บทที่ 204 มารกำเนิด

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 204 มารกำเนิด

โรงเตี๊ยมโบยบิน

“พี่ลู่เชิญนั่ง” บุรุษหนุ่มอ่อนเยาว์สง่างาม แข็งแรงกำยำที่ผิวดำคล้ำคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านข้างโต๊ะสุราในห้องส่วนตัว

เขามองลู่เซิ่งที่เข้าประตูมา ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มจางๆ

“ข้าคือเฉินเฉวียนซงคนที่ใต้เท้าจิ่วหลี่จัดให้มารับใช้ท่านที่นี่ และเป็นหนึ่งในคนดูแลของตระกูลซั่งหยางในเมืองกระดิ่งขาว วันหน้าท่านมีเรื่องอะไร สามารถติดต่อขุมกำลังของตระกูลในพื้นที่ผ่านข้าได้โดยตรง”

“ที่แท้เป็นพี่เฉิน! ยินดีที่ได้พบ!” ลู่เซิ่งเข้ามาเพียงลำพัง ด้านข้างมีหญิงสาวช่วยลากเก้าอี้มาให้เขานั่งลง

พอเข้าเมืองกระดิ่งขาว บริวารของตระกูลซั่งหยางที่มารออยู่นานแล้วก็นำทางลู่เซิ่งมาที่นี่ทันที

“ตอนนี้ใต้เท้าจิ่วหลี่สบายดีหรือไม่” ลู่เซิ่งถามพอเป็นพิธี เขาให้ตระกูลซั่งหยางแบกรับหม้อก้นดำในแดนเหนือไม่น้อย บางทีซั่งหยางจิ่วหลี่อาจจะได้รับผลกระทบไปด้วย

“ทุกอย่างเรียบร้อยดี ตอนนี้ใต้เท้ากำลังตั้งใจชุบหลอมตนเอง ปิดด่านฝึกฝนอย่างหนัก จะไม่ออกมาในเวลาสั้นๆ ที่สั่งให้ข้าน้อยมารับใช้พี่ลู่ในตอนนี้ได้ ถือว่าเป็นการปฏิบัติที่สุดยอดมากแล้ว! น่าอิจฉาเสียจริง!” เฉินเฉวียนซงเป็นหนึ่งในแม่ทัพหลายๆ คนที่อยู่ในจงหยวนของซั่งหยางจิ่วหลี่ ในฐานะฝ่ายจงหยวน พอเขาได้ยินมาว่าใต้เท้าจิ่วหลี่สร้างขุมกำลังใหญ่โตที่แดนเหนือ พลันเกิดความคิดระวังตัว

เดิมทีพวกเขาเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวในสังกัดของซั่งหยางจิ่วหลี่ หลายๆ ครั้งจำเป็นต้องใช้พวกเขา ทว่าปัจจุบันมีสาขาแดนเหนือเพิ่มขึ้นมา นี่ทำให้พวกเฉินเฉวียนซงรู้สึกถึงวิกฤติการณ์

ลู่เซิ่งมองความคิดของอีกฝ่ายออกเช่นกัน

ในสายตาของอีกฝ่าย ขุมกำลังในแดนเหนือของเขาความจริงเป็นของซั่งหยางจิ่วหลี่ หมายความว่าปัจจุบันเขาเป็นขุนพลแห่งสาขาแดนเหนือในสังกัดของซั่งหยางจิ่วหลี่ เบื้องหลังเป็นตัวแทนฝ่ายแดนเหนือทั้งหมด เป็นคนละทัพกับคนประจำสาขาจงหยวนเหล่านี้

“พี่เฉินไม่จำเป็นต้องเอ่ยมากความ ผู้แซ่ลู่เดินทางมาที่นี่เพื่อแสวงหาความรู้ เรื่องอื่นๆ ไม่สนใจ” ลู่เซิ่งอธิบายด้วยรอยยิ้ม

เขาไม่สนใจพวกปากหวานก้นเปรี้ยวในสังกัดซั่งหยางจิ่วหลี่เหล่านี้

“ดังนั้นรีบจัดการให้ข้าเข้าเรียนโดยเร็วที่สุดเถอะ”

คำพูดนี้แสดงความคิดของตัวเองออกมาแล้วว่า เขาไม่ได้มาแย่งชิงอำนาจ ซั่งหยางจิ่วหลี่ไม่ได้เรียกเขามาสะกดพวกเขา เพราะไม่พอใจพวกเฉินเฉวียนซง ลู่เซิ่งมาเพื่อแสวงหาความรู้เพื่อเรียนต่ออย่างเดียว

