“ไม่ครับ ผมไม่มีความคิดแบบนั้นครับ” อาเธอร์ไม่รู้สึกคับแค้นใจจริงๆ เขารู้ดีแก่ใจ สิ่งที่ซือคงอวี้ลงโทษเขาถือว่าเบามากแล้ว ถ้าเป็นคนอื่นๆ ในวิหารทำความผิดนี้ ซือคงอวี้ต้องไม่ลงโทษแค่นี้แน่นอน
ซือคงอวี้ถอนสายตากลับ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ตอนนี้ฉันมีภารกิจสำคัญจะให้นายทำ นายยินดีที่จะทำเพื่อชดเชยความผิดไหม”
อาเธอร์รีบลุกขึ้นพร้อมกับโค้งตัวลง “เจ้าวิหารเชิญมอบหมายมาได้เลยครับ นอกจากเรื่องของรั่วปิงแล้ว ผมจงรักภักดีต่อเจ้าวิหารเพียงคนเดียวครับ”
“ดีมาก” ซือคงอวี้พยักหน้า “นายไปประเทศเอ้าตูลอบฆ่าคนคนหนึ่ง…”
ซือคงอวี้ชำเลืองมองอาเธอร์ เพื่อสังเกตสีหน้าของเขา ความรู้สึกที่อาเธอร์มีต่อเหลิ่งรั่วปิงลึกซึ้งมาก ไซ่ตี้จวิ้นเป็นคนที่เหลิ่งรั่วปิงให้ความสำคัญ เช่นนั้นอาเธอร์จะยอมทำภารกิจนี้ไหม
“ใครครับ” ความเป็นจริงอาเธอร์เดาออกแล้วว่าเป็นใคร
“ไซ่ตี้จวิ้น” ซือคงอวี้พูดด้วยเสียงเย็นเฉียบ ชื่อนี้ทำให้เขาคิดทบทวนมานานหลายปีแล้ว
ความเป็นจริงเขาคิดอยากจะกำจัดไซ่ตี้จวิ้นนานแล้ว เหลิ่งรั่วปิงเป็นเพียงชนวนหนึ่งเท่านั้น ตระกูลไซ่อยู่ในโลกธุรกิจมานานกว่าร้อยปี เกือบจะเป็นผู้ผูกขาดธุรกิจทางด้านวัสดุก่อสร้างของโลก ประเทศซีหลิงมีอาณาเขตน้อย เศรษฐกิจของประเทศต้องพึ่งพาและทำร่วมกับต่างประเทศอยู่เสมอ นับตั้งแต่ซือคงอวี้เข้ามาดูแลงานของทางวิหาร เขาอยากที่จะพัฒนาธุรกิจวัสดุก่อสร้างของซีหลิง แต่ตระกูลไซ่และซีหลิงมีการขัดแย้งทางผลประโยชน์ ถึงขั้นที่ว่ามีการขัดขวางประเทศซีหลิงทุกด้าน ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศซีหลิง
เดิมที ซือคงอวี้วางแผนที่จะใช้วิธีการอื่นในการกำจัดตระกูลไซ่ แต่ตอนนี้เขาอยากใช้วิธีที่เร็วที่สุดมาเพื่อบั่นทอนความสามารถของตระกูลไซ่ ซึ่งก็คือกำจัดไซ่ตี้จวิ้น ทำให้ตระกูลไซ่รับมือไม่ทัน
อาเธอร์หยุดชะงักไปสองวินาที โค้งตัวลงรับคำสั่ง “ครับ อาเธอร์จะไม่ทำให้เจ้าวิหารผิดหวังครับ”
อาเธอร์คิดดีแล้ว เหลิ่งรั่วปิงให้ความสำคัญกับไซ่ตี้จวิ้น เรื่องนี้เขารู้ดี แต่นั่นจะเป็นเหตุผลให้เขาขัดขืนคำสั่งของวิหารไม่ได้ ถ้าหากซือคงอวี้สั่งให้เขาฆ่าหนานกงเยี่ย เขาเองก็จะรับคำสั่งโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ เพราะขีดความอดทนของเขาคือไม่ทำร้ายเหลิ่งรั่วปิง
ความมุ่งมั่นของอาเธอร์ล้วนอยู่ในสายตาซือคงอวี้ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ “ดีมาก อาเธอร์” ในที่สุดดวงตานกฟีนิกซ์ก็มีความอ่อนโยนฉายออกมาเล็กน้อย “หลังจากนายเสร็จสิ้นภารกิจนี้ ฉันจะไม่เอาผิดกับนายถึงเรื่องในอดีตอีก รอให้รั่วปิงกลับมา พวกนายก็สนิทสนมกันเหมือนเดิมได้”
