ใบหน้าสวยงามของอวี้หลานซีเปื้อนไปด้วยความเย็นยะเยือก “เหลิ่งรั่วปิง เธอตาบอดแล้ว ไม่คู่ควรกับเยี่ยเลยสักนิด เธอมีสิทธิ์อะไรเก็บเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย”
มุมปากเหลิ่งรั่วปิงยกยิ้มเย้ยหยัน “อวี้หลานซี เธอยังคงไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย โหยหาความรักที่ไม่มีวันได้ครอบครอง เป็นผู้หญิงที่จิตใจบิดเบี้ยว เธอจะเข้าใจได้ยังไงว่าคนรักกันเขามีความคิดยังไง” เหลิ่งรั่วปิงพูดอ้อมค้อมได้อย่างแนบเนียน คำพูดที่เธอเปล่งออกมาเย็นเฉียบราวกับคมดาบ “ไม่ใช่ฉันที่เป็นคนเก็บเขาเอาไว้ แต่เขารักฉันสุดหัวใจ เธอเข้าใจหรือเปล่า”
ถูกต้อง เหลิ่งรั่วปิงเชื่อว่าหนานกงเยี่ยรักเธอสุดหัวใจ เพราะวินาทีแห่งความเป็นความตาย เขายอมสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องเธอ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่แผ่นดินไหวแล้วเขาเอาตัวมาป้องกันเธอจากหินที่ตกลงมา หรือตอนหลังที่เขาใช้เลือดช่วยชีวิตเธอ ทั้งหมดล้วนพิสูจน์ว่าหนานกงเยี่ยรักเธอสุดหัวใจ เธอไม่มีเหตุผลในการสงสัย
“เขารักเธอสุดหัวใจ? ฮ่าๆๆ…” อวี้หลานซีหัวเราะด้วยความริษยา “ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันเชื่อ แต่ว่าตอนนี้ ฉันไม่เชื่อ เธอรู้ไหมคืนที่ถูกลอบทำร้ายในไนท์คลับเฟิ่งหวงไถ ครั้งแรกที่เยี่ยปฏิเสธความรักของฉันเขาพูดว่าอะไร”
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้พูดอะไร ขนตางอนยาวสั่นเทาเล็กน้อย ความคิดของเธอหวนย้อนกลับไป นึกถึงสิ่งที่หนานกงเยี่ยบอกกับอวี้หลานซี หนานกงเยี่ยถามอวี้หลานซีว่ารู้ไหมเขาต้องการผู้หญิงแบบไหน
มุมปากอวี้หลานซียกยิ้มเล็กน้อย เธอยิ้มได้เย็นยะเยือกและสวยงามมาก “เขาถามฉันว่ารู้หรือเปล่าผู้หญิงแบบไหนที่เขาต้องการ ฉันตอบว่าต้องเป็นผู้หญิงที่เขารักหรือไม่ก็ผู้หญิงที่รักเขา แต่เยี่ยกลับบอกว่าไม่ใช่ ผู้หญิงที่เยี่ยต้องการคือคนที่เขาไม่ต้องคอยเป็นห่วงตลอดเวลา” อวี้หลานซีแย้มยิ้มมากขึ้นกว่าเดิม “ตอนนี้เธอเป็นแค่คนตาบอด ที่ต้องให้เขาคอยเฝ้าดูแลตลอดเวลา เธอคิดว่าความอดทนของเยี่ยจะมีได้อีกนานแค่ไหน”