พอเข้าใจความต้องการของลู่เซิ่ง เฉินเฉวียนซงก็มองเขาอย่างล้ำลึก

“ก็ดี ตามการสั่งการของใต้เท้าจิ่วหลี่ นี่มีรายชื่อชุดหนึ่ง เป็นสถานที่ที่พี่ลู่เลือกเข้าร่วมได้ตามใจ พวกเราจัดให้ท่านเข้าร่วมสำนักเหล่านี้ได้ทั้งหมด” เขาพูดพลางหยิบม้วนหนังสีขาวเทาม้วนหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ

ลู่เซิ่งรับมาเปิดดู

ม้วนหนังเขียนรายชื่อสำนักต่างๆที่สังกัดร้อยเส้นสายไว้แน่นขนัดไปหมด ทั้งหมดเป็นสำนักที่มีขนาดแตกต่างกัน ด้านหลังยังมีคำอธิบายเล็กๆ บอกว่าแต่ละสำนักเชี่ยวชาญเรื่องอะไร

“ถึงจะยังไม่ใช่เวลารับสมัครทดสอบ แต่ด้วยชื่อเสียงของใต้เท้าจิ่วหลี่ เรื่องแค่นี้จัดการให้ได้ พี่ลู่กลับไปค่อยๆ ดูก่อน ไม่ต้องรีบ” เฉินเฉวียนซงเตือน

“ได้” ลู่เซิ่งพยักหน้า

ทั้งสองคนไม่พูดเรื่องอื่นอีก แต่คุยกันเรื่องผู้คนและวัฒนธรรมในแดนเหนือต่างจากจงหยวนอย่างไร จากนั้นก็พูดกันเรื่องดินฟ้าอากาศ

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจากไป เฉินเฉวียนซงลอบยัดเหรียญสีดำถุงเล็กๆ ถุงหนึ่งให้ลู่เซิ่ง

นี่เป็นเหรียญพิเศษที่ใช้กันในหมู่ตระกูลขุนนาง ปกติแล้วเวลาแลกเปลี่ยนของหายากจะไม่ใช้เงินหรือทอง หากใช้เงินดำ

เฉินเฉวียนซงเอาใจใส่ดี จัดหาคฤหาสน์แห่งหนึ่งให้ลู่เซิ่ง อยู่ในตัวเมือง เห็นหอคอยพันเทพที่สูงจนถึงเมฆซึ่งอยู่ด้านนอกได้ผ่านหน้าต่าง

หอคอยพันเทพเป็นหอสูงสามสิบสองชั้นอันงดงาม เป็นสถานที่ขึ้นชื่อของเมืองกระดิ่งขาว ด้านบนแขวนกระดิ่งสีขาวไว้มากมาย ส่งเสียงไพเราะเสนาะหูยามลมพัดใส่ เป็นการออกแบบพิเศษของราชวงศ์สำหรับขุนนางที่มีหน้าที่พยากรณ์อากาศเอาไว้สำรวจสภาพอากาศ

ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่หน้าต่าง ถือม้วนหนังแผ่นนั้นพร้อมอ่านข้อความที่บันทึกไว้ด้านในอย่างละเอียด

‘สำนักบงกชนภา: หนึ่งในสำนักสามขั้นบนของร้อยเส้นสาย เน้นฝึกวิชาลับสายพิษและลม จัดสถานะนักเรียนและเข้าเรียนได้โดยตรง กราบอาจารย์จำเป็นต้องทดสอบคุณสมบัติ’

‘สำนักผ่าบรรพตเสมอดารา: หนึ่งในสำนักสามขั้นบน เน้นฝึกวิชาลับสายดินและความเร็ว จัดสถานะนักเรียนได้ กราบอาจารย์เหมือนด้านบน’

‘สำนักแพรงาม: หนึ่งในสำนักสามขั้นกลาง ไม่เน้นฝึกสิ่งใด ร่ำเรียนทุกสิ่ง เป็นสำนักที่คนเยอะที่สุด สามารถจัดให้เป็นนักเรียนหัวกะทิ เข้าไปฝึกฝนในสถาบันได้’

ชื่อและความถนัดของสำนักถูกเขียนไว้ด้านในเป็นแถวๆ สถานะที่จัดหาให้ลู่เซิ่งได้ก็เขียนเอาไว้เช่นกัน