อาเธอร์เงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ “เธอ…” เขาถูกขังอยู่ในคุก จึงไม่รู้เรื่องภายนอกแม้แต่น้อย คำพูดของซือคงอวี้ฟังออกได้ชัดเจนว่าเจอตัวเหลิ่งรั่วปิง
“ถูกต้อง ฉันเจอเธอแล้ว กำลังคิดหาวิธีพาเธอกลับมา นายไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ฉันไม่คิดจะลงโทษเธอ ฉันแค่อยากพาเธอกลับมาที่วิหารและจะมอบความรักดีๆ ให้กับเธอเท่านั้น นายทำภารกิจให้สบายใจเถอะ”
“ครับ” อาเธอร์พยักหน้า บนโลกใบนี้ นอกจากเหลิ่งรั่วปิงแล้ว เขาไม่เป็นห่วงใคร
*****
ตาของเหลิ่งรั่วปิงยังคงไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย ผ่านไปกว่าครึ่งเดือนแล้ว เธอยังใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่มืดมน ถึงแม้เธอจะไม่เคยพูดมาก่อน แต่เธอทุกข์ทรมานใจมาก
หนานกงเยี่ยรู้ดีว่าเธอเจ็บปวด เขาพาเธอไปด้วยทุกที่และตลอดเวลา ตอนทำงาน เขาให้เธอนั่งอยู่ในห้องทำงานของตนเอง คอยมองดูเธอตลอดเวลา ไม่ว่าเธอจะต้องการความช่วยเหลืออะไรเขาก็จะเข้าไปช่วยดูแลด้วยตนเอง หลังเลิกงานเขาตัวติดกับเธอตลอด พวกเขากลับวิลล่าหย่าเก๋อด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน และดูแลชีวิตประจำวันของเธอทุกอย่าง หนานกงเยี่ยที่หยิ่งทระนง มาวันนี้กลับกลายเป็นคนที่มีความอดทนสูง ไม่ว่าเหลิ่งรั่วปิงจะทำอะไรเขาก็ไม่เคยโมโห ตอนที่เธอมีความสุขเขาก็มีความสุขไปพร้อมกับเธอ ตอนที่เธอเศร้าเขาก็คอยปลอบเธอเหมือนกับเด็กน้อย เพื่อให้เธอมีความสุข
ราชาธุรกิจระดับโลกของเมืองหลง กลายเป็นสามีที่สมบูร์แบบที่สุด ไม่ว่าสำหรับผู้หญิงคนไหน ล้วนต้องรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลกอย่างแน่นอน แต่เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้มีความสุขมากขนาดนั้น เธอรักหนานกงเยี่ย และซาบซึ้งในทุกสิ่งที่เขาทำให้เธอ เพียงแต่เธอยังคงเสียใจ เพราะต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่มืดมน คอยพึ่งพาผู้ชายทุกเรื่อง นี่ไม่ใช่ชีวิตในแบบที่เธอต้องการ