เหลิ่งรั่วปิงยังคงนิ่งเงียบ แต่ภายในใจของเธอเห็นด้วยกับคำพูดของอวี้หลานซี หนานกงเยี่ยไม่ใช่ผู้ชายที่ยอมหมุนรอบตัวผู้หญิงคนหนึ่งตลอดเวลา และเขาก็ไม่ต้องการเป็นกังวลเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนนี้ที่เขาคอยเฝ้าดูแลเธอตลอดเวลา นั่นเป็นเพราะเขายังรักเธอ และแน่นอนเป็นเพราะความรู้สึกผิดด้วย แต่ถ้าตาของเธอรักษาให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า เขาจะมีความอดทนนี้อยู่ไหม เธอไม่แน่ใจ
ความเป็นจริงเรื่องพวกนี้ ตอนที่เขาพาเธอไปจดทะเบียนสมรสเธอก็เคยคิดเอาไว้แล้ว เธอไม่ได้รู้สึกเสียใจ เพราะเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องการให้ผู้ชายคอยเป็นห่วงตลอดเวลา ต่อให้ตาของเธอรักษาไม่ได้ เธอก็ไม่คิดจะมีชีวิตโดยการพึ่งพิงหนานกงเยี่ย ถ้าหากเขาไม่รักเธอแล้ว เธอยังคงหันหลังให้เขาอย่างสง่างาม ไม่มีวันอยู่กับเขาต่อแม้เสี้ยวนาที
แต่ตอนนี้ เธอไม่มีวันไปจากเขา เพราะเขารักเธอสุดหัวใจ และตอนนี้เธอก็ไม่ได้รู้สึกหวั่นใจ ในเมื่อเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว เธอควรที่จะมอบความจริงใจให้เขา หากวันข้างหน้าหมดรักแล้ว เธอเองก็มีทางเลือกที่จะไม่รัก
อวี้หลานซี “เหลิ่งรั่วปิง ตอนนี้เธอไม่คู่ควรกับเยี่ยแม้แต่น้อย แต่กลับยื้อเขาเอาไว้ เธอมันสมควรตาย!”
เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะเย้ยหยัน “อวี้หลานซี ต่อให้วันข้างหน้าคุณหนานกงเยี่ยจะหมดความอดทนกับฉัน หมดรักฉัน แต่เขาไม่มีวันรักเธอ เธอมีอะไรให้ได้ใจ”
แววตาอวี้หลานซีฉายความเหี้ยมเกรียม “เป็นเพราะเธอ ฉันถึงสูญเสียเยี่ยไป ถ้าไม่มีเธอ เยี่ยจะดีกับฉันตลอดไป ดังนั้นฉันจะต้องฆ่าเธอให้ได้!”
หูของเหลิ่งรั่วปิงกระดิกสองครั้ง คิ้วสวยขมวดเล็กน้อย เธอรับรู้ได้ว่าอวี้หลานซีกำลังทำอะไรบางอย่าง “อวี้หลานซี เธอคิดจะทำอะไร” แววตาฉายความดุดันขึ้นมากะทันหัน “ฉันจำได้ว่าฉันเคยเตือนเธอแล้ว ถึงแม้ฉันจะมองไม่เห็น แต่ฉันเอาชีวิตเธอได้ตลอดเวลา!”
“ฮ่าๆๆ…” อวี้หลานซีหัวเราะเสียงใสกว่าทุกครั้ง “ฉันรู้ว่าเธอเชี่ยวชาญการใช้มีดบิน ดังนั้นฉันจึงเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ฉันใส่เสื้อเกราะกันกระสุน ฉันยังสวมที่ป้องกันคอและหมวกกันน็อค เธอไม่เห็นละสิ ฮ่าๆ ในมือฉันมีปืน ฉันฝึกการยิงปืนจนแม่นแล้ว วันนี้ฉันจะทำให้เธอหายไปจากโลกใบนี้!”
