เป็นชายฉกรรจ์ร่างล่ำสันที่ประสานมือก่อนหน้านี้

สตรีสูงศักดิ์มีใบหน้างามเลิศ ดูเหมือนจะเพิ่งแต่งงานไม่นาน อายุราวสามสิบปี เสื้อตัวใหญ่สีม่วงอ่อนห่อร่างไว้อย่างมิดชิด คิ้วดั่งหลิว ตาโตปากน้อย นับว่าเป็นสตรีในเมืองริมน้ำตามมาตรฐาน

เด็กหญิงสองคนที่อยู่ข้างๆ นาง คนโตอายุสิบสามสิบสี่ปี คนเล็กอายุแค่เจ็ดแปดปี สวมเสื้อตัวใหญ่สีขาวหิมะ จ้องมองลู่เซิ่งอย่างสงสัย

เด็กหญิงคนเล็กหน้าตาเหมือนสลักเสลาจากหยก ค่อนข้างน่ารัก ไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย ถูกมารดานางโอบไว้ด้านหน้า อังไฟเพิ่มความอบอุ่นอยู่เงียบๆ

“ขอบคุณคุณชายที่มีน้ำใจช่วยเหลือ ข้าน้อยจางหรงซื่อ ออกมากราบไหว้ผู้อาวุโสในบ้านพอดี นึกไม่ถึงว่าเพลารถจะหักระหว่างทาง เคราะห์ดีที่เจอคุณชายผ่านทางมา มิฉะนั้นในสถานที่กันดารแบบนี้ ยังไม่รู้ว่าจะเจอคนเมื่อไหร่” สตรีสูงศักดิ์ขอบคุณลู่เซิ่งอย่างอ่อนโยนจริงใจ

“เกรงใจไปแล้ว ที่แล้วมาถนนเส้นนี้ก็ปลอดภัย เป็นเส้นทางค้าขายที่มีคนคอยรักษาความปลอดภัยอยู่ ทุกๆ ระยะเวลาหนึ่งจะมีขบวนลาดตระเวนผ่านทาง ต่อให้ไม่เจอข้า อีกเดี๋ยวก็จะเจอคนอื่นๆ อยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นพวกท่านยังให้ค่าตอบแทน ไม่ต้องเกรงใจไป” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม

น้ำแกงเนื้อบนกองไฟต้มเสร็จพอดี ข้ารับใช้รีบเข้ามาใส่ต้นหอมซอย และหน่อไม้แห้งที่ลวกสุกแล้วเป็นเครื่องปรุง จากนั้นตัดแป้งเปี๊ยะหน้าผักที่เตรียมไว้ออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วใส่เข้าไป กลายเป็นต้มเนื้อใส่แป้งเปี๊ยะที่มีกลิ่นหอมหม้อใหญ่

ลู่เซิ่งเห็นเด็กหญิงข้างๆ ถือขนมเปี๊ยะไส้เนื้อในมือ “ถ้าไม่ว่าอะไร กินด้วยกันสักชามดีหรือไม่” เขายิ้มพร้อมเชื้อเชิญ

คนพวกนี้มาจากจงหยวนพอดี อาจทำความเข้าใจกับสถานการณ์ส่วนหนึ่งของจงหยวนจากพวกนางได้ แม้เขาจะถามสถานการณ์บางส่วนจากพลพรรคที่เคยไปจงหยวนมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ครบทุกด้าน

“ขอบคุณๆ ไม่ต้องแล้ว พวกเรากินมาแล้ว…” จางหรงซื่อโบกมือติดต่อกัน แต่ไม่รอให้นางพูดจบ เด็กหญิงก็รับเปี๊ยะต้มชามหนึ่งไป แล้วเริ่มใช้ตะเกียบคีบกิน