หนานกงเยี่ยรู้และความใจความรู้สึกของเหลิ่งรั่วปิงเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงมีแค่การรักและทะนุถนอมเธอมากขึ้น ถึงจะทำให้เขาสบายใจ เขารู้มาโดยตลอด เธอเป็นผู้หญิงที่แข็งกระด้างแค่ไหน ยอมที่จะเป็นหยกแตกละเอียด แต่ก็ไม่ยอมที่จะเป็นกระเบื้องสมบูรณ์แบบ เธอยินดีให้ชีวิตของตนเองลอยล่องไปกับสายลม ดีเสียกว่าใช้ชีวิตอยู่ในความมืดแบบนี้ เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของเขาที่อยากให้เธออยู่ข้างกาย เธอจึงตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ อากาศดีเป็นพิเศษ ความเป็นฤดูใบไม้ผลิดชัดเจนกว่าเมื่อวานเล็กน้อย
ภายในวิลล่าหย่าเก๋อ ในห้องที่แสนอบอุ่น แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้าไปในห้องนอน เหมือนภาพที่คลี่ออกมา เหลิ่งรั่วปิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงระเบียงห้องเงียบๆ ใต้เท้าของเธอมีกระถางดอกไม้หลายต้น กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้รินรดอยู่ตรงริมฝีปากของเธอ
ก่อนหน้านี้เหลิ่งรั่วปิงปลูกดอกไม้พวกนี้เอาไว้ ตอนนี้เธอมองไม่เห็นแล้ว จึงได้หนานกงเยี่ยคอยดูแลด้วยตนเอง ภายใต้การสอนของเหลิ่งรั่วปิง หนานกงเยี่ยเรียนรู้วิธีรดน้ำต้นไม้และตัดต้นไม้
มือของเธอลื่นไหลอยู่บนใบลิ้นมังกร ภาพในหัวของเธอกำลังคิดจินตนาการถึงรูปร่างของมัน เธอชอบต้นลิ้นมังกรที่สุด อยากจะมุ่งมั่น และเป็นผู้หญิงที่เด็ดเดี่ยวเหมือนต้นลิ้นมังกร ทว่าเวลานี้ โลกของเธอมืดมน หนานกงเยี่ยพยายามหลอมละลายเธอให้กลายเป็นน้ำ ทว่าเธอกลับดื้อรั้น ถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่เธอก็ยังคงเป็นผู้หญิงที่เหมือนต้นลิ้นมังกร
หนานกงเยี่ยเปิดประตูเข้ามาเบาๆ เห็นหญิงสาวกำลังนั่งใจลอย เธอดูตั้งใจมาก นิ้วมือเรียวยาวอ้อยอิ่งอยู่บนใบลิ้นมังกร ราวกับกำลังลูบจับของล้ำค่า
เขาเข้าใจทันที รู้สึกปวดใจอย่างหักห้ามใจไม่ได้ ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาพยายามรักเธอ ทะนุถนอมเธอ อยากให้เธอหลอมละลายอยู่ในอ้อมกอดของตน ให้เขาคอยบังฝนบังลมให้เธอ เหลิ่งรั่วปิงเพียงแค่ดื่มด่ำกับมันอย่างมีความสุขก็พอแล้ว แต่เขาลืมไปเสียสนิท เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่จะดื่มด่ำกับการพึ่งพิงผู้ชาย เธอคอยสู้เคียงข้างเขา นั่นเป็นสิ่งที่เธออยากได้มาโดยตลอด
เธอปรารถนาในรักของเขา ทว่าไม่มีความสุขในโลกที่มืดบอด
หนานกงเยี่ยเดินเข้าไปหา โอบกอดเหลิ่งรั่วปิงจากด้านหลัง พูดกระซิบข้างหูของเธอ “เมียจ๋า อากาศเริ่มอบอุ่นแล้ว ผมพาคุณไปคฤหาสน์ตากอากาศตระกูลหนานกงไหมครับ ที่นั่นมีดอกทิวลิปมากมาย อากาศดีมากด้วย”
“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงเห็นด้วย ลมธรรมชาติปัดเป่าความกังวลไปได้ เธอไม่มีทางเลือกอื่น มีแค่การระบายความเศร้าในใจออกไป