ความเกลียดแค้นของอวี้หลานซีในตอนนี้ เหมือนวัชพืชที่กำลังงอกงามในฤดูใบไม้ผลินี้ พยายามเจริญเติบโตขึ้นมาจากผืนดิน ครอบครองพื้นที่รกร้างทั้งหมด อวี้หลานซีโยนความโชคร้ายทั้งหมดในชีวิต ให้กับเหลิ่งรั่วปิง คล้ายกับว่ามีเพียงแค่การฆ่าเหลิ่งรั่วปิง การสูญเสียทั้งหมดของเธอถึงจะได้รับการเซ่นไหว้
เธอยกเขียนเรียวยาวขึ้น ปลายกระบอกปืนที่เย็นเฉียบเล็งไปทางเหลิ่งรั่วปิง รังสีอาฆาตและความแค้น ปลิดปลิวไปตามลมกระทบตัวเหลิ่งรั่วปิง
เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้วเล็กน้อย การได้ยินของเธอทำให้คาดการณ์ได้ว่าอวี้หลานซีอยู่ห่างออกไปประมาณสิบเมตร ในมือของอวี้หลานซีมีปืน เธอไม่มี เธอมีแค่มีดบินหนึ่งเล่ม ถ้าเธอไม่ได้สูญเสียการมองเห็น มีดบินของเธอต้องเอาชนะกระสุนของอวี้หลานซีได้แน่นอน แต่ตอนนี้เธอสูญเสียการมองเห็น เหลิ่งรั่วปิงไม่มีความมั่นใจ เพราะฝ่ายนั้นสวมเสื้อเกราะกันกระสุน ทั้งยังมีที่หุ้มคอและหมวกกันน็อค มีดบินของเธอยากที่จะทำให้อวี้หลานซีได้รับบาดเจ็บ ในเวลาเดียวกันกับที่ทำร้ายอวี้หลานซี มีความเป็นไปได้ว่าตนอาจจะถูกยิง
อวี้หลานซีไม่เคยอยู่ในสายตาของเธอ เธอไม่อยากเอาชีวิตของตนเองไปทิ้งกับอวี้หลานซี เพราะมันไม่คุ้มค่า
ดังนั้น ขณะที่อวี้หลานซีหัวเราะเย็นยะเยือกกำลังจะยิงปืน เหลิ่งรั่วปิงถอยหลัง กระโดดลงไปในแม่น้ำที่เย็นเฉียบ กระสุนเฉียดเสื้อกันหนาวของเหลิ่งรั่วปิงพุ่งไปยังตลิ่งฝั่งตรงข้าม ไร้ร่องรอย
จ๋อม!
เสียงตกน้ำดังสนั่นทำเอานกมากมายตกใจจนบินหนี ผิวน้ำเกิดคลื่นระลอกใหญ่
ทว่ากลับไม่มีเสียงปืนของอวี้หลานซี เพราะเธอใช้ปืนเก็บเสียง
เมื่อเห็นเหลิ่งรั่วปิงตกลงไปในน้ำ อวี้หลานซีรีบวิ่งไปตรงตลิ่ง แล้วยิงอีกหลายนัด หนานกงเยี่ยในตอนนี้ เฝ้าดูแลเหลิ่งรั่วปิงตลอดเวลา นี่เป็นโอกาสที่ยากจะหาได้ เธอจะปล่อยให้เหลิ่งรั่วปิงรอดไม่ได้เด็ดขาด ถ้าวันนี้เหลิ่งรั่วปิงไม่ตาย คนที่ตายก็จะเป็นเธอแทน
จากนั้น คล้ายว่าเหลิ่งรั่วปิงหายตัวไปอย่างไรอย่างนั้น ตั้งแต่เธอตกลงไปในน้ำก็ไม่ว่ายขึ้นมาอีก จนกระทั่งระลอกคลื่นบนผิวน้ำกลับมานิ่งสงบดังเดิม เหลิ่งรั่วปิงก็ยังไม่ปรากฏตัว
อวี้หลานซีขมวดคิ้วด้วยความฉงน น้ำไม่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดง แสดงว่าเหลิ่งรั่วปิงไม่ได้ถูกยิง ทว่าถึงแม้เธอจะไม่ถูกยิง ก็ควรจะขึ้นมาหายใจได้แล้ว เพราะนี่ก็ผ่านมาเป็นเวลานาน สิ่งหนึ่งที่อวี้หลานซีไม่รู้ก็คือ เหลิ่งรั่วปิงดำน้ำเก่งมาก
อวี้หลานซีเฝ้าอยู่ตรงริมแม่น้ำนานกว่าสิบนาทีก็ยังไม่เห็นเหลิ่งรั่วปิงขึ้นมา เธอเป็นกังวลและไม่สบายใจมาก ไม่กล้าอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน จึงรีบหมุนตัวหันหลังแล้วเดินจากไป
หนานกงเยี่ยขับรถไฟฟ้ามายังที่ที่แยกจากเหลิ่งรั่วปิงเมื่อครู่ พบว่าเธอไม่อยู่ เขาจึงมองหาเธอรอบๆ ทว่าก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเหลิ่งรั่วปิง หนานกงเยี่ยเป็นกังวลใจมาก หัวใจของเขาเต้นแรง
อย่างกะทันหัน ก้มหน้าลงพบว่าบนพื้นมีรอยเท้าของเหลิ่งรั่วปิง เดินมุ่งหน้าไปทางทิศใต้เข้าไปในป่า หนานกงเยี่ยจึงรีบตามไปทันที เขาร้องเรียกชื่อเธอด้วยความกังวล “เหลิ่งรั่วปิง!”