จางหรงซื่อเห็นดังนั้นก็ประดักประเดิดเล็กน้อย ได้แต่ถอนใจอย่างจนปัญญา

กล่าวไปตระกูลจางที่นางแต่งเข้าก็มีร้านค้าที่โด่งดังด้านแพรพรรณในเมืองหิรัญ กิจการใหญ่โต ครอบครัวบางคนก็เป็นขุนนาง บางคนก็ออกท่องยุทธภพ นับว่าโดดเด่นทุกด้าน

นางในฐานะนายหญิง เดิมใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายไร้กังวล เพียงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ทำให้นางปวดหัวอยู่บ้าง

กิจการแพรพรรณของตระกูลจางถูกคู่แข่งจากต่างเมืองกดดัน ติดอยู่ในคอขวด ที่บ้านคิดหาวิธีหมดสิ้นแล้ว สุดท้ายจำเป็นต้องใช้วิธีแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์

เพราะการแต่งงานของจางหรงซื่อเป็นการแต่งเชื่อมสัมพันธ์ นางจึงจงเกลียดจงชัง ดังนั้นเลยอ้างว่าจะไปกราบไหว้บรรพบุรุษเพื่อออกจากบ้าน พาบุตรีออกมาผ่อนคลายจิตใจ

บุตรีคนโตจางรั่วหนิงเป็นนางให้กำเนิดตอนอายุยังน้อย ปัจจุบันอายุสิบสี่ปีแล้ว ใบหน้าบริสุทธิ์งดงาม สะโพกผายเอวกิ่ว อายุยังน้อยก็มีความยั่วยวนชวนลุ่มหลง สองขาเรียวยาว ยามประกบกันไม่มีร่องแยก

ก่อนหน้านี้จางหรงซื่อได้ยินข่าวแว่วมาว่า ผู้อาวุโสในบ้านถูกใจบุตรีคนโตคนนี้ คิดจะใช้เป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับแต่งงานเพื่อแลกเปลี่ยนการร่วมมือ เชื่อมสัมพันธ์

หลังจากทราบเรื่องนี้ นางก็คิดเรื่องแต่งงานของบุตรีออกไปทันที ต้องหาคนดีๆ ให้บุตรีก่อนที่ที่บ้านจะเริ่มดำเนินการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ หลีกเลี่ยงไม่ให้นางต้องเจอโศกนาฏกรรมเหมือนตน

ดังนั้นจึงเกิดการเดินทางบนแดนเหนือในครั้งนี้

เพียงแต่คาดไม่ถึงว่า เพลารถจะเกิดปัญหาระหว่างกลับมาจากการกราบไหว้บรรพบุรุษ

ตอนนี้จางหรงซื่อนั่งข้างกองไฟ พิจารณาดูลู่เซิ่งอย่างละเอียด เป็นคนหนุ่มที่ดูอ่อนโยนและหล่อเหลา คล้ายมีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา ดูจากขบวนรถและบริวารต่างมีสภาวะ ไม่เหมือนครอบครัวคนทั่วไป

ในใจนางมีความคิดจะหยั่งเชิงแล้ว

จางหรงซื่ออาศัยจังหวะบุตรีดื่มน้ำแกงเนื้อ แสร้งถามลอยๆ ว่า “ไม่ทราบว่าครั้งนี้คุณชายไปจงหยวนเพราะแสวงหาความรู้หรือเยี่ยมญาติ บนเส้นทางนี้แค่การเดินทางอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือน ไม่ใช่เรื่องสะดวกเลย”

“แสวงหาความรู้” ลู่เซิ่งตอบตรงๆ “ไม่ทราบตอนนี้จงหยวนมีสถานการณ์อย่างไร ที่ที่ข้าต้องการไปคือเมืองกระดิ่งขาว”

“เมืองกระดิ่งขาวหรือ บังเอิญนัก ข้าก็เป็นคนมาจากเมืองกระดิ่งขาวเช่นกัน ในหนึ่งร้อยเมืองของจงหยวน เมืองกระดิ่งขาวจัดอยู่ในอันดับสิบ คุณชายไปแสวงหาความรู้ที่สถาบันกระดิ่งขาวหรือ” จางหรงซื่อถามด้วยรอยยิ้ม