เมื่อได้รับคำตอบ หนานกงเยี่ยรีบไปหยิบเสื้อผ้าของเธอในตู้เสื้อผ้า เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอด้วยความเอาใจใส่ และทำเหมือนทุกวัน ช้อนตัวเหลิ่งรั่วปิงขึ้นมา พาเธอลงไปชั้นล่าง
“คุณหนานกงเยี่ยคะ คุณให้ฉันเดินเองเถอะ” น้ำเสียงของเหลิ่งรั่วปิงเบาบาง ทว่าหนักแน่นมาก เธอไม่อยากให้คนอื่นคอยดูแลตนทุกเรื่อง เธอไม่อยากกลายเป็นคนไร้ประโยชน์
หนานกงเยี่ยลังเลครู่หนึ่ง วางตัวลงมา “ครับ” เขาเข้าใจความรู้สึกเหลิ่งรั่วปิงดี
แม้เหลิ่งรั่วปิงจะมองไม่เห็น แต่อาศัยการสัมผัส การฟังและความคุ้นชินที่มีต่อวิลล่าหย่าเก๋อ การเดินลงชั้นล่างไม่ใช่เรื่องยาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงปล่อยให้เธอเดินลงบันไดด้วยตนเอง จากนั้นจับมือเหลิ่งรั่วปิงเดินออกไปจากวิลล่า ขึ้นไปบนรถ
ครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เดินด้วยตนเองเป็นครั้งแรก เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาก
คฤหาสน์ตากอากาศตระกูลหนานกงสภาพแวดล้อมดีมาก ห่างไกลจากความวุ่นวายในเมือง ไม่มีกลิ่นควันรถยนต์ มีเพียงเสียงนกขับร้องเพลงไม่หยุด ในอากาศเคล้าไปด้วยกลิ่นดินโคลนและต้นหญ้าที่กำลังเติบโต สภาพแวดล้อมแบบนี้ ทำให้เหลิ่งรั่วปิงอารมณ์ดีขึ้นมา ริมฝีปากบางมีรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว
หนานกงเยี่ยเองก็อารมณ์ดีตามเธอไปด้วย จับมือเหลิ่งรั่วปิงตลอดเวลา เดินไปมาในคฤหาสน์ตากอากาศ
“พวกเราไปริมแม่น้ำกันเถอะค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงพูดเสนอ เธอชอบฟังเสียงน้ำไหล
“ครับ เดี๋ยวผมไปขับรถไฟฟ้ามารับ”
คฤหาสน์ตากอากาศมีขนาดใหญ่มาก ปกติถ้าจะไปที่ไหนไกลๆ นั้น คนในคฤหาสน์ก็จะขับรถไฟฟ้าไป
ไม่ถึงสองนาที หนานกงเยียกลับมาพร้อมกับรถไฟฟ้าสีขาวคันเล็ก เป็นรถไฟฟ้าสองที่นั่ง ด้านบนมีม่านกันแดด
รถไฟฟ้าเบาและรวดเร็ว สิบนาทีหลังจากนั้นทั้งสองก็มาถึงริมแม่น้ำ นั่งซบไหล่กันและกันตรงเก้าอี้ริมแม่น้ำ ฟังเสียงน้ำรินไหล อาบแสงแดดอ่อนๆ
แม่น้ำนี้ลึกประมาณสองเมตร ตลิ่งสูงประมาณหนึ่งเมตร ในน้ำมีปลามากมายกำลังแหวกว่าย
ใกล้เวลาเที่ยงวัน แสงแดดอบอุ่นมาก เหลิ่งรั่วปิงไม่อยากไปจากที่นี่เลย ดังนั้นเธอจึงเสนอที่จะปิกนิกริมแม่น้ำ
หนานกงเยี่ยไม่เคยกินอาหารริมแม่น้ำมาก่อน เรื่องนี้ถือเป็นสิ่งแปลกใหม่ จึงเห็นด้วย “ครับ ถ้าอย่างนั้นผมบอกให้สาวใช้เอามื้อเที่ยงมาเสิร์ฟที่นี่”
หนานกงเยี่ยหยิบโทรศัพท์ออกมากำลังจะโทรออก เหลิ่งรั่วปิงยิ้ม พูดเสียงออดอ้อน “ฉันอยากให้คุณเตรียมมื้อเที่ยงด้วยตนเอง”