แต่พอลู่เซิ่งไล่อ่านดู ล้วนรู้สึกไม่พอใจนัก

ในสำนักสิบกว่าแห่ง ที่ที่เขาค่อนข้างพอใจมีแค่สองที่ คือสำนักแพรงามกับสำนักมารกำเนิด

ทั้งสองสำนักนี้ ที่หนึ่งไม่แบ่งชนชั้นการศึกษา ไม่สนใจสถานะ ขอแค่จ่ายเงิน ก็รับไว้

อีกที่หนึ่งสำนักตกต่ำ วิชาลับที่ใช้ฝึกฝนเป็นหลักหายสาบสูญ เดิมทีเป็นสำนักใหญ่ที่ศึกษาเรื่องมาร กระนั้นประสบภัยพิบัติมานาน สูญเสียงานศึกษาวิจัยมากกว่าเก้าส่วน เหลือแค่บันทึกความรู้ที่ไร้ประโยชน์ส่วนหนึ่ง

สำนักมารกำเนิดในตอนนี้มีแค่ผู้เฒ่าที่ยังไม่ตายสองสามคนประคับประคองอยู่ อีกไม่นานเกรงว่าจะเข้าร่วมร้อยเส้นสายไม่ได้ด้วยซ้ำ หลังจากคนแก่ตายหมด ก็จะเหลือแค่พื้นที่ของสำนักไว้เท่านั้น

สาเหตุที่ซั่งหยางจิ่วหลี่จัดหาสำนักแบบนี้ให้ ไม่ใช่เพื่อลู่เซิ่ง แต่เป็นเพราะผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักมารกำเนิดเคยมีบุญคุณกับนาง ปัจจุบันสำนักมารกำเนิดยากสืบทอดต่อไป ถูกสำนักฝ่ายตรงข้ามกดดันจนโงหัวไม่ขึ้น นางจึงใส่สำนักมารกำเนิดมาในรายชื่อแนะนำด้วย

ควรทราบว่ารายชื่อนี้ไม่ใช่เตรียมไว้ให้ลู่เซิ่งคนเดียว

ลู่เซิ่งอ่านกรอบของสำนักมารกำเนิดอย่างละเอียด ทิศทางการศึกษาเรื่องมารที่เขียนบอกไว้ ทำให้เขาฉงนฉงาย จนถึงตอนนี้ เขาเคยพบผี ปีศาจ ความประหลาดลี้ลับ รวมถึงตระกูลขุนนาง แต่ไม่เคยเห็นมารมาก่อน

หนำซ้ำการจัดหาสถานะที่เขียนเอาไว้ก็ทำให้เขาหวั่นไหวด้วย

‘เจ้าสำนักสั่งสอนลูกศิษย์เอง…’

‘ที่เรามาเรียนเพราะตั้งใจศึกษาตระกูลขุนนาง ทำความเข้าใจจงหยวน ไม่ได้อยากจะเรียนวิชาลับของพวกเขาจริงๆ สำนักมารกำเนิดเหมาะกับเราที่สุด เป็นเพราะสำนักทรุดโทรม ด้วยพลังและเบื้องหลังของเรา เมื่อเข้าไปแล้วจะได้รับสถานะและอิสระมากพอ พวกบันทึกความรู้ก็เป็นสิ่งที่เราอยากอ่านพอดี นอกจากนี้สิ่งที่พวกเขาศึกษายังเป็นเรื่องของมาร เหมาะจะส่งเสริมช่องว่างในด้านนี้ของเราได้พอดี” เขาใคร่ครวญพร้อมจิ้มนิ้วที่สำนักมารกำเนิด

‘เอามันนี่แหละ’

ลู่เซิ่งหันกลับมามองอิงอิงในห้อง

“ต่อจากนี้เจ้าพยายามอย่าออกไปด้านนอก ที่นี่เป็นฐานทัพใหญ่ของตระกูลขุนนาง มียอดฝีมือมากมาย คนที่เจอตอนกลางวันก็เป็นยอดฝีมือระดับพันธนาการคนหนึ่งแล้ว เก้าตระกูลจงหยวนมีพลังแข็งแกร่งขนาดไหน ข้าเองก็ไม่รู้ ถ้าสร้างปัญหา แม้แต่ข้าก็ไม่แน่ว่าจะช่วยเจ้าได้”