ในป่าเต็มไปด้วยหญ้าแห้ง และใบไม้แห้งมากมาย ดังนั้นรอยเท้าของเหลิ่งรั่วปิงจึงหายไป หนานกงเยี่ยเดินเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว ร้องตะโกนเสียงดังด้วยความกระวนกระวายราวกับราชสีห์คำราม “เหลิ่งรั่วปิง!” แทบจะใช้พลังทั้งหมดที่มี
เหลิ่งรั่วปิงอยู่ใต้น้ำมาโดยตลอด เธอไม่รู้ว่าอวี้หลานซีไปหรือยัง ดังนั้นจึงไม่กล้าขึ้นมาบนผิวน้ำ เมื่อได้ยินเสียงหนานกงเยี่ย จึงรีบว่ายขึ้นมาบนผิวน้ำ สูดลมหายเฮือกใหญ่ “คุณหนานกงเยี่ย ฉันอยู่ที่นี่ค่ะ!”
เมื่อได้ยินเสียงเหลิ่งรั่วปิง หนานกงเยี่ยโล่งอก เขารีบวิ่งไปยังริมแม่น้ำ เห็นเหลิ่งรั่วปิงอยู่ในน้ำ ไม่คิดอะไรทั้งนั้น ถอดเสื้อกันหนาวแล้วกระโดดลงไปในน้ำเพื่อพาเธอขึ้นมา
น้ำในแม่น้ำต้นฤดูใบไม้ผลิหนาวเย็นมาก เหลิ่งรั่วปิงเป็นคนขี้หนาวอยู่แล้ว เวลานี้เธอหนาวสั่นราวกับใบไม้ที่ถูกลมหนาวพัดปลิว ใบหน้าซีดขาว มือและเท้าเย็นเฉียบ ริมฝีปากม่วงคล้ำ
หนานกงเยี่ยรีบคว้าเอาเสื้อกันหนาวของตนมาห่อตัวเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ พร้อมกับอุ้มเธอ “ทำไมถึงตกลงไปในแม่น้ำได้ครับ หืม”
หนานกงเยี่ยไม่คิดว่าจะมีคนมาลอบทำร้ายเหลิ่งรั่วปิง เพราะอยู่ในพื้นที่ของคฤหาสน์ตากอากาศหนานกง มีการดูแลความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด คนนอกเข้ามาไม่ได้ สำหรับอวี้หลานซี เขายิ่งคิดไม่ถึงว่าเธอจะมา เพราะในความทรงจำของเขา อวี้หลานซีเป็นเพียงผู้หญิงบอบบางที่ไม่กล้าฆ่าแม้แต่ลูกเจี๊ยบ
“ฉันไม่ทันระวังก็เลยตกลงไปค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงไม่คิดจะบอกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้หนานกงเยี่ยฟัง เพราะเธอไม่อยากอาศัยผู้ชายคนหนึ่งจัดการผู้หญิงอีกคนหนึ่ง อวี้หลานซี เธอจะแก้แค้นด้วยตนเอง
หนานกงเยี่ยทั้งปวดใจและโมโห อดไม่ได้ที่จะโมโห “ทำไมถึงไม่เชื่อฟัง วิ่งออกไปไกลแบบนี้ด้วยตนเองได้ยังไงครับ”
เหลิ่งรั่วปิงซบอยู่ในอ้อมกอดของหนานกงเยี่ย คลี่ยิ้มบางเบา “ฉันแค่อยากจะลองดูค่ะ ถ้าไม่มีคุณฉันจะมีชีวิตอยู่ได้ไหม”
หนานกงเยี่ยกระชับอ้อมกอด ภายในใจมีแต่ความเจ็บปวด “เด็กโง่ ผมเป็นสามีของคุณ คุณพึ่งพิงผมแล้วยังไงครับ ทำไมถึงไม่แก้นิสัยหัวดื้อของตัวเองสักที”