“ถูกต้อง แต่ข้าเป็นคนต่างถิ่นไม่คุ้นชิน จึงไม่สบายใจอยู่บ้าง” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เช่นนั้นฮูหยินลองเล่าสถานการณ์ของเมืองกระดิ่งขาวให้ข้าฟังได้หรือไม่”

“ย่อมได้อยู่แล้ว” จางหรงซื่อตอบรับอย่างยินดี

ทั้งสองคนทำความรู้จักกันและกัน ขณะพักผ่อนระหว่างทาง ลู่เซิ่งได้ทราบคร่าวๆ ว่าเมืองธรรมดาในจงหยวนมีสถานการณ์อย่างไร

ผิดกับที่เขาคิดเอาไว้ จงหยวนเจริญรุ่งเรือง เมืองกระดิ่งขาวไม่ต่างจากเมืองเลียบคีรีมากนัก ที่เหลือยังมีเมืองใหญ่มากมายที่เจริญยิ่งกว่า

กองทัพเทพพยัคฆ์นับสิบหมื่นของราชวงศ์สะกดร้อยเมืองไว้ เมืองแต่ละเมืองมีตระกูลขุนนางที่มีขนาดใหญ่โตตระกูลหนึ่งปกครอง

นี่แตกต่างจากแดนเหนือ ที่จงหยวน ตระกูลขุนนางมีตัวแทนของใครของมัน ขุมกำลังยิ่งใหญ่มโหฬาร

ลู่เซิ่งสืบทราบสถานการณ์ของตระกูลซั่งหยางได้อย่างง่ายดายยิ่ง ในสายตามนุษย์ปุถุชนตระกูลซั่งหยางเป็นสมาชิกของตระกูลเก่าแก่ แต่ไม่มีความพิเศษแต่อย่างใด ไม่ต่างจากครอบครัวใหญ่ๆ ที่ทำกิจการทั่วไป

จางหรงซื่อก็ยินดีที่ได้ทำความรู้จักกับลู่เซิ่ง ทั้งสองหนึ่งถามหนึ่งตอบเป็นการฆ่าเวลา ไม่นานก็ผ่านไปหลายวัน

ข้ามผ่านทุ่งหิมะผืนใหญ่ ป่าไม้เริ่มมืดสลัว ละอองหิมะเล็กละเอียดกระจัดกระจายเกาะเต็มป่าเหมือนกับผ้าขาวหลายผืน

ขบวนรถเดินทางโดยสวัสดิภาพ ในที่สุดก็ถึงด่านแรก ด่านศรัทธารุ่งโรจน์

หลังมาถึงที่นี่ จางหรงซื่อก็ไม่ต้องให้ลู่เซิ่งอารักขาไปส่งอีก ไปหาร้านค้าของตระกูลจางที่อยู่ที่นี่แล้ว ใช้เงินจ้างรถเทียมวัวคันใหม่ ก่อนจากไปเอง

ทว่าก่อนจากไป นางทิ้งที่อยู่ให้ลู่เซิ่งไว้ ใช้จดหมายติดต่อได้

ถึงตอนคุยกันจะทราบแล้วว่าลู่เซิ่งแต่งงานไปแล้ว กระนั้นดูเหมือนจางหรงซื่อจะไม่สนใจ ยึดถือลู่เซิ่งเป็นคู่รักที่เตรียมไว้ให้บุตรี

หลังแยกกับจางหรงซื่อ ลู่เซิ่งก็ผ่านด่านศรัทธารุ่งโรจน์ ถนนต่อจากนั้นกว้างขวางสะดวกสบายกว่าเดิม ความเร็วจึงเพิ่มมากขึ้น

ใช้เวลาแค่ห้าวัน ขบวนรถก็ไปถึงจุดหมายปลายทาง เมืองกระดิ่งขาว

คนที่ซั่งหยางจิ่วหลี่จัดไว้ ก็มารออยู่ที่นี่นานแล้ว

……………………………………….