สตรีกางร่มพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

ลู่เซิ่งเห็นนางเข้าใจ ก็ไม่พูดอะไรอีก สายตาเลื่อนช้าๆ ไปบนหอคอยพันเทพที่สูงตระหง่าน

ตั้งแต่เขาเข้าเมืองมา ก็รู้สึกได้ว่ามีสายตาครอบคลุมฟ้าดิน ที่เดี๋ยวสูญหายเดี๋ยวปรากฏ อยู่บนหอคอยสูงสีขาวเทาที่แขวนกระดิ่งไว้นับไม่ถ้วนแห่งนั้น

สายตานั้นยิ่งใหญ่มโหฬาร สอดส่องเบื้องล่างจากบนหอคอยอย่างต่อเนื่อง การกวาดตามองแวบหนึ่งครอบคลุมพื้นที่หลายสิบหมี่ ไม่ใช่การตรวจตราจุดใดจุดหนึ่ง แต่เป็นการกวาดผ่านเป็นกลุ่มๆ

เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่กลิ่นอายนั้นแข็งแกร่งจริงๆ ไม่พูดถึงซั่งหยางจิ่วหลี่กับเขา เทียบกับเงามายาจากสิบหอกผลึกหยกปีศาจแล้ว มันยังร้ายกาจกว่ามาก เหมือนเหวลึกทะเลกว้าง

กลิ่นอายสายนั้นแม้แต่ความตื้นความลึกก็สืบดูไม่ได้

“พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าค่อยไปสำนักมารกำเนิดนี้” ลู่เซิ่งละสายตากลับมา ปิดหน้าต่าง ก่อนกล่าวเบาๆ

“อือ”

สตรีกางร่มเดินไปที่มุมกำแพงอย่างว่าง่าย ตรงนั้นมีเตียงเล็กๆ ของนางอยู่

วันที่สอง ฟ้ายังไม่สว่าง เช้าตรู่ ลู่เซิ่งพาสตรีกางร่มออกไปด้านนอก ทิ้งนิ่งซานกับสวีชุยไว้ ให้พวกเขาย้ายออกไปอยู่บ้านหลังหนึ่งซึ่งเช่าไว้แล้วในเมืองกระดิ่งขาว หลังตกแต่งเรียบร้อยก็กลายเป็นที่พักของพวกเขา

เขามาถึงโรงเตี๊ยมโบยบิน หาคนดูแลของเฉินเฉวียนซง แล้วมุ่งหน้าไปยังที่อยู่ของสำนักมารกำเนิดภายใต้การนำทางของพวกเขา

ห่างจากเมืองกระดิ่งขาวไปหนึ่งร้อยลี้ หุบเขาควันดำ

บนผืนดินสีเหลืองตุ่นเต็มไปด้วยดินแตกระแหง ทุกสิ่งแห้งเหี่ยว พืชพรรณล้มตาย

หุบเขาควันดำเหมือนรอยแผลเป็นสีดำขนาดมหึมาสายหนึ่ง หมอบนิ่งอยู่บนทุ่งราบสีเหลือง กระแสอากาศเย็นยะเยือกพัดออกมาจากด้านในอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย

บนหน้าผาด้านใน มีช่องแตกกลางหุบเขา เป็นถ้ำสีดำขนาดใหญ่

ลู่เซิ่งยืนอยู่ด้านหลังสตรีที่นำทางมา ตอนนี้เงยหน้ามองป้ายที่แขวนอยู่ด้านหน้าถ้ำ

‘ถ้ำมารกำเนิด’

แผ่นป้ายสีดำสนิทสลักคำสามคำ เขียนอย่างบรรจงสุดเปรียบปาน ดูมีพลัง

ถ้ำสูงเกือบสิบหมี่ ขณะยืนอยู่ด้านหน้า คล้ายยืนอยู่ข้างปากขนาดใหญ่ของสัตว์ยักษ์ลึกลับ อาจถูกมันกินได้ตลอดเวลา

“ที่นี่คือสำนักมารกำเนิด” สตรีนำทางยื่นมือไปหมุนถาดกลมใบหนึ่งบนหน้าผาหินข้างถ้ำ

ครืนๆ…

มีเสียงสั่นสะเทือนเบาๆ ดังออกมาจากส่วนลึกของถ้ำที่อยู่ใต้พื้น

“ที่นี่รกร้างยิ่ง ถ้าอยากจะจับจ่ายซื้อข้าวของ ต้องไปเมืองกระดิ่งขาวที่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ไม่มีเมืองอื่นๆ อีก โปรดจำเอาไว้ นอกจากนี้ คนของสำนักมารกำเนิด…” นางยังไม่ทันพูดจบ ก็หุบปากทันที