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้พูดอะไรอีก เธอซบอยู่ในอ้อมกอดหนานกงเยี่ยเงียบๆ ปล่อยให้เขาอุ้มเธอขึ้นไปบนรถไฟฟ้า จากนั้นกลับไปที่คฤหาสน์ ถูกต้อง ผู้หญิงทุกคนพึ่งพิงสามีของตนเองได้ เธอเองก็พึ่งพิงหนานกงเยี่ยได้ ทว่าเป็นอย่างที่อวี้หลานซีพูด ความอดทนของเขาจะคงอยู่ได้อีกนานเท่าไร ถ้าวันหนึ่งเธอทิ้งชีวิตของตนเองไปโดยสิ้นเชิง เช่นนั้นวันหนึ่งที่เขาทิ้งเธอ เธอก็จะกลายเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารที่สุดในโลก
กลับมาถึงคฤหาสน์ หนานกงเยี่ยพาเหลิ่งรั่วปิงขึ้นไปบนห้องนอนชั้นสอง เขารีบถอดเสื้อผ้าเธอทิ้ง แล้วอุ้มเธอลงในอ่างอาบน้ำ
น้ำอุ่นๆ โอบล้อมเธอเอาไว้ ทำให้เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกอุ่นขึ้นมา สีหน้าของเธอกลับมามีเลือดฝาดอีกครั้ง
หนานกงเยี่ยสระผมให้เธอด้วยความใส่ใจ อุ้มเธอออกมาจากอ่างอาบน้ำ เช็ดตัวให้แห้ง วางเหลิ่งรั่วปิงลงบนเตียง นำผ้าห่มมาพันตัวเธอเอาไว้ แล้วใช้ไดร์เป่าผมให้เธอ
เหลิ่งรั่วปิงนั่งเงียบมาโดยตลอด เงียบสงบราวกับวัชพืชที่พยายามเจริญเติบโตท่ามกลางลมในฤดูใบไม้ผลิ
ตั้งแต่เหลิ่งรั่วปิงสูญเสียการมองเห็น หนานกงเยี่ยคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเธอ ครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ อารมณ์ของเหลิ่งรั่วปิงเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อย เขาก็รับรู้ได้
เป่าผมจนแห้ง หนานกงเยี่ยสวมกอดเหลิ่งรั่วปิงจากด้านหลัง เอาคางเกยไว้บนหัวไหล่ของเธอ ใบหน้าแนบชิบกับแก้มเนียน “เมียจ๋า คุณโทษผมหรือเปล่า”
เหลิ่งรั่วปิงหยุดชะงัก ขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มอ่อนๆ “ฉันจะโทษอะไรคุณคะ”
“เป็นความผิดของผม ที่ดูแลคุณได้ไม่ดี” ตอนแผ่นดินไหวเขาไม่ได้ดูแลเธอดีพอ ทำให้เธอสูญเสียการมองเห็น และตอนนี้เขาก็ยังคงดูแลเธอได้ไม่ดีพอ ทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย ความรู้สึกผิดของหนานกงเยี่ย ราวกับน้ำที่พลุ่งพล่านออกมา เอ่อล้นอยู่เต็มหัวใจของเขา ทำให้เขาทรมานมาก