หนานกงเยี่ยเลิกคิ้วเล็กน้อย ยิ้มด้วยความอ่อนโยน “ครับ พวกเรากลับไปด้วยกัน เดี๋ยวเตรียมอาหารเสร็จเราค่อยกลับมา”
“ไม่ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงส่ายหน้าด้วยความขี้เกียจ “ฉันไม่อยากลุกไปไหน ฉันอยากอาบแดดรอคุณที่นี่”
“คุณอยู่ที่นี่คุณเดียวผมจะวางใจได้ยังไง”
“อยู่ในคฤหาสน์ของตนเองคุณยังไม่วางใจ แล้วอยู่ที่ไหนคุณถึงจะวางใจคะ” เหลิ่งรั่วปิงไม่พอใจกับการดูแลตลอดเวลาของเขา เธอไม่อยากกลายเป็นภาระ “วางใจเถอะค่ะ ถึงแม้ฉันจะมองไม่เห็น แต่ฉันก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ขนาดนั้น”
หนานกงเยี่ยรู้ดีว่าช่วงนี้อารมณ์เธอแปรปรวนง่าย ไม่อยากทำให้เธอหงุดหงิด จึงทำได้เพียงยอมใจอ่อน “ครับ ถ้าอย่างนั้นคุณนั่งรอผมตรงนี้นะ อย่าไปไหน เดี๋ยวผมจะรีบกลับมา หืม?”
“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงยิ้มพร้อมกับพยักหน้า เธออยากจะลองดูสักครั้ง ตอนที่เขาไม่อยู่ข้างกาย ตนจะเดินไปที่อื่นด้วยตนเองได้หรือไม่
ดังนั้น หลังจากหนานกงเยี่ยขับรถไฟฟ้าออกไป เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้นั่งอยู่ที่เดิม เธอลุกขึ้นแล้วเดินตามแม่น้ำไปทางทิศใต้ จากความทรงจำของเธอ ด้านหน้าน่าจะเป็นป่า
เวลานี้เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ดินใต้เท้านุ่มมาก เวลาที่เหยียบไปนั้นให้ความรู้สึกสบาย เหลิ่งรั่วปิงอาศัยการได้ยินและการสัมผัสของเท้า เดินผ่านของที่ขวางเอาไว้ได้สำเร็จ ในที่สุดก็เดินเข้าไปในป่า ได้ยินเสียงนกเหนือศีรษะขับร้อง เธอคลี่ยิ้มบางเบา ความเป็นจริงเธอไม่ได้กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปเสียหมด เธอเดินด้วยตนเองได้ และตัดสินอะไรหลายๆ อย่างผ่านการได้ยิน สิ่งนี้ทำให้จิตใจที่หมองหม่นของเธอสดใสขึ้นมา
“เหลิ่งรั่วปิง?” อวี้หลานซีปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเหลิ่งรั่วปิงราวกับวิญญาณ เธออยู่ห่างไปประมาณสิบเมตร เสียงของเธอราวกับผุดขึ้นมาจากรอยแยกบนพื้น มืดมน เปียกปอน และไกลห่าง
เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หันหลังกลับไป ริมฝีปากบางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “คุณอวี้คอยสะกดรอยตามฉันมานานแล้วใช่ไหมคะ”
เธอกับอวี้หลานซีมาคฤหาสน์ตากอากาศหลังนี้เป็นการตัดสินใจกะทันหัน ถ้าหากอวี้หลานซีไม่ได้สะกดรอยตามเธอ เป็นไปไม่ได้ที่จะเจอกันโดยบังเอิญที่นี่ ดูท่าอวี้หลานซีคงเตรียมการมาอย่างดี