ลมเย็นพลันพัดออกมาจากปากถ้ำ บุรุษสีหน้าซีดขาว ดวงตาเป็นสีดำค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านขวาของถ้ำ มองมายังลู่เซิ่ง

“อาจารย์… ขอให้ข้ามารับศิษย์น้องที่มาใหม่” บุรุษหนุ่มผู้นี้ดูอึมครึม ไม่เหมือนมนุษย์โดยสิ้นเชิง

“พวกเจ้าคนไหนคือลู่เซิ่ง…” เสียงของเขาทุ้มต่ำ เชื่องช้า แฝงน้ำเสียงประหลาดที่พร้อมจะร้องไห้ตลอดเวลา

“ข้าเอง” ลู่เซิ่งก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง

“ข้าชื่อซ่งจื่ออัน…โปรดตามข้ามา” บุรุษผู้นั้นหมุนตัว ค่อยๆ หายไปในความมืด เดินไปยังส่วนลึกของถ้ำ

ลู่เซิ่งให้สตรีกางร่มตามสตรีนำทางกลับไป ตนเองตามซ่งจื่ออันเดินเข้าไปในถ้ำใหญ่

ในถ้ำมืดสนิท บนตัวซ่งจื่ออันที่อยู่ตรงหน้าปรากฏแสงสีเขียวอ่อนเลือนราง ส่องสว่างพื้นดินเล็กๆ

ลู่เซิ่งติดตามเขาไปด้านหน้า เท้าเหยียบหินก้อนใหญ่มากมายที่สูงต่ำไม่ราบเรียบตลอดเวลา ในความมืดมีสายน้ำไหลผ่านร่องหินส่งเสียงดังซ่าๆ

ไม่ทราบเดินมานานขนาดไหน อาจหนึ่งก้านธูป หรือครึ่งชั่วยาม อย่างน้อยก็เป็นระยะทางหลายร้อยหมี่ถึงมากกว่าพันหมี่

แกร่ก

ทันใดนั้นลู่เซิ่งเหมือนได้ยินเสียงบางอย่าง

เขาหันไปมองต้นเสียง เห็นที่ฝั่งขวาของผนังถ้ำ มีถ้ำเล็กๆ ยุบเข้าไป

เขาเห็นสตรีกระโปรงสีขาวคนหนึ่งอยู่ในถ้ำเล็ก ยืนตัวตรงอยู่กลางถ้ำตรงข้ามกับเขา สองมือถือขวานเล่มหนึ่งชี้ลงพื้น

ศีรษะของนางถูกผ้าขาวห่อพันไว้ มองไม่เห็นเครื่องหน้าและเส้นผม ยืนตัวตรงนิ่งสงบในถ้ำอยู่อย่างนั้น นางคล้ายมองเห็นลู่เซิ่ง ใบหน้าขยับเล็กน้อยตามการเคลื่อนไหวของเขา

ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่ามีกระถางใบหนึ่งวางอยู่ด้านข้างนาง ที่ขอบเหมือนมีรอยเลือดสีแดงอยู่

“นั่นคือ…หน้าขาว…ตามศักดิ์แล้ว สมควรเป็นศิษย์พี่ของเจ้า…” ซ่งจื่ออันเอ่ยกระซิบ

ลู่เซิ่งละสายตาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ หลังจากเดินไปด้านหน้าอีกสักระยะ เขาก็พลันหันไปมองสตรีนางนั้นอีกรอบ

เห็นสตรีนางนั้นยังมองเขาโดยไม่ขยับเขยื้อนอยู่ไกลๆ

ทั้งๆ ที่ศีรษะนางถูกผ้าขาวมัดไว้แน่น แม้แต่หายใจยังลำบาก ยิ่งอย่าว่าแต่สายตานั้น กระนั้นลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายยังคงมองเขาอยู่

“นางชอบที่มีคนใหม่มา…เดี๋ยวก็ชินไปเอง” ซ่งจื่ออันกล่าวเสียงต่ำ

“อย่างนั้นหรือ” ลู่เซิ่งไม่พูดอะไรอีก สำนักมารกำเนิดนี้เหมือนจะแตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้

………………………………………